อิทธิพลเชิงสาเหตุความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารและจัดการภัยพิบัติจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน

Main Article Content

ภูดิศกรณ์ มูลป่า
สุริยจรัส เตชะตันมีนสกุล

บทคัดย่อ

บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการภัยพิบัติจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในพื้นที่อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน และ (2) วิเคราะห์อิทธิพลเชิงสาเหตุของการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ที่มีต่อประสิทธิผลในการบริหารจัดการภัยพิบัติในบริบทดังกล่าว โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้นำท้องถิ่น อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งสิ้น 186 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ


ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยด้านความร่วมมือโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยเฉพาะในด้านการปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข ซึ่งได้รับค่าคะแนนเฉลี่ยสูงสุด ( =4.54, S.D.=0.436) รองลงมา ได้แก่ การสื่อสาร การรณรงค์และประชาสัมพันธ์ และขีดความสามารถของชุมชน สะท้อนถึงการมีส่วนร่วมอย่างเข้มแข็งของทุกภาคส่วนในการเผชิญวิกฤต นอกจากนี้ ผลการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณชี้ว่า ปัจจัยอิสระสามารถอธิบายความแปรปรวนของประสิทธิผลในการบริหารจัดการได้ถึงร้อยละ 75 (R²=0.75, p < 0.05) โดยปัจจัยที่มีอิทธิพลเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ ความเข้มงวดของ อสม. (β=0.65) ความเข้มงวดของกำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน (β=0.64) การสื่อสารและประชาสัมพันธ์ (β=0.35) และการสนับสนุนจากภาครัฐ (β=0.29) แม้ความร่วมมือจากภาคเอกชนจะไม่ถึงระดับนัยสำคัญทางสถิติ (β=0.15, p=0.06) แต่ยังแสดงบทบาทสำคัญต่อภาพรวม ขณะที่ความเข้มงวดของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขกลับมีอิทธิพลเชิงลบต่อประสิทธิผล (β=-0.37) ซึ่งอาจสะท้อนข้อจำกัดเชิงระบบหรือผลข้างเคียงจากมาตรการที่เข้มงวดเกินพอดี ข้อค้นพบจากการวิจัยครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเสริมสร้างความร่วมมือเชิงรุกผ่านกลไกภาคประชาชน ผู้นำชุมชน และการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเสนอแนะให้มีการทบทวนและปรับบทบาทของเจ้าหน้าที่ภาครัฐให้มีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับบริบทของชุมชน เพื่อเพิ่มความไว้วางใจและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการภัยพิบัติในอนาคต

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
มูลป่า ภ., & เตชะตันมีนสกุล ส. (2025). อิทธิพลเชิงสาเหตุความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารและจัดการภัยพิบัติจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน. วารสารสังคมศาสตร์และศาสตร์รวมสมัย, 6(2), 58–68. สืบค้น จาก https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JSMIS/article/view/6208
ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

กรมควบคุมโรค. (2565). สถานการณ์ผู้ติดเชื้อ COVID-19 อัพเดทรายวัน. สืบค้นเมื่อ 3 มกราคม 2568. เข้าถึงได้จาก https://www.ddc.moph.go.th/

กาญจนา ปัญญาธร, กมลทิพย์ ตั้งหลักมั่นคง และวรรธนี ครองยุติ. (2564). การมีส่วนร่วมของชุมชนในการป้องกันโรค covid-19 บ้านหนองสวรรค์ ตำบลเชียงพิณ อำเภอเมือง จังหวัดอัดรธานี. วารสารวิทยาลียพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี, 32(1), 189-204.

ณพัชญ์ปภา สว่างนุวัตรกุล. (2567). ประสบการณ์การบริหารจัดการภาครัฐของประเทศนิวซีแลนด์ ต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19. วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์, 30(3), 20-35.

ดรุณี โพธิ์ศรี, เอกลักษณ์ เอี่ยมประดิษย์ และเอกพล เสมาชัย. (2566). การเฝ้าระวังและควบคุมโรคโควิด-19: การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนเพื่อจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขจังหวัดนครปฐม. วารสารวิชาการสาธารณสุข, 32(1), s49-s60.

ประทีป ธนกิจเจริญ. (2564). ส่องสังคมไทยหลังโควิด-19 ตอกย้ำความสำคัญการกระจายอำนาจ ปูทางสู่การปฏิรูปประเทศ. สืบค้นเมื่อ 1 กันยายน 2564. เข้าถึงได้จาก https://www.hfocus.org/content/2020/05/19255

เรียงดาว ทวะชาลี, กาญจนกฤษฎิ์ ปุลันรัมย์ และเกษฎา ผาทอง. (2566). รัฐประศาสนศาสตร์กับการจัดการสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย. วารสารศิลปศาสตร์ราชมงคลสุวรรณภูมิ, 5(3), 783-796.

วิจิตรา ชูสกุล. (ม.ป.ป.). ‘ภาคประชาสังคม’ สู้โควิด-19 พบทั้ง ‘ไทย-เทศ’ ต่างเชื่อมร้อย ‘ชุมชน’. สืบค้นเมื่อ 20 มกราคม 2568. เข้าถึงได้จาก https://www.old.nationalhealth.or.th/en/node/2258

วิทยา ศรแก้ว, วรพจน์ พรหมสัตยพรต และเทิดศักดิ์ พรหมอารักษ์. (2566). การพัฒนารูปแบบอภิบาลระบบสุขภาพเพื่อป้องกันควบคุมโรคอุบัติใหม่อุบัติซ้ำ ภายใต้วิถีชีวิตใหม่ อำเภอช้างกลาง จังหวัดนครศรีธรรมราช. วารสารวิชาการสาธารณสุขชุมชน, 9(2), 72-85.