https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JSMIS/issue/feed
วารสารสังคมศาสตร์และศาสตร์รวมสมัย
2024-11-25T12:25:53+07:00
รองศาสตราจารย์ ดร.วินิจ ผาเจริญ
jsmis2020.journal@gmail.com
Open Journal Systems
<table style="height: 604px;" width="709"> <tbody> <tr> <td width="778"> <p><strong>วัตถุประสงค์และขอบเขตของวารสาร</strong></p> </td> </tr> <tr> <td width="778"> วารสารสังคมศาสตร์และศาสตร์รวมสมัย “Journal of Social Sciences and Modern Integrated Sciences (JSMIS)” เป็นสื่อกลางในการเผยแพร่บทความในสหสาขาวิชาการเกี่ยวกับสังคมศาสตร์และศาสตร์รวมสมัยใหม่ที่มีขอบข่ายครอบคลุมตั้งแต่ 2 สาขาวิชาขึ้นไปร่วมกัน ได้แก่ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ การพัฒนาท้องถิ่น ศึกษาศาสตร์ ศาสนาและปรัชญา รวมถึงสหวิชาการอื่นที่มีนัยทางทฤษฎีหรือการประยุกต์ใช้ในศาสตร์รวมสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นด้านรัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในมุมมองภาครัฐ ภาคเอกชน หรือภาคประชาชน โดยมุ่งหวังให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้และส่งเสริมการเผยแพร่ผลงานวิชาการ สู่ผู้สนใจโดยทั่วไปในทุกสาขาวิชา</td> </tr> <tr> <td width="778"> </td> </tr> <tr> <td width="778"> <p><strong>กำหนดออกเผยแพร่วารสาร ราย 6 เดือน (ปีละ 2 ฉบับ)</strong></p> </td> </tr> <tr> <td width="778"> ฉบับที่ 1 ตั้งแต่เดือนมกราคม - มิถุนายน </td> </tr> <tr> <td width="778"> ฉบับที่ 2 ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม – ธันวาคม</td> </tr> <tr> <td width="778"> </td> </tr> <tr> <td width="778"> <p><strong>กระบวนการพิจารณาบทความของวารสาร</strong></p> </td> </tr> <tr> <td width="778"> กองบรรณาธิการวารสารสังคมศาสตร์และศาสตร์รวมสมัยเปิดรับบทความภาษาไทยและอังกฤษในประเภทบทความวิจัย (Research) บทความวิชาการ (Viewpoint) จากผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ คณาจารย์ นักศึกษาและผู้สนใจทั่วไป โดยผลงานที่เสนอเพื่อตีพิมพ์ในวารสารสังคมศาสตร์และศาสตร์รวมสมัยจะต้องไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ที่ใดมาก่อน และต้องไม่อยู่ระหว่างการเสนอเพื่อพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารฉบับอื่น ผู้เขียนบทความต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การเสนอบทความของวารสาร และต้องให้เป็นไปตามรูปแบบที่กำหนดไว้ และบทความแต่ละบทความจะได้รับการพิจารณาจากคณะกรรมการกลั่นกรองบทความวารสาร (Peer Review) อย่างน้อย 2 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง ในลักษณะปกปิดรายชื่อ (Double blind peer-reviewed) </td> </tr> <tr> <td width="778"> <p> ทัศนะและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความ วารสารสังคมศาสตร์และศาสตร์รวมสมัยถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความนั้น และไม่ถือเป็นทัศนะของกองบรรณาธิการ วารสารสังคมศาสตร์และศาสตร์รวมสมัย ไม่สงวนลิขสิทธิ์การคัดลอก แต่ให้อ้างอิงแสดงที่มา</p> </td> </tr> </tbody> </table> <table style="height: 477px;" width="700"> <tbody> <tr> <td width="645"> </td> </tr> <tr> <td> <p><strong>การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</strong></p> </td> </tr> <tr> <td width="645"> <p> อัตราค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ <strong>บทความละ 3,500 บาท (สามพันห้าร้อยบาทถ้วน)</strong> โดยจะเรียกเก็บเมื่อบทความของท่านผ่านการพิจารณากลั่นกรองเบื้องต้นจากกองบรรณาธิการ หลังจากชำระค่าธรรมเนียมแล้ว ให้ส่งหลักฐานการชำระมาที่ E-mail วารสารเท่านั้น เมื่อได้รับหลักฐานการชำระ ทางวารสารจะดำเนินการเพื่อส่งให้ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านตรงกับเนื้อหาของบทความพิจารณาต่อไป</p> </td> </tr> <tr> <td width="645"> <p><strong> *หมายเหตุ</strong> ผู้เขียนจะต้องตรวจสอบความสมบูรณ์ของบทความตามคำแนะนำสำหรับผู้เขียน หากไม่ปฏิบัติตามกติกา กองบรรณาธิการวารสารขอสงวนสิทธิ์ในการปฏิเสธการตีพิมพ์ และไม่คืนเงินค่าธรรมเนียมดังต่อไปนี้<br /><strong> </strong>1. บทความมีความซ้ำซ้อนมากกว่า 25% จากการตรวจสอบของ “CopyCatch” จากระบบ Thaijo<br /> 2. ผู้เขียนไม่ปฏิบัติตามรูปแบบของวารสารที่กำหนดไว้<br /> 3. ผู้เขียนบทความขอถอดถอนหรือยกเลิกการตีพิมพ์<br /> 4. บทความไม่ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ หรือไม่แก้ไขบทความตามข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิ หรือบรรณาธิการ และหากไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอแนะสามารถชี้แจงให้บรรณาธิการพิจารณา ทั้งนี้การตัดสินใจของบรรณาธิการถือเป็นที่สิ้นสุด</p> </td> </tr> <tr> <td width="645"> ** โดยชำระเงินที่ <strong>ธนาคารออมสิน สาขาดอยสะเก็ด</strong><br /> หมายเลขบัญชี: <strong>020422940294</strong><br /> ชื่อบัญชี: <strong>วารสารสังคมศาสตร์และศาสตร์รวมสมัย</strong><br /> เมื่อชำระแล้วให้ส่งสลิปการโอนเงินและแจ้งชื่อ-สกุล มาที่ E-mail:<strong> jsmis2020.journal@gmail.com</strong></td> </tr> </tbody> </table>
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JSMIS/article/view/3784
การบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อการบริหารจัดการสวัสดิการผู้สูงอายุขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านช้าง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
2024-02-15T08:34:00+07:00
วราภรณ์ วงค์อนันต์
warapron0819907944@gmail.com
อภิรมย์ สีดาคำ
warapron0819907944@gmail.com
ประเสริฐ ปอนถิ่น
warapron0819907944@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์หลักสามประการ 1) การวิเคราะห์ระบบการบริหารจัดการสวัสดิการผู้สูงอายุ 2) การเปรียบเทียบแนวทางการจัดสวัสดิการในหลากหลายมิติ และ 3) การเสนอแนวทางการบริหารจัดการสวัสดิการที่ผสานหลักพุทธธรรม งานวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยแบบผสาน โดยในส่วนการวิจัยเชิงปริมาณ ได้เก็บข้อมูลจากกลุ่มผู้สูงอายุในพื้นที่จำนวน 232 คน ด้วยแบบสอบถาม และใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล เช่น ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ ได้ทำการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 9 คน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนาเชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารจัดการสวัสดิการผู้สูงอายุในองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านช้างอยู่ในระดับที่ดีมาก 2) การเปรียบเทียบสวัสดิการในด้านการศึกษา สุขภาพ รายได้ บริการสังคม และกิจกรรมนันทนาการ พบว่ามีการจัดสวัสดิการอยู่ในระดับสูง โดยตัวแปรเพศ ระดับการศึกษา และรายได้ต่อเดือนไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ แต่พบว่ามีความแตกต่างในด้านอายุ สถานภาพ และที่พักอาศัย 3) แนวทางการบริหารจัดการสวัสดิการผู้สูงอายุควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาฐานข้อมูลที่ทันสมัย การติดตามและประเมินผล การส่งเสริมธรรมาภิบาล และการบริการสุขภาพที่เน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุอย่างรอบด้าน</p>
2024-11-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศาสตร์และศาสตร์รวมสมัย
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JSMIS/article/view/3787
การบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อพัฒนาการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในเทศบาลตำบลจอมแจ้ง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
2024-02-15T08:25:39+07:00
พรรณี คำขาว
6104504107@mcu.ac.th
นพดณ ปัญญาวีรทัต
6104504107@mcu.ac.th
ประเสริฐ ปอนถิ่น
6104504107@mcu.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับคุณภาพการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน 2) เพื่อเปรียบเทียบการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน และ 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการปฏิบัติงานแบบบูรณาการหลักพุทธรรมเพื่อพัฒนาการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในเทศบาลตำบลจอมแจ้ง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ รูปแบบวิธีการดำเนินการวิจัยเป็นแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเชิงปริมาณ คือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่ในเขตเทศบาลตำบลจอมแจ้ง จำนวน 136 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติได้แก่การหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยการทดสอบค่าที และทดสอบค่าเอฟ ส่วนวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 9 รูป/คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เทคนิควิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p>ผลวิจัยพบว่า 1) เพื่อศึกษาระดับคุณภาพการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในเขตเทศบาลตำบลจอมแจ้ง พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.05, S.D. = 0.723) 2) เพื่อเปรียบเทียบการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในเขตเทศบาลตำบลจอมแจ้ง โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 4.05, S.D. = 0.723) 3) แนวทางการปฏิบัติงานแบบบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อพัฒนาการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน พบว่าควรปฏิบัติให้เป็นตัวอย่างที่ดี ทั้งในรูปแบบการเข้าร่วมกิจกรรม รณรงค์ ประชาสัมพันธ์ และความร่วมมือกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล ชุมชน ในการส่งเสริมสุขภาพที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนอย่างแท้จริง</p>
2024-11-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศาสตร์และศาสตร์รวมสมัย
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JSMIS/article/view/3105
การพัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในการบริหารจัดการศึกษาโรงเรียนบ้านเเซรไปร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3
2024-04-20T17:01:46+07:00
ประเวช สูงสุด
noongps2522@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพและปัญหาการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาในการบริหารโรงเรียนบ้านแซรไปร 2) พัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการ 3) ปัญหาและอุปสรรคในการพัฒนารูปแบบดังกล่าว การวิจัยใช้วิธีการวิจัยและพัฒนา (R&D) กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยคณะกรรมการสถานศึกษา ผู้บริหารโรงเรียน และครู รวม 120 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม โดยการวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสำหรับการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 14 คน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) การมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาในการบริหารจัดการโรงเรียนบ้านแซรไปรโดยรวมอยู่ในระดับมาก อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่พบคือคณะกรรมการบางคนมีภารกิจทำให้ไม่สามารถเข้าร่วมประชุมได้ อีกทั้งบางส่วนยังขาดความรู้และความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของตนเองในฐานะคณะกรรมการสถานศึกษา 2)พัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาโรงเรียนบ้านแซรไปร โดยแบ่งออกเป็น 4 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ การพัฒนาคุณภาพผู้เรียน, การพัฒนาผู้บริหารและบุคลากร, การสร้างแหล่งเรียนรู้ และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองและชุมชน รูปแบบการมีส่วนร่วมที่ได้เน้นการสร้างชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC), เพิ่มช่องทางการติดต่อผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการประชุมคณะกรรมการ 4 ครั้งต่อปี 3) ปัญหาและอุปสรรคของการพัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการ สถานศึกษาในการบริหารจัดการโรงเรียนบ้านเเซรไปร คือ จำนวนโครงการที่มีมากเกินไปทำให้ครูและบุคลากรมีภาระงานเพิ่มมากขึ้น</p>
2024-11-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศาสตร์และศาสตร์รวมสมัย
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JSMIS/article/view/3232
การพัฒนาศักยภาพของบุคลากรธุรกิจการท่องเที่ยวในเมืองหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
2024-02-21T18:31:31+07:00
เทพดวงจันทร์ บุญธิเดช
phassy77@gmail.com
รภัสสรณ์ คงธนจารุอนันต์
phassy77@gmail.com
วีณา นิลวงศ์
phassy77@gmail.com
ภาวิณี อารีศรีสม
phassy77@gmail.com
พิณนภา หมวกยอด
phassy77@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการหลัก 1) ศึกษาสภาพแวดล้อมของธุรกิจท่องเที่ยวในหลวงพระบาง, สปป.ลาว 2) วิเคราะห์ระดับการพัฒนาศักยภาพบุคลากรภาคการโรงแรม และ 3) เสนอแนวทางในการจัดการและพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยว การวิจัยใช้ทั้งเชิงปริมาณจากแบบสอบถามผู้ประกอบการ 114 ราย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบสมมติฐาน และเชิงคุณภาพผ่านการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ 10 คน วิเคราะห์ด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนาเพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกและข้อเสนอแนะที่เหมาะสม</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ธุรกิจการท่องเที่ยวในเมืองหลวงพระบางเผชิญกับปัญหาหลัก ได้แก่ การพึ่งพาการท่องเที่ยวในภูมิภาค การขาดความยั่งยืน และการแออัดของนักท่องเที่ยวซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและบริการ นอกจากนี้ ปัจจัยที่มีผลต่อบริบทการท่องเที่ยว เช่น การรักษาพนักงานและการฝึกอบรมไม่เพียงพอ นำไปสู่ความท้าทายในการพัฒนา จุดแข็งของหลวงพระบางคือมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ ขณะที่จุดอ่อนคือการขาดทรัพยากรและปัญหาเงินเฟ้อที่เพิ่มต้นทุน 2) การพัฒนาศักยภาพบุคลากรท้องถิ่นธุรกิจการท่องเที่ยวในหลวงพระบางมีระดับโดยรวมอยู่ในระดับมาก ในด้านความสัมพันธ์ พบว่าการสร้างแรงบันดาลใจมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการจัดการทรัพยากรสิ่งแวดล้อม (r = .423) และด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคลมีความสัมพันธ์กับการจัดการทรัพยากรสังคม (r = .335) ขณะที่ด้านอื่น ๆ มีความสัมพันธ์น้อยหรือไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 3) ผลการวิจัยพบว่าแนวทางการจัดการธุรกิจการท่องเที่ยวในเมืองหลวงพระบางเน้นที่การเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และการปรับตัวที่รวดเร็วต่อการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจและเทคโนโลยี โดยส่งเสริมการเป็นตัวอย่างที่ดี การสร้างแรงบันดาลใจ และการพัฒนาทักษะของพนักงาน อีกทั้งยังมีการร่วมมือระหว่างองค์กรท้องถิ่นและหน่วยงานภายนอกเพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน</p>
2024-11-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศาสตร์และศาสตร์รวมสมัย
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JSMIS/article/view/4108
ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม
2024-06-07T09:21:36+07:00
พัทธ์ชนก เกษโร
i_wichian@bsru.ac.th
ปฐมพรณ์ อินทรางกูร ณ อยุธยา
i_wichian@bsru.ac.th
วิเชียร อินทรสมพันธ์
i_wichian@bsru.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหาร 2) ระดับประสิทธิผลของสถานศึกษา และ 3) ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครู จำนวน 328 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.931 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ระดับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก และ 3) ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ตัวแปรที่มีอิทธิพลในการทำนายตามลำดับจากมากที่สุด ได้แก่ การสื่อสารเป้าหมายของสถานศึกษา (X<sub>2</sub>) การควบคุมเวลาในการสอน (X<sub>6</sub>) การจัดให้มีสิ่งส่งเสริมการเรียนรู้แก่ผู้เรียน (X<sub>11</sub>) การมอบหมายงานให้ครูดูแลเอาใจใส่ผู้เรียน (X<sub>8</sub>) การตรวจสอบความก้าวหน้าของนักเรียน (X<sub>5</sub>) และการประสานงานด้านการใช้หลักสูตร (X<sub>4</sub>) และสามารถพยากรณ์ประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม ได้ร้อยละ 53.60 (R<sup>2</sup>=.536)</p>
2024-11-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศาสตร์และศาสตร์รวมสมัย
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JSMIS/article/view/4245
การประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารท้องถิ่นในการพัฒนาชุมชนองค์การบริหารส่วนตำบลพลงตาเอี่ยม อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง
2024-06-04T14:10:34+07:00
วันดี ขันแก้ว
dekdoi2529@gmail.com
สายัณห์ อินนันใจ
dekdoi2529@gmail.com
สมจิต ขอนวงค์
dekdoi2529@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารท้องถิ่นในการพัฒนาชุมชน ความสัมพันธ์ระหว่างหลักพุทธธรรมกับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ และเสนอแนวทางแนวทางการประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารท้องถิ่นในการพัฒนาชุมชนองค์การบริหารส่วนตำบลพลงตาเอี่ยม การวิจัยใช้รูปแบบการวิจัยแบบผสานวิธี โดยการวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างจากสูตรของทาโร่ ยามาเน่ ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 369 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความสัมพันธ์แบบเพียร์สัน สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 12 รูปหรือคน และใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหาประกอบบริบท นำเสนอเป็นความเรียงประกอบตารางแจกแจงความถี่ของผู้ให้ข้อมูลสำคัญเพื่อสนับสนุนข้อมูลเชิงปริมาณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารท้องถิ่นในการพัฒนาชุมชนองค์การบริหารส่วนตำบลพลงตาเอี่ยม อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง จำแนกเป็น 1) การประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารท้องถิ่นในการพัฒนาชุมชนองค์การบริหารส่วนตำบลพลงตาเอี่ยม อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ 2) การพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารท้องถิ่นในการพัฒนาชุมชนองค์การบริหารส่วนตำบลพลงตาเอี่ยม โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2. ความสัมพันธ์ระหว่างหลักพุทธธรรมกับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารท้องถิ่นในการพัฒนาชุมชนองค์การบริหารส่วนตำบลพลงตาเอี่ยม มีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับค่อนข้างสูง (R= .678**) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 3. แนวทางแนวทางการประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารท้องถิ่นในการพัฒนาชุมชนองค์การบริหารส่วนตำบลพลงตาเอี่ยม พบว่า การเข้าถึงประชาชนที่กล้าแสดงความคิดเชิงสร้างสรรค์ เนื่องจากพื้นที่ต้องมีการประกอบอาชีพในการดำเนินชีวิต ทำให้ประชาชนเหล่านั้นไม่ได้อาศัยประจำหรือไม่มีเวลามากพอในการแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอย่างสร้างสรรค์ ข้อเสนอแนะ พบว่า ควรมีการจัดกิจกรรมหรือจัดพื้นที่สำหรับประชาชนในการแสดงความคิดเห็นต่อการพัฒนาพื้นที่สร้างสรรค์ตามโอกาสที่เหมาะสมต่าง ๆ เพื่อจะได้รวบรวมข้อคิดเห็น และนำมาเป็นฐานข้อมูลในการนำมาใช้ประโยชน์ต่อไป </p>
2024-11-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศาสตร์และศาสตร์รวมสมัย
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JSMIS/article/view/4804
การพัฒนาศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเพื่อการขับเคลื่อนกลยุทธ์และส่งเสริมการท่องเที่ยวขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานีอย่างยั่งยืน
2024-07-27T12:47:23+07:00
วัฒนา นนทชิต
nontachit@gmail.com
สุทธดา เอียดจุ้ย
nontachit@gmail.com
ณัฏฐาพร นพคุณ
nontachit@gmail.com
วิมลฉัตร ศรีสุวรรณ
nontachit@gmail.com
ศุภกานต์ นิลโอภา
nontachit@gmail.com
สโรชา วิเชียรวงศ์
nontachit@gmail.com
อัจนา ไทรทองคำ
nontachit@gmail.com
ธิดารัตน์ วรรณบวร
nontachit@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาศักยภาพด้านการท่องเที่ยวในจังหวัดสุราษฎร์ธานี 2) วิเคราะห์การบริหารกลยุทธ์การท่องเที่ยวขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างศักยภาพด้านการท่องเที่ยวกับการขับเคลื่อนกลยุทธ์การท่องเที่ยวขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี การวิจัยใช้วิธีการแบบผสมผสาน โดยในส่วนของการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 400 คน ซึ่งประกอบด้วยนักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ และบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวในองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วนและการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้างกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 9 คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ศักยภาพด้านการท่องเที่ยว จังหวัดสุราษฎร์ธานีมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวอยู่ในระดับสูง โดยมีแหล่งท่องเที่ยวที่ได้มาตรฐานและหลากหลาย ทำให้สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากกลุ่มต่าง ๆ เข้ามาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก 2) การขับเคลื่อนกลยุทธ์ด้านการท่องเที่ยว องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้ดำเนินกลยุทธ์ด้านการท่องเที่ยวอย่างมีประสิทธิภาพในระดับสูง โดยเน้นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและชุมชนเพื่อสร้างความหลากหลายในประสบการณ์การท่องเที่ยว ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 3) ความสัมพันธ์ระหว่างศักยภาพด้านการท่องเที่ยวและกลยุทธ์การขับเคลื่อนมีความสัมพันธ์ตามสมมติฐาน โดยเฉพาะกลยุทธ์การส่งเสริมความหลากหลายทางการท่องเที่ยวเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวบนบกเชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล ซึ่งมีความสัมพันธ์ในระดับปานกลาง ส่วนกลยุทธ์อื่น ๆ เช่น การส่งเสริมจังหวัดให้เป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City) การพัฒนาโครงข่ายคมนาคม การส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน และการพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ มีความสัมพันธ์ในระดับต่ำ</p>
2024-11-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศาสตร์และศาสตร์รวมสมัย
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JSMIS/article/view/4813
เครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนากลุ่มเกษตรกรทำสวนทุ่งคาวัด อำเภอละแม จังหวัดชุมพร ภายใต้แนวคิดการเสริมสร้างพลังอำนาจ
2024-08-22T18:40:49+07:00
ศุจินันทท์ ไตรระเบียบ
plang.0109@gmail.com
ชนัญชิดา ทิพย์ญาณ
plang.0109@gmail.com
อมร หวังอัครางกู
plang.0109@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สถานการณ์ของกลุ่มเกษตรกรทำสวนทุ่งคาวัด อำเภอละแม จังหวัดชุมพร ภายใต้แนวคิดการเสริมสร้างพลังอำนาจ 2) การวิเคราะห์การบริหารงานผ่านเครือข่ายของกลุ่มเกษตรกรทำสวนทุ่งคาวัด 3) การเสนอแนวทางสร้างเครือข่ายความร่วมมือของกลุ่มเกษตรกรทำสวนทุ่งคาวัดการวิจัยนี้เป็นการศึกษาแบบผสานวิธี ประกอบด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ โดยในการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลหลักจำนวน 15 คน ประกอบด้วยคณะกรรมการบริหาร 7 คน และผู้นำชุมชน 8 คน เก็บข้อมูลผ่านสัมภาษณ์และการสนทนากลุ่ม ส่วนการวิจัยเชิงปริมาณเก็บข้อมูลจากกลุ่มเกษตรกรทำสวนทุ่งคาวัดจำนวน 138 คน ซึ่งรวมถึงคณะกรรมการและสมาชิกกลุ่ม สถิติที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัย 1) สถานการณ์ของกลุ่มเกษตรกรทำสวนทุ่งคาวัด ภายใต้แนวคิดการเสริมสร้างพลังอำนาจ พบว่า ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มมีปริมาณไม่เพียงพอสำหรับการส่งออก แม้ว่าความต้องการสินค้าจะสูงขึ้น กลุ่มจึงเริ่มแสวงหาความร่วมมือขยายโอกาสในการทำงานร่วมกับภาคส่วนอื่น 2) การบริหารงานผ่านเครือข่ายของกลุ่ม พบว่าโดยรวมการบริหารงานของกลุ่มเกษตรกรทำสวนทุ่งคาวัดอยู่ในระดับสูง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการจัดการบุคคลมีคะแนนสูงสุด รองลงมาคือ ด้านการส่งเสริมและสนับสนุน ด้านการติดตามผล ด้านงบประมาณ ด้านการบริหารงาน และด้านการวางแผน ตามลำดับ 3) แนวทางการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ พบว่า กลุ่มเกษตรกรทำสวนทุ่งคาวัดควรสร้างความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และภาควิชาการ ผ่านกระบวนการความร่วมมือ โดยเน้นการส่งเสริมและสนับสนุน เป็นอันดับแรก รองลงมาคือ การจัดการบุคคล การวางแผน งบประมาณ และการติดตามผล เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและพัฒนาเครือข่ายอย่างยั่งยืน ผ่านการเสริมสร้างพลังอำนาจที่สำคัญต่อการพัฒนาศักยภาพ ความรู้ความสามารถ และความเชื่อมั่นของสมาชิกในกลุ่ม นำไปสู่การบรรลุเป้าหมายและการแก้ไขปัญหาของตนเอง เกิดการยอมรับในคุณค่าและความสามารถในการดำเนินงานของกลุ่ม</p>
2024-11-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศาสตร์และศาสตร์รวมสมัย