วารสารสังคมศาสตร์และศาสตร์รวมสมัย https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JSMIS <table style="height: 604px;" width="709"> <tbody> <tr> <td width="778"> <p><strong>วัตถุประสงค์และขอบเขตของวารสาร</strong></p> </td> </tr> <tr> <td width="778"> วารสารสังคมศาสตร์และศาสตร์รวมสมัย “Journal of Social Sciences and Modern Integrated Sciences (JSMIS)” เป็นสื่อกลางในการเผยแพร่บทความในสหสาขาวิชาการเกี่ยวกับสังคมศาสตร์และศาสตร์รวมสมัยใหม่ที่มีขอบข่ายครอบคลุมตั้งแต่ 2 สาขาวิชาขึ้นไปร่วมกัน ได้แก่ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ การพัฒนาท้องถิ่น ศึกษาศาสตร์ ศาสนาและปรัชญา รวมถึงสหวิชาการอื่นที่มีนัยทางทฤษฎีหรือการประยุกต์ใช้ในศาสตร์รวมสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นด้านรัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในมุมมองภาครัฐ ภาคเอกชน หรือภาคประชาชน โดยมุ่งหวังให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้และส่งเสริมการเผยแพร่ผลงานวิชาการ สู่ผู้สนใจโดยทั่วไปในทุกสาขาวิชา</td> </tr> <tr> <td width="778"> </td> </tr> <tr> <td width="778"> <p><strong>กำหนดออกเผยแพร่วารสาร ราย 6 เดือน (ปีละ 2 ฉบับ)</strong></p> </td> </tr> <tr> <td width="778"> ฉบับที่ 1 ตั้งแต่เดือนมกราคม - มิถุนายน </td> </tr> <tr> <td width="778"> ฉบับที่ 2 ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม – ธันวาคม</td> </tr> <tr> <td width="778"> </td> </tr> <tr> <td width="778"> <p><strong>กระบวนการพิจารณาบทความของวารสาร</strong></p> </td> </tr> <tr> <td width="778"> กองบรรณาธิการวารสารสังคมศาสตร์และศาสตร์รวมสมัยเปิดรับบทความภาษาไทยและอังกฤษในประเภทบทความวิจัย (Research) บทความวิชาการ (Viewpoint) จากผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ คณาจารย์ นักศึกษาและผู้สนใจทั่วไป โดยผลงานที่เสนอเพื่อตีพิมพ์ในวารสารสังคมศาสตร์และศาสตร์รวมสมัยจะต้องไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ที่ใดมาก่อน และต้องไม่อยู่ระหว่างการเสนอเพื่อพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารฉบับอื่น ผู้เขียนบทความต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การเสนอบทความของวารสาร และต้องให้เป็นไปตามรูปแบบที่กำหนดไว้ และบทความแต่ละบทความจะได้รับการพิจารณาจากคณะกรรมการกลั่นกรองบทความวารสาร (Peer Review) อย่างน้อย 2 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง ในลักษณะปกปิดรายชื่อ (Double blind peer-reviewed) </td> </tr> <tr> <td width="778"> <p> ทัศนะและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความ วารสารสังคมศาสตร์และศาสตร์รวมสมัยถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความนั้น และไม่ถือเป็นทัศนะของกองบรรณาธิการ วารสารสังคมศาสตร์และศาสตร์รวมสมัย ไม่สงวนลิขสิทธิ์การคัดลอก แต่ให้อ้างอิงแสดงที่มา</p> </td> </tr> </tbody> </table> <table style="height: 477px;" width="700"> <tbody> <tr> <td width="645"> </td> </tr> <tr> <td> <p><strong>การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</strong></p> </td> </tr> <tr> <td width="645"> <p> อัตราค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ <strong>บทความละ 3,500 บาท (สามพันห้าร้อยบาทถ้วน)</strong> โดยจะเรียกเก็บเมื่อบทความของท่านผ่านการพิจารณากลั่นกรองเบื้องต้นจากกองบรรณาธิการ หลังจากชำระค่าธรรมเนียมแล้ว ให้ส่งหลักฐานการชำระมาที่ E-mail วารสารเท่านั้น เมื่อได้รับหลักฐานการชำระ ทางวารสารจะดำเนินการเพื่อส่งให้ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านตรงกับเนื้อหาของบทความพิจารณาต่อไป</p> </td> </tr> <tr> <td width="645"> <p><strong> *หมายเหตุ</strong> ผู้เขียนจะต้องตรวจสอบความสมบูรณ์ของบทความตามคำแนะนำสำหรับผู้เขียน หากไม่ปฏิบัติตามกติกา กองบรรณาธิการวารสารขอสงวนสิทธิ์ในการปฏิเสธการตีพิมพ์ และไม่คืนเงินค่าธรรมเนียมดังต่อไปนี้<br /><strong> </strong>1. บทความมีความซ้ำซ้อนมากกว่า 25% จากการตรวจสอบของ “CopyCatch” จากระบบ Thaijo<br /> 2. ผู้เขียนไม่ปฏิบัติตามรูปแบบของวารสารที่กำหนดไว้<br /> 3. ผู้เขียนบทความขอถอดถอนหรือยกเลิกการตีพิมพ์<br /> 4. บทความไม่ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ หรือไม่แก้ไขบทความตามข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิ หรือบรรณาธิการ และหากไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอแนะสามารถชี้แจงให้บรรณาธิการพิจารณา ทั้งนี้การตัดสินใจของบรรณาธิการถือเป็นที่สิ้นสุด</p> </td> </tr> <tr> <td width="645"> ** โดยชำระเงินที่ <strong>ธนาคารออมสิน สาขาดอยสะเก็ด</strong><br /> หมายเลขบัญชี: <strong>020422940294</strong><br /> ชื่อบัญชี: <strong>วารสารสังคมศาสตร์และศาสตร์รวมสมัย</strong><br /> เมื่อชำระแล้วให้ส่งสลิปการโอนเงินและแจ้งชื่อ-สกุล มาที่ E-mail:<strong> jsmis2020.journal@gmail.com</strong></td> </tr> </tbody> </table> th-TH jsmis2020.journal@gmail.com (รองศาสตราจารย์ ดร.วินิจ ผาเจริญ) jsmis2020.journal@gmail.com (วารสารสังคมศาสตร์และศาสตร์รวมสมัย) Sun, 30 Nov 2025 10:04:47 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 กลยุทธ์กีฬามอเตอร์สปอร์ตเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนจังหวัดเชียงราย https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JSMIS/article/view/5996 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเข้าร่วมกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงกีฬามอเตอร์สปอร์ต 2) วิเคราะห์รูปแบบกิจกรรมที่เหมาะสมกับการท่องเที่ยวเชิงกีฬามอเตอร์สปอร์ต และ 3) สร้างกลยุทธ์ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬามอเตอร์สปอร์ต การวิจัยใช้ระเบียบวิธีแบบผสมผสาน แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเข้าร่วมกิจกรรมผ่านการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 400 คน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสถิติ 2) วิเคราะห์รูปแบบกิจกรรมที่เหมาะสมโดยสัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 16 คน และ 3) สร้างกลยุทธ์โดยใช้ SWOT Analysis และ TOWS Matrix</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเข้าร่วมกิจกรรมมีทั้งปัจจัยเชิงบวก เช่น การจัดกิจกรรม ช่องทางประชาสัมพันธ์ และมาตรฐานความปลอดภัย และปัจจัยเชิงลบ เช่น ค่าใช้จ่ายและประสบการณ์การเข้าร่วม นอกจากนี้ รูปแบบกิจกรรมที่เหมาะสมควรมีความหลากหลาย ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ เอกชน และชุมชน รวมถึงมีมาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวด ผลการวิจัยยังได้จัดทำ 5 กลยุทธ์ได้แก่ 1) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 2) การสร้างตราสินค้าและการตลาด 3) การสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชน 4) การส่งเสริมกิจกรรมชุมชน และ 5) การพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศ</p> ดิเรกฤทธิ์ กรีอุต, นาวิน พรมใจสา, วิกรม บุญนุ่น, โกมินทร์ วังอ่อน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์และศาสตร์รวมสมัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JSMIS/article/view/5996 Sun, 30 Nov 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของผู้สูงอายุในการดำเนินการโรงเรียนผู้สูงอายุ ตำบลบ้านกร่าง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JSMIS/article/view/5986 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับการมีส่วนร่วมของผู้สูงอายุในการดำเนินการโรงเรียนผู้สูงอายุ 2) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมดังกล่าว และ 3) ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาการมีส่วนร่วมของผู้สูงอายุให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น งานวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีเชิงปริมาณ โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มผู้สูงอายุที่เป็นสมาชิกโรงเรียนผู้สูงอายุในตำบลบ้านกร่าง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 140 คน ผ่านแบบสอบถาม พร้อมวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้สูงอายุมีระดับการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานของโรงเรียนผู้สูงอายุในระดับสูง ซึ่งสะท้อนถึงความตระหนักรู้และความกระตือรือร้นในการเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม 2) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมของผู้สูงอายุ ได้แก่ การสนับสนุนจากครอบครัว ชุมชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการมีส่วนร่วม 3) อุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการมีส่วนร่วมของผู้สูงอายุ คือ ปัญหาในการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งส่งผลต่อการเข้าถึงข้อมูลและการมีส่วนร่วมในกิจกรรมออนไลน์ จากผลการวิจัยดังกล่าว ข้อเสนอแนะสำคัญคือการพัฒนากลไกสนับสนุนให้ผู้สูงอายุสามารถเข้าถึงและใช้งานเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างโรงเรียนผู้สูงอายุ ชุมชน และภาครัฐ เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน</p> สุดารัตน์ ขุนโต, ธนัสถา โรจนตระกูล, โชติ บดีรัฐ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์และศาสตร์รวมสมัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JSMIS/article/view/5986 Sun, 30 Nov 2025 00:00:00 +0700 การเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประชาชนในตำบลหนองหลุม อำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JSMIS/article/view/5939 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) การเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประชาชน 2) ระดับการรับรู้สิทธิสวัสดิการผู้สูงอายุ 3) เปรียบเทียบปัจจัยที่มีความแตกต่างต่อการเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จำแนกตามคุณลักษณะส่วนบุคคล และ 4) แนวทางการเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประชาชนในตำบลหนองหลุม อำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร การศึกษานี้ใช้รูปแบบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มประชากรเป้าหมายคือประชาชนในตำบลหนองหลุม จำนวน 350 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test และ One-way ANOVA</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) การเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) การรับรู้สิทธิสวัสดิการผู้สูงอายุอยู่ในระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 72.39 3) การเปรียบเทียบปัจจัยคุณลักษณะส่วนบุคคลที่มีความแตกต่างต่อการเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ พบว่าอาชีพที่แตกต่างกันมีการเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (P=.017) และ 4) ประชาชนควรตระหนักถึงความสำคัญและมีการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุทุกด้านตั้งแต่ในวัยทำงาน ทั้งนี้ การสร้างความตระหนักและการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ องค์กรชุมชนและครอบครัวจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถช่วยให้ประชาชนมีการเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุได้ดีมากยิ่งขึ้น</p> ไพสุรางค์ ทั่งทอง, ธนัสถา โรจนตระกูล, กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์และศาสตร์รวมสมัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JSMIS/article/view/5939 Sun, 30 Nov 2025 00:00:00 +0700 การประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดของคณะกรรมการชุมชนเทศบาลนครขอนแก่น อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JSMIS/article/view/6042 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ระดับการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดของคณะกรรมการชุมชนในเขตเทศบาลนครขอนแก่น อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น (2) ความสัมพันธ์ระหว่างหลักอิทธิบาท 4 กับการดำเนินงานด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดของคณะกรรมการชุมชน และ (3) การประยุกต์ใช้หลักอิทธิบาท 4 ในกระบวนการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธีทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ การวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ การเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นคณะกรรมการชุมชน จำนวน 282 คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ เป็นการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลหลัก จำนวน 15 รูปหรือคน และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เทคนิควิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ระดับการดำเนินงานของคณะกรรมการชุมชนในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยเฉพาะด้านการติดตามและประเมินผล นอกจากนี้ยังพบว่าหลักอิทธิบาท 4 มีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูงกับการดำเนินงานของคณะกรรมการชุมชน (r = 0.85, p &lt; 0.01) ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการยึดหลักพุทธธรรมสามารถเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนงานด้านสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นการประยุกต์ใช้หลักอิทธิบาท 4 พบว่า คณะกรรมการชุมชนสามารถนำหลักฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา มาใช้เป็นแนวทางการสร้างแรงจูงใจ เสริมพลังใจ ประสานความร่วมมือ และวางแผนอย่างเป็นระบบในการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของหลักธรรมทางพุทธศาสนาในการส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชน และเป็นแนวทางที่สามารถประยุกต์ใช้ได้จริงในการพัฒนาสังคมไทยในระดับฐานราก</p> รัชพล จำปาแก้ว, สุรพล พรมกุล, สุธิพงษ์ สวัสดิ์ทา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์และศาสตร์รวมสมัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JSMIS/article/view/6042 Sun, 30 Nov 2025 00:00:00 +0700 อิทธิพลเชิงสาเหตุความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารและจัดการภัยพิบัติจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JSMIS/article/view/6208 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการภัยพิบัติจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในพื้นที่อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน และ (2) วิเคราะห์อิทธิพลเชิงสาเหตุของการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ที่มีต่อประสิทธิผลในการบริหารจัดการภัยพิบัติในบริบทดังกล่าว โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้นำท้องถิ่น อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งสิ้น 186 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยด้านความร่วมมือโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยเฉพาะในด้านการปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข ซึ่งได้รับค่าคะแนนเฉลี่ยสูงสุด ( =4.54, S.D.=0.436) รองลงมา ได้แก่ การสื่อสาร การรณรงค์และประชาสัมพันธ์ และขีดความสามารถของชุมชน สะท้อนถึงการมีส่วนร่วมอย่างเข้มแข็งของทุกภาคส่วนในการเผชิญวิกฤต นอกจากนี้ ผลการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณชี้ว่า ปัจจัยอิสระสามารถอธิบายความแปรปรวนของประสิทธิผลในการบริหารจัดการได้ถึงร้อยละ 75 (R²=0.75, p &lt; 0.05) โดยปัจจัยที่มีอิทธิพลเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ ความเข้มงวดของ อสม. (β=0.65) ความเข้มงวดของกำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน (β=0.64) การสื่อสารและประชาสัมพันธ์ (β=0.35) และการสนับสนุนจากภาครัฐ (β=0.29) แม้ความร่วมมือจากภาคเอกชนจะไม่ถึงระดับนัยสำคัญทางสถิติ (β=0.15, p=0.06) แต่ยังแสดงบทบาทสำคัญต่อภาพรวม ขณะที่ความเข้มงวดของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขกลับมีอิทธิพลเชิงลบต่อประสิทธิผล (β=-0.37) ซึ่งอาจสะท้อนข้อจำกัดเชิงระบบหรือผลข้างเคียงจากมาตรการที่เข้มงวดเกินพอดี ข้อค้นพบจากการวิจัยครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเสริมสร้างความร่วมมือเชิงรุกผ่านกลไกภาคประชาชน ผู้นำชุมชน และการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเสนอแนะให้มีการทบทวนและปรับบทบาทของเจ้าหน้าที่ภาครัฐให้มีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับบริบทของชุมชน เพื่อเพิ่มความไว้วางใจและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการภัยพิบัติในอนาคต</p> ภูดิศกรณ์ มูลป่า, สุริยจรัส เตชะตันมีนสกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์และศาสตร์รวมสมัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JSMIS/article/view/6208 Sun, 30 Nov 2025 00:00:00 +0700 ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการอ่างเก็บน้ำธรรมชาติ หนองหลวง จังหวัดเชียงราย https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JSMIS/article/view/6210 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์สภาพปัจจุบันของการบริหารจัดการอ่างเก็บน้ำธรรมชาติหนองหลวง จังหวัดเชียงราย และ 2) จัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาการบริหารจัดการอ่างเก็บน้ำธรรมชาติหนองหลวง จังหวัดเชียงราย กลุ่มตัวอย่างและกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย ประชาชนที่อยู่อาศัยโดยรอบพื้นที่หนองหลวง จำนวน 360 คน ผู้นำชุมชนโดยรอบพื้นที่หนองหลวง จำนวน 23 คน และ ตัวแทนจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการอ่างเก็บน้ำธรรมชาติหนองหลวง จังหวัดเชียงราย จำนวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถาม และการจัดประชุมกลุ่มย่อย ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ บรรยายค่าสถิติด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ประชาชนมีความต้องการในการพัฒนาอ่างเก็บน้ำหนองหลวงให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ โดยให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของชุมชน การบริหารจัดการที่เป็นระบบ การสนับสนุนจากภาครัฐ และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ผู้นำชุมชนมีความตระหนักถึงความสำคัญของอ่างเก็บน้ำหนองหลวง และมีความต้องการอย่างมากที่จะพัฒนาการบริหารจัดการในทุกด้าน เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากอ่างเก็บน้ำได้อย่างเต็มศักยภาพและยั่งยืน ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ได้จากการวิจัยครั้งนี้ คือ การพัฒนาระบบบริหารจัดการอ่างเก็บน้ำธรรมชาติหนองหลวง จังหวัดเชียงราย โดยเสริมสร้างความร่วมมือ พัฒนาบุคลากร ปรับปรุงเทคโนโลยี เพิ่มแหล่งทุน และส่งเสริมการมีส่วนร่วม เพื่อรองรับการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งประกอบด้วยกลยุทธ์ 5 ด้าน ได้แก่ 1) การจัดสรรงบประมาณและแสวงหาแหล่งเงินทุนเพิ่มเติม 2) การพัฒนาบุคลากรและสร้างความร่วมมือ 3) การปรับปรุงเครื่องมือและเทคโนโลยี 4) การสร้างการมีส่วนร่วมและการสื่อสาร และ 5) การวางแผนและการจัดการเชิงกลยุทธ์</p> จิราวุฒิ แก้วเขื่อน, วิกรม บุญนุ่น, โกมินทร์ วังอ่อน, เบญจมาศ เมืองเกษม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์และศาสตร์รวมสมัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JSMIS/article/view/6210 Sun, 30 Nov 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลการดำเนินงานตามนโยบายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์การบริหารส่วนตำบลหนองหญ้าไทร อำเภอสากเหล็ก จังหวัดพิจิตร https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JSMIS/article/view/6223 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาประสิทธิผลการดำเนินงานตามนโยบายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์การบริหารส่วนตำบลหนองหญ้าไทร อำเภอสากเหล็ก จังหวัดพิจิตร (2) วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการดำเนินงาน และ (3) นำเสนอปัญหาและข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ การวิจัยใช้ระเบียบวิธีเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลจากผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยยังชีพในพื้นที่ จำนวน 210 คน โดยใช้ แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน รวมถึงสถิติเชิงอนุมาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การดำเนินงานตามนโยบาย เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์การบริหารส่วนตำบลหนองหญ้าไทร อำเภอสากเหล็ก จังหวัดพิจิตร มีประสิทธิผลอยู่ในระดับมากในทุก มิติที่ประเมิน ได้แก่ ความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูลผู้มีสิทธิ ความตรงต่อเวลาในการจ่ายเบี้ยยังชีพ และคุณภาพของการบริการจากเจ้าหน้าที่ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลการดำเนินงาน ได้แก่ ความชัดเจนของกระบวนการปฏิบัติงาน (p &lt; .05) การสื่อสารภายในองค์กรและสู่ผู้รับบริการ (p &lt; .05) รวมถึงสมรรถนะของบุคลากรที่เกี่ยวข้อง (p &lt; .01) การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงอนุมาน ชี้ให้เห็นว่า การเสริมสร้างความเข้าใจในสิทธิของผู้สูงอายุและการ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการบริหารจัดการ เป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถยกระดับประสิทธิผลได้อย่างมี นัยสำคัญเชิงสถิติ ผลการวิจัยสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการ พัฒนาแนวทางบริหารจัดการเชิงรุกที่เน้นความโปร่งใส การสื่อสารที่ทั่วถึง และการเสริมสร้างศักยภาพบุคลากร เพื่อยกระดับคุณภาพการดำเนินงานตามนโยบายสวัสดิการผู้สูงอายุในระดับท้องถิ่น อย่างยั่งยืน</p> ศุภภิดา สากระจาย, ธนัสถา โรจนตระกูล, กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์และศาสตร์รวมสมัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JSMIS/article/view/6223 Sun, 30 Nov 2025 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำทางการเมืองตามแนวพุทธวิถีของผู้บริหารท้องถิ่นเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในอำเภอซำสูง จังหวัดขอนแก่น https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JSMIS/article/view/6038 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับภาวะผู้นำทางการเมืองในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในอำเภอซำสูง จังหวัดขอนแก่น 2) ความสัมพันธ์ระหว่างหลักฆราวาสธรรม 4 กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ และ 3) เสนอแนวทางการส่งเสริมภาวะผู้นำทางการเมืองตามแนววิถีพุทธในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ สำหรับการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุจำนวน 367 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 12 รูป/คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในอำเภอซำสูงโดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะผู้นำทางการเมืองของผู้บริหารท้องถิ่น ได้แก่ ความสามารถในการสร้างอิทธิพลทางอุดมการณ์ การเป็นแรงบันดาลใจ การกระตุ้นด้วยปัญญา และการคำนึงถึงปัจเจกบุคคล รวมถึงหลักฆราวาสธรรม 4 คือ จาคะ (การเสียสละ) สัจจะ (ความซื่อสัตย์) ทมะ (การข่มใจ) และขันติ (ความอดทน) ล้วนมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ 3) แนวทางการส่งเสริมภาวะผู้นำที่พบ ได้แก่ การบริหารงานอย่างเป็นกลาง ไม่ลำเอียง ให้ความเคารพผู้สูงอายุ มีทักษะในการสื่อสารและอธิบายด้วยข้อมูลที่น่าเชื่อถือ แสดงความใส่ใจ พร้อมช่วยเหลือและแก้ไขปัญหา ซึ่งสะท้อนถึงการเป็นผู้นำที่ผู้สูงอายุสามารถพึ่งพิงได้อย่างแท้จริง อันเป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุอย่างยั่งยืนในระดับท้องถิ่น</p> กฤษณะ โคตรศรีวงษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์และศาสตร์รวมสมัย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JSMIS/article/view/6038 Sun, 30 Nov 2025 00:00:00 +0700