การพัฒนาศักยภาพของพระคิลานุปัฏฐากเพื่อเยียวยา จิตใจผู้ป่วยติดเตียงในเขตอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร
DEVELOPING THE POTENTIAL OF PHRA KILANUPATTHA TO HEAL THE MINDS OF BEDRIDDEN PATIENTS IN MUEANG DISTRICT SAMUT SAKHON PROVINCE
คำสำคัญ:
การพัฒนา, ศักยภาพ, พระคิลานุปัฏฐาก, เยียวยาจิตใจผู้ป่วยติดเตียง, เขตอำเภอเมือง, จังหวัดสมุทรสาครบทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้เป็นการศึกษาแนวทาง “การพัฒนาศักยภาพของพระคิลานุปัฏฐากเพื่อเยียวยาจิตใจผู้ป่วยติดเตียงในเขตอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร” มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาความรู้ บทบาท และกระบวนการทำงานของพระคิลานุปัฏฐากในการเยียวยาจิตใจผู้ป่วยติดเตียง (2) พัฒนาศักยภาพของพระคิลานุปัฏฐากในการดูแลผู้ป่วยติดเตียง และ (3) สร้างเครือข่ายพระคิลานุปัฏฐากในเขตอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกตแบบมีส่วนร่วม กับพระสงฆ์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ครอบครัวผู้ป่วย และผู้ป่วยติดเตียง ผลการวิจัยพบว่า
1.พระคิลานุปัฏฐากมีบทบาทสำคัญในการเยียวยาจิตใจของผู้ป่วยติดเตียง โดยใช้หลักธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นเครื่องมือหลักในการดูแลทางจิตวิญญาณ อาทิ หลักเมตตา วิปัสสนาญาณ และการสนทนาธรรม ช่วยให้ผู้ป่วยเกิดความสงบทางใจ ยอมรับความจริงของชีวิตและความเจ็บป่วยได้อย่างมีศักดิ์ศรี ก่อให้เกิดความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง แม้ในสภาวะร่างกายที่จำกัด สื่อให้เห็นว่าการดูแลผู้ป่วยทางจิตวิญญาณโดยพระสงฆ์เป็นมิติที่สำคัญและเติมเต็มกระบวนการพยาบาลทางโลกอย่างสมบูรณ์
2.การพัฒนาศักยภาพของพระคิลานุปัฏฐากต้องอาศัยการฝึกฝนทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัติ โดยการอบรมเชิงปฏิบัติการด้านการเจริญสติ การฟัง และการเข้าถึงความทุกข์ของผู้ป่วยด้วยความเมตตา พระสงฆ์ที่ได้รับการพัฒนาในลักษณะนี้จะสามารถเข้าถึงจิตใจของผู้ป่วยได้ง่าย ทำให้การเยียวยามีความหมายต่อทั้งผู้ป่วยและพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติ ทั้งนี้เป็นการส่งเสริมการปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์ให้มีมิติขึ้น และสะท้อนพุทธจริยธรรมในบริบทของการดูแลชีวิตที่เจ็บป่วยได้
3.การสร้างเครือข่ายพระคิลานุปัฏฐากจำเป็นต้องอาศัยการบูรณาการความร่วมมือระหว่างวัด ชุมชน หน่วยงานสาธารณสุข และองค์กรภาคีต่าง ๆ โดยมีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานภายในวัดเป็นกลไกสำคัญในการบริหารจัดการกิจกรรมต่าง ๆ การเยี่ยมผู้ป่วย การเจริญเมตตาภาวนา การให้คำปรึกษาทางธรรม และการติดตามผลการดูแลผู้ป่วย รูปแบบการดำเนินงานเช่นนี้ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีจิตใจที่ดี ครอบครัวมีส่วนร่วมในการดูแล และชุมชนมีจิตสำนึกในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของพระสงฆ์ในฐานะ “พระนักเยียวยา” ที่มีบทบาทเชิงรุกในการดูแลสังคมร่วมสมัย
เอกสารอ้างอิง
กันยา สุวรรณแสง (2544). จิตวิทยาทั่วไป. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพมหานคร: พิมพ์ที่อักษรพิทยา.
พระครูพิพิธสุตาทร และคณะ. (2560). ธรรมนูญ-สุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ พุทธศักราช 2560. นนทบุรี: สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ.
พระมหาสุทิตย์ อาภากโร (อบอุ่น). และคณะ. (2556). “รายงานการวิจัยการพัฒนาระบบการบริหารจัดการและการสร้างเครือข่ายองค์กรพระพุทธศาสนาในประเทศไทย”. สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
พระศรีคัมภีรญาณ. (2556). “พุทธปรัชญา”. พิมพ์ครั้งที่ 1. พระนครศรีอยุธยา :มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
ยุวดี รอดจากภัย และคณะ. (2555). รูปแบบการพัฒนาชุมชนและครอบครัวต้นแบบเพื่อดูแลผู้สูงอายุแบบบูรณาการ (ปีที่ 1). กรุงเทพมหานคร : สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ.
วรรณรัตน์ ลาวัง และคณะ.(2547). สถานการณ์ปัญหา ความต้องการและพลังอำนาจ ญาติผู้ดูแลผู้ใหญ่ป่วยเรื่อรังที่บ้าน ในเขตภาคตะวันออก. กรุงเทพมหานคร: คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา.
วันเพ็ญ ปัณราช. (2552). การพัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน. ดุษฎีนิพนธ์ศิลปะศาสตรดุษฎีบัณฑิต. (คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์. มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
สำนักงานเลขานุการกรม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ. (2564). ข้อมูลพื้นฐานทางพระพุทธศาสนา ปี พ.ศ. 2564. (กรุงเทพมหานคร: สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ.
สำนักงานสถิติแห่งชาติ. การสำรวจสภาวะทางสังคมวัฒนธรรมและสุขภาพจิต (2561). รายงานผลการสำรวจประจำปี 2561 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ. 2561. กรุงเทพมหานคร: สำนักงานสถิติแห่งชาติ.
สำนักอนามัยผู้สูงอายุ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. (2551). คู่มือแนวทางการอบรมหลักสูตรพระคิลานุปัฏฐาก พระอาสา-สมัครส่งเสริมสุขภาพประจำวัด - พระ อสว. กรุงเทพมหานคร: องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก.
PatcharawanRaungsrijan etal.. (2011). “Stress of Nurses. Attitude for Development to be a Magnet Hospital and Factors Associated with Stress of Registered Nurses in Private International Hospital”. Journal Physical Association Thailand. Vol. 56 No. 4. October – December








