https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/issue/feed
วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
2025-10-30T15:34:47+07:00
Dr.suriya sanginta
drsuriyasanginta@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารเสียงธรรมจากมหายาน</strong> เป็นวารสารที่มุ่งเน้นการเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการที่มีคุณภาพในด้านพระพุทธศาสนา ปรัชญา ศึกษาศาสตร์ นิติศาสตร์ และสหวิทยาการ โดยเปิดรับผลงานจากคณาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการ และบุคคลทั่วไปที่สนใจพัฒนาความรู้และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาเหล่านี้</p> <p>วารสารให้ความสำคัญกับการกลั่นกรองบทความผ่านกระบวนการ Peer Review จากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 3 ท่าน เพื่อให้มั่นใจว่าบทความที่ตีพิมพ์มีคุณภาพและตรงตามมาตรฐานทางวิชาการ</p>
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/7426
รูปแบบการพัฒนาทักษะการบริหารกิจการคณะสงฆ์ในศตวรรษที่ 21 สำหรับพระสังฆาธิการ เขตการปกครองคณะสงฆ์ ภาค 14
2025-09-15T21:04:12+07:00
พระครูปฐมธีรวัฒน์ บัญชา เทียนทอง
phrakhrupthmthiwathn@gmail.com
พระมหาอกนิษฐ์ สิริปัญโญ
phrakhrupthmthiwathn@gmail.com
ธวัช หอมทวนลม
phrakhrupthmthiwathn@gmail.com
พัชราวลัย ศุภภะ
phrakhrupthmthiwathn@gmail.com
อาคม มากมีทรัพย์
phrakhrupthmthiwathn@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ทักษะที่สนับสนุนประสิทธิภาพการบริหารกิจการคณะสงฆ์ของพระสังฆาธิการในเขตการปกครองคณะสงฆ์ภาค 14 ตลอดจนกำหนดแนวทางการพัฒนาทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 และการสร้างภาคีเครือข่ายเพื่อขับเคลื่อนการบริหาร โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างเชิงคุณภาพได้แก่ พระสังฆาธิการซึ่งเป็นผู้ให้ข้อมูลสำคัญในการสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 15 รูปคน และผู้เข้าร่วมการสนทนากลุ่ม 9 รูปคน รวมทั้งสิ้น 24 รูปคน ขณะที่การวิจัยเชิงปริมาณใช้กลุ่มตัวอย่างพระสังฆาธิการในเขตการปกครองคณะสงฆ์ภาค 14 จำนวน 400 รูปคน ซึ่งได้จากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ทักษะสำคัญที่มีผลต่อการบริหารกิจการคณะสงฆ์ ได้แก่ (1) ทักษะด้านภาวะผู้นำและการจัดการ (2) ทักษะด้านการพัฒนาชุมชนและการสร้างเครือข่าย และ (3) ทักษะด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล ซึ่งล้วนมีบทบาทโดยตรงต่อการทำงานของพระสังฆาธิการในบริบทศตวรรษที่ 21 จากการประเมินตัวชี้วัด พบว่า พระสังฆาธิการมีความรู้ความเข้าใจด้านการบริหารอยู่ในระดับสูงที่สุด (ค่าเฉลี่ย 4.5, SD = 0.7) ขณะที่ทักษะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอยู่ในระดับดี (ค่าเฉลี่ย 4.2, SD = 0.9) แต่ยังมีความแตกต่างระหว่างกลุ่มตัวอย่าง ส่วนการสร้างเครือข่ายความร่วมมืออยู่ในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย 3.8, SD = 1.1) และการจัดการความเสี่ยงเป็นตัวชี้วัดที่ต่ำที่สุด (ค่าเฉลี่ย 3.5, SD = 1.3) แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนาอย่างเร่งด่วน ในด้านการสร้างภาคีเครือข่าย การบริหารกิจการคณะสงฆ์ที่มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากเครือข่ายภายในคณะสงฆ์ เครือข่ายภาครัฐและสถาบันการศึกษา ตลอดจนเครือข่ายภาคประชาสังคมและภาคเอกชน โดยมีเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือสำคัญ กระบวนการดังกล่าวควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของการมีส่วนร่วม ระบบบริหารที่มีมาตรฐาน และความโปร่งใส ดังนั้น การพัฒนาทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 ควรดำเนินการอย่างบูรณาการ โดยผสมผสานองค์ความรู้ด้านการจัดการ ภาวะผู้นำ เทคโนโลยีดิจิทัล การบริหารความเสี่ยง และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ เพื่อให้คณะสงฆ์สามารถปรับตัวและดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้บริบทสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/7284
การพัฒนาห้องเรียนพระพุทธศาสนาภาคภาษาอังกฤษอัจฉริยะเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต
2025-08-29T09:57:43+07:00
ผศ.ดร.บุญมี พรรษา
buymiphrrsa2@gmail.com
ดร.สุวรา นาคยศ
buymiphrrsa2@gmail.com
ผศ.ดร.ชื่นอารมณ์ จันทิมาชัยอมร
buymiphrrsa2@gmail.com
พระมหาสันทัด โสตถิวํโส, ดร.
buymiphrrsa2@gmail.com
พระวชิรวิชญ์ ฐิตวํโส, ดร.
buymiphrrsa2@gmail.com
ดร.วีระพงษ์ แพงคำฮัก
buymiphrrsa2@gmail.com
<p>การวิจัยเรื่อง “การพัฒนาห้องเรียนพระพุทธศาสนาภาคภาษาอังกฤษอัจฉริยะเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต” เป็นรูปแบบการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) โดยใช้กระบวนวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) การศึกษาเอกสาร ใช้วิธีการวิเคราะห์เอกสารที่เกี่ยวข้อง การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) จำนวน 15 คน ร่วมกับการประชุมกลุ่มเฉพาะ (Focus Group) จำนวน 9 คน และเก็บข้อมูลจากผู้เรียนที่เข้าร่วมกิจกรรม 30 คน สำหรับอธิบายข้อมูลในกิจกรรมก่อนและหลังจากการจัดกิจกรรม</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) การศึกษาสภาพการจัดการเรียนการสอนด้วยระบบห้องเรียนพระพุทธศาสนาภาคภาษาอังกฤษอัจฉริยะ พบว่าระบบช่วยให้ผู้เรียนเข้าถึงเนื้อหาได้ง่าย จัดการเรียนรู้ที่เน้นการคิด วิเคราะห์ และเชื่อมโยงกับหลักธรรมะเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน โดยผสมผสานพระพุทธศาสนาแบบดั้งเดิมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่</p> <p>2) การสร้างระบบห้องเรียนพระพุทธศาสนาภาคภาษาอังกฤษอัจฉริยะเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตในห้องเรียนแบบออนไลน์ พบว่า หลักสูตรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเลือกหัวข้อเรียนตามความสนใจ มีทั้งด้านสมาธิ ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา และศิลปวัฒนธรรม เน้นการสอนธรรมะภาคภาษาอังกฤษมีประสิทธิภาพขึ้น ด้วยการจำลองสถานการณ์จริง เน้นการพัฒนาทักษะการสื่อสาร และฝึกใช้ภาษาธรรมะในสถานการณ์จริง มีระบบประเมินตนเองรายสัปดาห์ที่ให้ผู้เรียนสะท้อนสิ่งที่เข้าใจและข้อสงสัย</p> <p>3) การศึกษาผลการใช้ระบบห้องเรียนพระพุทธศาสนาภาคภาษาอังกฤษอัจฉริยะเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตในห้องเรียนแบบออนไลน์ ผลการใช้ระบบ พบว่าคะแนนเฉลี่ยผลการเรียนรู้หลังการจัดกิจกรรมสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงถึงประสิทธิภาพของระบบห้องเรียนในการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน</p> <p>4) การนำเสนอระบบห้องเรียนพระพุทธศาสนาภาคภาษาอังกฤษอัจฉริยะเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตในห้องเรียนแบบออนไลน์ พบว่า ระบบไม่ได้เน้นเพียงภาษาหรือหลักธรรมแยกกัน แต่จัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ มีวิดีโอ เสียง ภาพประกอบ และแบบฝึกในที่เดียวกัน กิจกรรมการเรียนรู้เน้นฝึกสนทนา เข้าใจคำศัพท์เชิงพุทธ และมีการติดตามพัฒนาการของผู้เรียนอย่างใกล้ชิด</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย</strong> ควรส่งเสริมให้มีการนำระบบห้องเรียนพระพุทธศาสนาภาคภาษาอังกฤษอัจฉริยะไปประยุกต์ใช้ในสถานศึกษาต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิตด้านพระพุทธศาสนาที่ใช้กับทักษะภาษาอังกฤษและทักษะดิจิทัล เพื่อเป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนาผู้เรียนให้มีทั้งคุณธรรม ความรู้ และสมรรถนะในการสื่อสารระดับนานาชาติ</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/7174
จากปัญหาสู่พลังเปลี่ยนแปลง: นักรัฐประศาสนศาสตร์กับการเรียนรู้ชุมชนในศตวรรษที่ 21
2025-08-11T07:52:07+07:00
สรวุฒิ สื่อเศรษฐสิทธิ์
Sorawut1352@gmail.com
ผุสดี สายวงศ์
nudeekha@hotmail.com
<p> งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ โดยมีวัตถุประสงค์ 1.เพื่อศึกษากระบวนการบูรณาการ Problem-based Learning (PBL) กับทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ในการพัฒนาศักยภาพของนักศึกษาสาขารัฐประศาสนศาสตร์ในการเรียนรู้ร่วมกับชุมชน 2.เพื่อวิเคราะห์บทบาทใหม่ผลลัพธ์เชิงบวก และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับนักศึกษา รัฐประศาสนศาสตร์และชุมชน ภายหลังจากการใช้กระบวนการเรียนรู้เชิงรุกแบบมีส่วนร่วม กลุ่มเป้าหมายคือนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ วิทยาชุนชนน่าน ปีการศึกษา 2568 จำนวน 8 คน เครื่องมือที่ใช้ แบบสัมภาษณ์เชิงลึกกึ่งโครงสร้างและแบบสังเกตแบบไม่มีส่วนรวม ผลการวิจัยพบว่า การบูรณาการการเรียนรู้แบบ Problem-Based Learning (PBL) กับทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ช่วยพัฒนาศักยภาพของนักศึกษาสาขารัฐประศาสนศาสตร์อย่างมีนัยสำคัญ นักศึกษาสามารถนำความรู้เชิงทฤษฎีไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริงของชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในด้านการคิดเชิงวิพากษ์ การคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหา การทำงานเป็นทีม และการสื่อสาร อีกทั้งสร้างความเข้าใจลึกซึ้งต่อบริบทสังคมและนโยบายสาธารณะ พร้อมตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคม นอกจากนี้ยังส่งเสริมเครือข่ายทางสังคมและความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม พบข้อจำกัดเกี่ยวกับความแตกต่างของบริบทชุมชนและอุปสรรคในการประสานงานที่ต้องมีแนวทางพัฒนาในอนาคตเพื่อเพิ่มประสิทธิผลและความยั่งยืนของกระบวนการนี้.</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/7337
การวิเคราะห์พฤติกรรมและแรงจูงใจในการแข่งขันอีสปอร์ตที่นำไปสู่สมรรถนะอีสปอร์ตของนักศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี
2025-09-05T17:01:53+07:00
ชนาภรณ์ ปัญญาการผล
chanaphorn.pan@gmail.com
ขจรศักดิ์ กั้นใช้
khajonsak.khan@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมและแรงจูงใจในการแข่งขันกีฬาอีสปอร์ตที่นำไปสู่สมรรถนะอีสปอร์ตของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี โดยมีการวิเคราะห์ทั้งในเชิงปริมาณเพื่อทำความเข้าใจกลไกความสำเร็จของนักกีฬาอีสปอร์ตในบริบทอุดมศึกษา เครื่องมือสำหรับเก็บข้อมูลใช้แบบสอบถามที่ครอบคลุมลักษณะทางประชากร พฤติกรรมในการแข่งขัน แรงจูงใจในการแข่งขันทั้งภายในและภายนอก และการประเมินสมรรถนะอีสปอร์ตทั้งเชิงวัตถุและเชิงอัตวิสัย กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยนักศึกษาปริญญาตรีที่เล่นเกม มีบัญชีเกมและมีประสบการณ์แข่งขันเกม Arena of Valor (ROV) จำนวน 405 คน ครอบคลุมทั้ง 3 กลุ่มสาขาวิชา ผลการวิเคราะห์เชิงสถิติพบว่า พฤติกรรมในการแข่งขันโดยรวมอยู่ในระดับค่อนข้างมาก โดยให้ความสำคัญกับการควบคุมอารมณ์และการวิเคราะห์เกมมากที่สุด แต่กลับละเลยพฤติกรรมสุขภาพ ขณะที่แรงจูงใจในการแข่งขัน โดยรวมอยู่ในระดับสูง ซึ่งแรงจูงใจภายในมีอิทธิพลเชิงบวกต่อสมรรถนะอีสปอร์ตมากกว่าแรงจูงใจภายนอก ผลการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณยืนยันว่าแรงจูงใจภายในเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อสมรรถนะอีสปอร์ตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ขณะที่พฤติกรรมการแข่งขันเพียงอย่างเดียวไม่สามารถอธิบายผลลัพธ์ได้อย่างเด่นชัด แต่สามารถเป็นกลไกเชื่อมโยงแรงจูงใจกับสมรรถนะการแข่งขัน สมรรถนะอีสปอร์ตเชิงอัตวิสัยอยู่ในระดับสูง โดยนักศึกษาโดดเด่นด้านการทำงานเป็นทีมและจิตวิทยาการแข่งขัน ส่วนสมรรถนะอีสปอร์ตเชิงวัตถุอยู่ในระดับปานกลาง โดยมีอัตราการชนะสูงแต่ค่าตัวชี้วัด KDA และ Reaction Time ค่อนข้างต่ำ ผลลัพธ์โดยรวมสะท้อนว่าแรงจูงใจภายในและการมีวินัยในการฝึกซ้อมรายวันเป็นตัวแปรสำคัญในการยกระดับสมรรถนะอีสปอร์ต ขณะที่ประสบการณ์การแข่งขันหรือการฝึกซ้อมรายสัปดาห์ไม่ใช่ปัจจัยที่ชัดเจน การวิจัยครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนภาพรวมของนักศึกษาในบริบทอีสปอร์ตเท่านั้น แต่ยังชี้แนวทางให้สถาบันการศึกษาและผู้เกี่ยวข้องสามารถออกแบบกิจกรรม การสนับสนุน และการพัฒนาศักยภาพนักกีฬาอีสปอร์ตได้อย่างยั่งยืน</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/7097
องค์ประกอบภาวะผู้นำทางวิชาการในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มกรุงธนใต้ สังกัดสำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร
2025-07-30T08:58:22+07:00
ไพลิน แพทองคำ
s66561802064@ssru.ac.th
ธดา สิทธิ์ธดา
s66561802064@ssru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำทางวิชาการในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มกรุงธนใต้ สังกัดสำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร และ 2) ศึกษาองค์ประกอบของภาวะผู้นำทางวิชาการในศตวรรษที่ 21 โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือผู้บริหารและครู จำนวน 346 คน ได้จากการสุ่มตัวอย่างตามตารางของ Krejcie และ Morgan เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ (EFA) ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นำทางวิชาการในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาอยู่ในระดับสูง โดยมีองค์ประกอบหลัก 5 ด้าน ได้แก่ 1) การพัฒนาครูและบุคลากร 2) การสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ 3) การกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ และเป้าหมาย 4) การใช้เทคโนโลยีและแหล่งเรียนรู้ และ 5) การบริหารจัดการหลักสูตรและการเรียนการสอน ซึ่งสามารถใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาให้มีศักยภาพในการขับเคลื่อนการศึกษา ให้สอดคล้องกับความต้องการของศตวรรษที่ 21 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำทางวิชาการในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาโดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) องค์ประกอบที่ได้จากการวิเคราะห์ ได้แก่:การพัฒนาครูและบุคลากร การสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ การกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ และเป้าหมาย การใช้เทคโนโลยีและแหล่งเรียนรู้ การบริหารจัดการหลักสูตรและการเรียนการสอน</p> <p> ผลการวิจัยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญขององค์ประกอบภาวะผู้นำทางวิชาการในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา อันเป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาให้มีภาวะผู้นำที่เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบัน</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/7381
เนโครฟีเลียแบบฆาตกรรม: ปัจจัยทางจิตวิทยาและมุมมองจริยธรรมพุทธ สำหรับการบำบัดและการป้องกัน
2025-09-13T14:59:46+07:00
อนุพล มณีรัตน์
anupol2007@gmail.com
ศราวุธ จันทนะ
sarawut52011@gmail.com
ณฤณีย์ ศรีสุข
narunee2533@gmail.com
ธีระยุทธ รักประเทศ
tejasid9@gmail.com
<p>เนโครฟีเลียแบบฆาตกรรม ซึ่งเป็นรูปแบบรุนแรงของความผิดปกติทางเพศที่เกี่ยวข้องกับความต้องการทางเพศต่อศพร่วมกับการฆาตกรรม ก่อให้เกิดปัญหาทางจิตวิทยา จริยธรรม และสังคมอย่างมีนัยสำคัญ วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยทางจิตวิทยาของเนโครฟีเลียแบบฆาตกรรมในมุมมองด้านจริยธรรมของพระพุทธศาสนาและความสอดคล้องหรือความขัดแย้งกับคำสอนทางพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับความตาย ความปรารถนา และศีลธรรม เพื่อเสนอเป็นแนวทางสำหรับการบำบัดและป้องกัน งานวิจัยนี้สำรวจปัจจัยทางจิตวิทยาที่ผลักดันพฤติกรรมดังกล่าว เช่น การบาดเจ็บทางจิตใจที่ไม่ได้รับการแก้ไข ความผิดปกติทางบุคลิกภาพ และโรคทางจิต ร่วมกับหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับความตาย ความปรารถนา และศีลธรรม ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่มีภาวะเนโครฟีเลียแบบฆาตกรรมมักแสดงความรุนแรงร่วมกับความเบี่ยงเบนทางเพศ ซึ่งสร้างภัยคุกคามต่อความปลอดภัยในสังคม จริยธรรมทางพุทธที่เน้นความไม่เที่ยง ความไม่เบียดเบียน และการปล่อยวาง เสนอกรอบแนวคิดเฉพาะทางเพื่อเข้าใจและแก้ไขพฤติกรรมเหล่านี้ด้วยความเมตตา วิธีการแบบบูรณาการนี้ชี้แนะโอกาสบำบัด เช่น สมาธิและเจริญสติควบคู่กับกระบวนการบำบัดแบบจิตวิทยาแบบดั้งเดิม งานวิจัยนี้มีการบูรณาการวิธีการแบบสหสาขาวิชา ทั้งการรักษาทางจิตวิทยา ให้การศึกษาเรื่องจริยธรรม และมาตรการทางกฎหมายเพื่อจัดการและฟื้นฟูผู้มีพฤติกรรมเนโครฟีเลียแบบฆาตกรรม งานวิจัยนี้ช่วยเชื่อมช่องว่างระหว่างจิตวิทยานิติวิทยาศาสตร์กับจริยธรรมทางจิตวิญญาณ พร้อมนำเสนอแนวทางใหม่ในการป้องกันและรักษาความผิดปกติที่พบได้น้อยแต่รุนแรงนี้</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/7285
การพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในการบริหารงานบุคคลด้วยพรหมวิหาร 4 สำหรับพนักงานบริษัทในจังหวัดกรุงเทพมหานคร กรณีศึกษา บริษัท บลูโอเชี่ยนอินเตอร์เทรด จำกัด
2025-08-29T09:59:03+07:00
พิรียา ยะวิญชาญ
phiriyayawiychay67@gmail.com
<p>การวิจัยเรื่อง “การพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในการบริหารงานบุคคลด้วยพรหมวิหาร 4 สำหรับพนักงานบริษัทในจังหวัดกรุงเทพมหานคร กรณีศึกษา บริษัท บลูโอเชี่ยนอินเตอร์เทรด จำกัด” มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย 3 ประการ 1) เพื่อศึกษาการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในการบริหารงานบุคคลด้วยพรหมวิหาร 4 สำหรับพนักงานบริษัทในจังหวัดกรุงเทพมหานคร กรณีศึกษา บริษัท บลูโอเชี่ยนอินเตอร์เทรด จำกัด 2) เพื่อศึกษาวิเคราะห์การพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในการบริหารงานบุคคลด้วยพรหมวิหาร 4 สำหรับพนักงานบริษัทในจังหวัดกรุงเทพมหานคร กรณีศึกษา บริษัท บลูโอเชี่ยนอินเตอร์เทรด จำกัด จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในการบริหารงานบุคคลด้วยพรหมวิหาร 4 สำหรับพนักงานบริษัทในจังหวัดกรุงเทพมหานคร กรณีศึกษา บริษัท บลูโอเชี่ยนอินเตอร์เทรด จำกัด การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีแบบผสมผสาน (Mixed Method Research) โดยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 10 คน ผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) และเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) จากกลุ่มตัวอย่างพนักงานบริษัท บลูโอเชี่ยนอินเตอร์เทรด จำกัด จำนวน 120 คน (ใช้ประชากรทั้งหมด) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) การทดสอบค่าเอฟ (f-test) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One Way ANOVA) รวมถึงการทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่ด้วยวิธี LSD ที่ระดับนัยสำคัญ .05 พร้อมทั้งวิเคราะห์คำตอบแบบสอบถามปลายเปิด</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ผลการวิเคราะห์เชิงปริมาณพบว่า ระดับการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในการบริหารงานบุคคลด้วยพรหมวิหาร 4 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.59, S.D. = 0.342) โดยเรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่ มุทิตาและอุเบกขา ( = 4.72, S.D. = 0.321) เมตตา ( = 4.48, S.D. = 0.557) และกรุณา ( = 4.40, S.D. = 0.553) ทั้งนี้ผลการเปรียบเทียบตามปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ วุฒิการศึกษา และประสบการณ์ทำงาน พบว่าไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งปฏิเสธสมมติฐานที่ตั้งไว้ ผลเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์ช่วยอธิบายเพิ่มเติมว่า การนำหลักธรรมพรหมวิหาร 4 มาประยุกต์ใช้ทำให้การสื่อสารและการทำงานร่วมกันของพนักงานมีความสุภาพ อ่อนโยน และเป็นธรรม เกิดการทำงานเป็นทีมที่เข้มแข็งขึ้น ผู้บริหารควรเป็นต้นแบบการปฏิบัติอย่างมีสติและคุณธรรม เพื่อสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ยั่งยืน ทั้งนี้ยังพบประเด็นปัญหาสำคัญ คือ พนักงานบางส่วนยังขาดทักษะการสื่อสารเชิงสร้างสรรค์ ทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนในการประสานงาน จึงเสนอแนะแนวทางการพัฒนา เช่น การจัดอบรมเชิงปฏิบัติการด้านการสื่อสารด้วยเมตตาและกรุณา เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจ ลดความขัดแย้ง และพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีภายในทีม</p> <p> สรุปงานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่า การพัฒนาทักษะการเรียนรู้ด้านการบริหารงานบุคคลด้วยพรหมวิหาร 4 สามารถยกระดับคุณภาพการทำงานและสร้างบรรยากาศองค์กรที่เกื้อกูลได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะเมื่อบูรณาการทั้งการพัฒนาภายในตนเองและการสนับสนุนจากระบบองค์กรควบคู่กันไป</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/7324
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปสามเหลี่ยม โดยใช้ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD ร่วมกับโปรแกรม GSP ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
2025-09-05T16:43:18+07:00
มลิตรา เปิ้นสันเทียะ
malitra_poe@vu.ac.th
อลงกต ยะไวทย์
y.alongkot@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปสามเหลี่ยมก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD ร่วมกับโปรแกรม GSP ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปสามเหลี่ยมหลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD ร่วมกับโปรแกรม GSP ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กับเกณฑ์ร้อยละ 70 และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD ร่วมกับโปรแกรม GSP กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 ของโรงเรียนจอมทองวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 จำนวน 18 คน โดยใช้การสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปสามเหลี่ยม 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้เป็นข้อสอบแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจ การวิเคราะห์ข้อมูลดำเนินการโดยการวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ตรวจสอบการแจกแจงปกติของข้อมูล พบว่ามีการแจกแจงของคะแนนเป็นโค้งปกติ และทดสอบค่าทีแบบสองกลุ่มสัมพันธ์กัน และการทดสอบทีแบบกลุ่มเดียว โดยมีแบบแผนการวิจัยแบบ One Group Pretest – Posttest Design</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังสูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน = 10.28, หลังเรียน = 23.72) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์หลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (ร้อยละ 79.07) และความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนรู้อยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ยรวม = 4.76 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 0.43)</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/7272
พฤติกรรมการเลือกซื้อเสื้อผ้าแฟชั่นของนักศึกษาภาคปกติ ในมหาวิทยาลัยราชภัฏ วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จังหวัดปทุมธานี ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์
2025-08-23T20:21:43+07:00
กฤติยาภรณ์ บุญพร้อม
pornjira.chan@vru.ac.th
วรีรัตน์ สัมพัทธ์พงศ์
wareerat@vru.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์โดยมีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการเลือกซื้อเสื้อผ้าแฟชั่นของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ฯจังหวัดปทุมธานี ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ (2) เพื่อศึกษาปัจจัยทางการตลาดบนแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อเสื้อผ้าแฟชั่นของนักศึกษา ในมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ฯ จังหวัดปทุมธานี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักศึกษาภาคปกติ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ฯ จังหวัดปทุมธานี จำนวน 373 คน โดยใช้ แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>สรุปผลการวิจัยได้ว่า นักศึกษาภาคปกติมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ฯ มีพฤติกรรมการซื้อเสื้อผ้าแฟชั่นออนไลน์ที่ชัดเจน โดยเน้นที่แพลตฟอร์มยอดนิยม Instagram (คิดเป็นร้อยละ 46.91) และ TikTok (คิดเป็นร้อยละ 44.23) ในด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย และด้านการส่งเสริมทางการตลาด จากการศึกษาวิจัย ผู้วิจัยได้พัฒนารูปแบบโดยแสดงเป็นแผนภาพโมเดล ชื่อว่า “Platform” เพื่อใช้ในการศึกษาพฤติกรรมการเลือกซื้อเสื้อผ้าแฟชั่นของนักศึกษาภาคปกติในมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ฯ จังหวัดปทุมธานี ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ และมุ่งเน้นให้ผู้ประกอบการเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค พร้อมทั้งสามารถปรับกลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาผู้ประกอบการที่จำหน่ายเสื้อผ้าแฟชั่นผ่านแพลตฟอร์มต่างๆรวมทั้งผู้ที่สนใจในธุรกิจนี้ต่อไป</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/7347
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการจูงใจในการอ่านพาดหัวข่าวบันเทิงของนักศึกษา มหาวิทยาลัยเอกชน ในจังหวัดปทุมธานี
2025-09-05T17:04:11+07:00
ศุภชัย ปัญต๊ะวงค์
supachai.pan@northbkk.ac.th
วงศ์วิศว์ หมื่นเทพ
wongwit.mu@northbkk.ac.th
บุษกร วัฒนบุตร
busaaiey2516@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีบทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.)ศึกษาแรงจูงใจในการอ่านพาดหัวข่าวบันเทิงของนักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชนในจังหวัดปทุมธานี 2.)ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการจูงใจในการอ่านพาดหัวข่าวบันเทิงของนักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชนในจังหวัดปทุมธานี กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชน ในจังหวัดปทุมธานีจำนวน 400 คน โดยการเลือกกลุ่มตัวอย่างตามความสะดวก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1.) การจูงใจในการอ่านพาดหัวข่าวบันเทิงของนักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชนในจังหวัดปทุมธานี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านการรับรู้และการเรียนรู้ มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมาได้แก่ ด้านจิตวิทยาและด้านพฤติกรรมและนิสัย ด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด ได้แก่ ด้านสังคมและวัฒนธรรมตามลำดับ 2.) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการจูงใจในการอ่านพาดหัวข่าวบันเทิงของนักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชนในจังหวัดปทุมธานี ได้แก่ ตัวแปรด้านความน่าสนใจของการพาดหัวข่าวบันเทิง(X<sub>1</sub>) (β=.181) ด้านสมรรถนะการรับรู้ข่าวสาร(X<sub>2</sub>) (β=.171) ด้านบริบทของการอ่านพาดหัวข่าวบันเทิง(X<sub>3</sub>) (β=.316) และด้านสภาพแวดล้อมของการพาดหัวข่าวบันเทิง(X<sub>4</sub>) (β=.299) โดยปัจจัยด้านบริบทของการอ่านพาดหัวข่าวบันเทิงมีอิทธิพลมากที่สุด</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/7295
การพัฒนาทักษะปฏิบัติวิชาการงานอาชีพ เรื่อง งานประดิษฐ์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 และความพึงพอใจ ที่มีต่อการใช้รูปแบบการสอนทักษะปฏิบัติของแฮร์โรว์ร่วมกับแบบฝึก
2025-08-29T10:02:02+07:00
ปิยวรรณ โทแหล่ง
piyawan.tholaeng@gmail.com
อลงกต ยะไวทย์
y.alongkot@gmail.com
ชิตพล ดีขุนทด
chitapol_dee@vu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาทักษะปฏิบัติวิชาการงานอาชีพ เรื่อง งานประดิษฐ์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หลังการใช้รูปแบบการสอนทักษะปฏิบัติของแฮร์โรว์ร่วมกับแบบฝึกกับเกณฑ์ร้อยละ 75 2) เพื่อศึกษาระดับคุณภาพชิ้นงาน หลังใช้รูปแบบการสอนทักษะปฏิบัติของแฮร์โรว์ร่วมกับแบบฝึก และ 3) เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนต่อการใช้รูปแบบการสอนทักษะปฏิบัติของแฮร์โรว์ร่วมกับแบบฝึก กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสุนทรวัฒนา โดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบฝึก แบบประเมินทักษะปฏิบัติงาน แบบประเมินคุณภาพชิ้นงาน และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิตที่ใช้ในการวิจัยคือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะปฏิบัติวิชา การงานอาชีพ เรื่อง งานประดิษฐ์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หลังใช้รูปแบบการสอนทักษะปฏิบัติของแฮร์โรว์ร่วมกับแบบฝึก สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ระดับคุณภาพชิ้นงานของนักเรียนหลังการใช้รูปแบบการสอนทักษะปฏิบัติของแฮร์โรว์ร่วมกับแบบฝึก อยู่ในระดับดีมาก ( = 3.64, S.D. = 0.48) และ 3) ระดับความพึงพอใจของนักเรียนต่อการใช้รูปแบบการสอนทักษะปฏิบัติของแฮร์โรว์ร่วมกับแบบฝึก อยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.70, S.D. = 0.43)</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/7299
ปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1
2025-08-29T10:03:06+07:00
สุนิตา อาญาเมือง
22aryamueang@gmail.com
บรรจบ บุญจันทร์
banjobbun21@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียน 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง และ 3) สร้างสมการพยากรณ์ปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหารและครูจำนวน 327 คน โดยใช้แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณ</p> <p>ค่า 5 ระดับ ซึ่งผ่านการตรวจสอบคุณภาพด้วยค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ระหว่าง 0.80-1.00 และค่าความเชื่อมั่นระหว่าง 0.934-0.958 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพื้นฐาน ค่าสหสัมพันธ์เพียร์สัน และการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนและปัจจัยที่เกี่ยวข้องโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด อย่างไรก็ตาม เมื่อวิเคราะห์ด้วยการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน พบว่าปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ การบริหารอย่างมีส่วนร่วม ความฉลาดทางอารมณ์ การติดต่อสื่อสาร การกำหนดวิสัยทัศน์ การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ และการเป็นแบบอย่างที่ดี ทั้งนี้สมการพยากรณ์ที่ได้สามารถอธิบายความแปรปรวนของภาวะผู้นำ<br />การเปลี่ยนแปลงได้ร้อยละ 85.5 และสามารถสร้างสมการณ์พยากรณ์ในรูปของคะแนนดิบและสมการณ์พยากรณ์ในรูปของ<br />คะแนนมาตรฐาน ได้ดังนี้</p> <p>สมการพยากรณ์ในรูปของคะแนนดิบ </p> <p> = 0.288 + .227 (X<sub>3</sub>) + .208 (X<sub>5</sub>) + .177 (X<sub>8</sub>) + .130 (X<sub>1</sub>) + .105 (X<sub>4</sub>) + .087 (X<sub>6</sub>)</p> <p>สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน </p> <p>y = 0.252 (X<sub>3</sub>) + 0.225 (X<sub>5</sub>) + 0.208 (X<sub>8</sub>) + 0.135 (X<sub>1</sub>) + 0.108 (X<sub>4</sub>) + 0.100 (X<sub>6</sub>)</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/7109
แนวทางพัฒนาความสุขในการทำงานยุคดิจิทัลของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1
2025-08-01T12:07:52+07:00
วณัฐพร ศิริเรือง
nook_ooo@hotmail.com
ชัยยศ เดชสุระ
Chaiyos@aru.ac.th
วีรภัทร ภัทรกุล
p_weeraphat@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) ศึกษาระดับความสุขในการทำงานยุคดิจิทัลของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1 (2) เพื่อเสนอแนวทางพัฒนาความสุขในการทำงานยุคดิจิทัลของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1 วิธีดำเนินการวิจัยมี 2 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1.ศึกษาความสุขในการทำงานยุคดิจิทัลของครูในสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1 ทั้งหมด 1,720 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน (Krejcie & Mogan) ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 314 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ขั้นตอนที่ 2 นำเสนอแนวทางพัฒนาความสุขในการทำงานยุคดิจิทัลของครูในสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้เชี่ยวชาญ 7 ท่าน โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ความสุขในการทำงานยุคดิจิทัลของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1 โดยภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก (𝑥̅ = 4.41, S.D. = 0.76)</li> <li>แนวทางพัฒนาความสุขในการทำงานยุคดิจิทัลของครูในสถานศึกษา มีดังนี้ 1) ด้านการติดต่อสัมพันธ์ ครูควรนำเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น Line Official เพื่อสื่อสาร แนะนำ แก้ปัญหาให้นักเรียนอย่างรวดเร็ว พร้อมพัฒนาทักษะครู <br />2) ด้านความรักในงาน ครูควรใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อช่วยในการจัดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ พัฒนาตนเอง และสร้างผลงานที่ภาคภูมิใจ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในวิชาชีพ ทั้งนี้ ความร่วมมือและกำลังใจคือพื้นฐานของความรักในงาน <br />3) ด้านความสำเร็จในงาน ความสำเร็จในงานเกิดจากการทำงานร่วมกันอย่างมีเป้าหมาย โดยผู้บริหารสนับสนุนทรัพยากรและเทคโนโลยี ส่วนครูนำไปใช้ในการสอนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 4) ด้านการเป็นที่ยอมรับ ครูพัฒนาทักษะเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลเพิ่มประสิทธิภาพงานและเผยแพร่ผลงานอย่างน่าเชื่อถือ พร้อมร่วมกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อเป็นที่ยอมรับในวงวิชาชีพ โดยมีผู้บริหารสนับสนุนอย่างจริงจัง</li> </ol>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/7192
รูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์แบบมีส่วนร่วมเพื่อเป็นสถานศึกษาสีขาว ปลอดยาเสพติดและอบายมุข โรงเรียนอนุบาลเฉลิมพระเกียรติจังหวัดบุรีรัมย์
2025-08-16T12:55:22+07:00
ชลาลัย ทะลายรัมย์
wowba017@gmail.com
<p>ยาเสพติดและอบายมุขเป็นปัญหาสำคัญที่คุกคามสถานศึกษาและอนาคตของเยาวชน การแก้ไขปัญหานี้อย่างยั่งยืนจึงต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย งานวิจัยนี้จึงมุ่งพัฒนาและทดลองใช้รูปแบบการบริหารเชิงกลยุทธ์แบบมีส่วนร่วม เพื่อสร้างสถานศึกษาสีขาว ปลอดยาเสพติดและอบายมุข โรงเรียนอนุบาลเฉลิมพระเกียรติจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ การป้องกัน การค้นหา การรักษาเยียวยา และการเฝ้าระวัง การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการบริหารเชิงกลยุทธ์แบบมีส่วนร่วมเพื่อเป็นสถานศึกษาสีขาว ปลอดยาเสพติดและอบายมุข โรงเรียนอนุบาลเฉลิมพระเกียรติจังหวัดบุรีรัมย์ 2) เพื่อสร้างรูปแบบและคู่มือการใช้รูปแบบ 3) เพื่อทดลองใช้รูปแบบและคู่มือการใช้รูปแบบ และ 4) เพื่อประเมินผลการใช้รูปแบบ กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครู และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ที่เป็นแบบกึ่งโครงสร้าง แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม แบบประเมินความเป็นสถานศึกษาสีขาว ปลอดยาเสพติดและอบายมุข แบบสอบถามเกี่ยวกับการประเมินผลผลิตของรูปแบบ แบบประเมินความเหมาะสม ความสอดคล้อง ความมีประโยชน์ และความเป็นไปได้ของรูปแบบ และแบบประเมินความพึงพอใจต่อรูปแบบ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่า PNI<sub>modified</sub> ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ประกอบด้วย 1) ด้านการป้องกัน 2) ด้านการค้นหา 3) ด้านการรักษาเยียวยา และ 4) ด้านการเฝ้าระวัง 2. ผลการสร้างรูปแบบ ประกอบด้วย 1) ชื่อของรูปแบบ 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 3) หลักการของรูปแบบ 4) องค์ประกอบหลักของรูปแบบ 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการป้องกัน ด้านการค้นหา ด้านการรักษาเยียวยา และด้านการเฝ้าระวัง 5) การประเมินรูปแบบ และ 6) เงื่อนไขความสำเร็จของรูปแบบ 3. ผลการทดลองใช้รูปแบบ พบว่า การมีส่วนร่วมตามรูปแบบของกลุ่มเป้าหมาย วงรอบที่ 1 ร้อยละ 95.00 วงรอบที่ 2 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 100 และหลังการทดลองใช้รูปแบบสูงกว่าก่อนการทดลองใช้ทั้งสองวงรอบ โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.05 และ 4. ผลการประเมินรูปแบบ พบว่า ผลผลิตของรูปแบบหลังการทดลองใช้สูงกว่าก่อนการทดลอง โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.75 และความพึงพอใจต่อรูปแบบ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (µ = 4.70, σ = 0.53)</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/7155
การพัฒนารูปแบบการบริหาร SC4D ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมเพื่อเสริมสร้างความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาประจวบคีรีขันธ์
2025-08-06T20:36:30+07:00
ธีระชัย รัตนรังษี
theerachai17082526@gmail.com
<p>งานวิจัยการพัฒนารูปแบบการบริหาร SC4D ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมเพื่อเสริมสร้างความสามารถการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษากรอบแนวคิดและสภาพปัจจุบัน 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหาร SC4D 3) เพื่อประเมินประสิทธิผลของรูปแบบ โดยดำเนินการตามระเบียบวิธีวิจัย 4 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 การวิจัย (R1) ศึกษากรอบแนวคิดการบริหารและสภาพปัจจุบัน ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนา (D1) ออกแบบและการพัฒนารูปแบบการบริหาร SC4D ขั้นตอนที่ 3 การวิจัย (R2) ทดลองใช้รูปแบบการบริหาร SC4D ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วม และขั้นตอนที่ 4 การพัฒนา (D2) ประเมินและปรับปรุงรูปแบบการบริหาร SC4D ใช้สถิติทดสอบค่าที (t-test) แบบ Dependent ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนส่วนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>กรอบแนวคิดการบริหารและสภาพปัจจุบัน ได้แก่ การบริหารการศึกษา การบริหารแบบมีส่วนร่วม การพัฒนารูปแบบ การพัฒนาครู การจัดการเรียนรู้เชิงรุก และทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21</li> <li>รูปแบบการบริหาร SC4D ประกอบด้วย การส่งเสริมสนับสนุน (Support) การสร้างหรือพัฒนานวัตกรรม (Create) การวางแผนพัฒนาการศึกษา (Design) การพัฒนาวิชาชีพ (Development) การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ (Digital) และการขับเคลื่อนโดยข้อมูล (Data-Driven) แบ่งเป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่ ร่วมวางแผน ร่วมดำเนินการ ร่วมประเมินผล และร่วมสะท้อนผล ผลการรับรองรูปแบบการบริหาร SC4D พบว่ารูปแบบมีระดับคุณภาพในระดับดีมาก</li> <li>ประสิทธิผลของรูปแบบการบริหาร SC4D</li> </ol> <p> 3.1 การบริหารสถานศึกษาด้วยรูปแบบการบริหาร SC4D อยู่ในระดับคุณภาพมากที่สุด ( = 4.638, S.D. = 0.34)</p> <p> 3.2 ครูมีความรู้ในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกก่อนการใช้รูปแบบและหลังการใช้รูปแบบแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> 3.3 ความสามารถในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูหลังใช้รูปแบบสูงกว่าก่อนใช้รูปแบบ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> 3.4 ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักเรียนหลังใช้รูปแบบสูงกว่าก่อนใช้รูปแบบ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> 3.5 ผู้บริหารและครูมีความพึงพอใจต่อรูปแบบการบริหาร SC4D ในระดับมากที่สุด ( = 4.63, S.D = 0.34)</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/7331
สมรรถนะที่จำเป็นของครูด้านการประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียน : กรอบแนวคิดในการขับเคลื่อนการประเมินในชั้นเรียน
2025-09-05T16:57:22+07:00
ลือฤทธิ์ ดำกระเด็น
kim.luerit@gmail.com
ธนิยา เยาดำ
thaniya.y@tsu.ac.th
เมธี ดิสวัสดิ์
matee@tsu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สังเคราะห์กรอบแนวคิดสมรรถนะครูด้านการประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียน <br />2) พัฒนาเครื่องมือในการประเมินสมรรถนะครูด้านการประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียน ดำเนินการวิจัยเป็น 2 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 สังเคราะห์กรอบสมรรถนะครูด้านการประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียนโดยศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และตรวจสอบโดยการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ ระยะที่ 2 สร้างแบบประเมิน และตรวจสอบคุณภาพของแบบประเมิน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน และครูผู้สอน จำนวน 30 คน ในการทดลองใช้เครื่องมือ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบสัมภาษณ์สมรรถนะครูด้านการประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียน 2) แบบประเมินสมรรถนะครูด้านการประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียน วิเคราะห์คุณภาพเครื่องมือ ได้แก่ ค่าความตรงเชิงเนื้อหา (IOC) และค่าความเชื่อมั่น (Reliability) โดยคำนวณหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค (Cronbach’s Alpha coefficient)วิเคราะห์ข้อมูลโดยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และการวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) กรอบแนวคิดสมรรถนะครูด้านการประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียนมี 7 องค์ประกอบ 16 ตัวบ่งชี้ 39 รายการพฤติกรรม ดังนี้ 1.1) การกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ 1.2) การชี้แจงวัตถุประสงค์ของการประเมิน <br />1.3) การเก็บรวบรวมข้อมูลการเรียนรู้ 1.4) การประเมินผลจากหลักฐานการเรียนรู้ 1.5) การสะท้อนผลการเรียนรู้ <br />1.6) การปรับปรุงและพัฒนาการเรียนรู้ 1.7) การสรุปผลการเรียนรู้ และจากการตรวจสอบองค์ประกอบโดยการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญมีความเหมาะสม สามารถนำไปใช้เป็นกรอบในการวิจัยได้ คิดเป็นร้อยละ 100 2) แบบประเมินสมรรถนะครู<br />ด้านการประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียนมีลักษณะมาตรวัดประมาณค่า 5 ระดับ คือ ปฏิบัติน้อยที่สุด น้อย ปานกลาง มาก และมากที่สุด ผลการตรวจสอบคุณภาพของแบบประเมินมีค่าดัชนีความสอดคล้องของเนื้อหามีค่าตั้งแต่ 0.67-1.00 และค่าความเชื่อมั่น ทั้งฉบับเท่ากับ 0.956</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/7227
การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้จากพื้นที่จริง PLACE-H เพื่อเสริมสร้างสุขภาวะ ของนักศึกษาระดับอุดมศึกษา
2025-08-20T10:16:12+07:00
กฤติกรณ์ แกมใบ
mathee.ma1579@gmail.com
เมธี อนันต์
Mathee.ma1579@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน ความต้องการ และปัญหาในการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาระดับอุดมศึกษา (2) พัฒนารูปแบบการเรียนรู้จากพื้นที่จริง PLACE-H เพื่อเสริมสร้างสุขภาวะของนักศึกษา และ (3) ทดลองใช้รูปแบบการเรียนรู้จากพื้นที่จริง PLACE-H และ (4) ประเมินความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อรูปแบบที่พัฒนาขึ้น การวิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยและพัฒนา (Research and Development) โดยกลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี สังกัดวิทยาลัยช่างศิลป สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 20 คน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีลักษณะเฉพาะทางด้านทัศนศิลป์ จึงมีความเหมาะสมเป็นพิเศษกับรูปแบบ PLACE-H ที่เน้นกิจกรรมจากพื้นที่จริงผ่านกระบวนการเรียนรู้เชิงวัฒนธรรมและศิลปะ โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบอาสาสมัคร (Volunteer Sampling) เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถาม แบบประเมินรูปแบบ และแบบวัดสุขภาวะองค์รวมของนักศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) รวมทั้งการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า (1) สภาพปัจจุบันการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมสุขภาวะโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง นักศึกษามีความต้องการการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมสุขภาวะในระดับสูงถึงสูงมาก และประเด็นปัญหาการเรียนรู้ส่วนใหญ่สะท้อนถึงความจำเป็นในการสร้างรูปแบบที่ตอบสนองต่อมิติสุขภาวะทั้งกาย ใจ สังคม และปัญญา (2) รูปแบบการเรียนรู้จากพื้นที่จริง PLACE-H (Participatory Learning, Localized Content, Active & Authentic Learning, Community Engagement, Experiential Learning, Holistic Health Focus) ที่พัฒนาขึ้นมีองค์ประกอบสำคัญ 6 ด้าน ได้แก่ หลักการ จุดมุ่งหมาย เนื้อหา กิจกรรม สื่อ และการประเมินผล โดยผ่านการตรวจสอบความเหมาะสมจากผู้เชี่ยวชาญอยู่ในระดับ เหมาะสมมากที่สุด (3) ผลการทดลองใช้รูปแบบการเรียนรู้จากพื้นที่จริง PLACE-H พบว่านักศึกษามีคะแนนสุขภาวะหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ (4) นักศึกษามีความคิดเห็นต่อรูปแบบโดยรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/7304
ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงาน ของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 4
2025-08-29T10:06:05+07:00
นิศาชล วรสุข
nisachon1503@gmail.com
บรรจบ บุญจันทร์
banjobbun21@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 4, 2) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 4 และ 3) เพื่อสร้างสมการพยากรณ์ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 4 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 4 จำนวนทั้งสิ้น 327 คน กลุ่มตัวอย่างได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิใช้ตำแหน่งเป็นชั้นภูมิในการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบเป็นมาตราส่วนประมาณค่า แบ่งออกเป็น 5 ระดับ ซึ่งผ่านการตรวจสอบคุณภาพด้วยค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ระหว่าง 0.80-1.00 และค่าความเชื่อมั่น การปฏิบัติงานของครู ค่าความเชื่อมั่นโดยรวม เท่ากับ .924 และภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ ค่าความเชื่อมั่นโดยรวม เท่ากับ .988 สถิติที่ใช้ คือ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 4 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 4 ด้านการมีวิสัยทัศน์ ด้านความยืดหยุ่น ด้านการมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล โดยภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด 3) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 4 ด้านการมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และด้านการมีวิสัยทัศน์ มีอิทธิพลต่อการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 4 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยด้านที่มีอิทธิพลสูงที่สุด คือ ด้านการมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ รองลงมา คือ ด้านการมีวิสัยทัศน์ ตามลำดับ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณระหว่างด้านเหล่านี้กับการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 4 เป็น .546 และด้านเหล่านี้สามารถอธิบายความแปรปรวนการปฏิบัติงานของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 4 ได้ร้อยละ 29.40</p> <p> จากผลการวิจัยนี้ สามารถนำไปสร้างสมการพยากรณ์ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 4</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/7302
ปัจจัยคัดสรรที่ส่งผลต่อการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 3
2025-08-29T10:04:32+07:00
อัจฉราภรณ์ นามศรีชาติ
tickey1234@gmail.com
บรรจบ บุญจันทร์
banjobbun21@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 3 2) ศึกษาปัจจัยคัดสรรที่ส่งผลต่อการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 3 และ 3) สร้างสมการพยากรณ์ปัจจัยคัดสรรที่ส่งผลต่อการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 3 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 3 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 313 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ ได้แก่ ค่าความตรง (Validity) และค่าความเชื่อมั่น (Reliability) คือ การดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน มีค่าความเชื่อมั่นโดยรวมเท่ากับ .907 และปัจจัยคัดสรรที่ส่งผลต่อการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน มีค่าความเชื่อมั่นโดยรวมเท่ากับ .948 สถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) การดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 3 โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ด้านการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล ด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุดคือ ด้านการคัดกรองนักเรียน 2) ปัจจัยคัดสรรที่ส่งผลต่อการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 3 โดยภาพรวม อยู่ในระดับมากเมื่อพิจารณาเป็นรายปัจจัย พบว่า อยู่ในระดับมากทุกปัจจัย โดยปัจจัยที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดคือ ปัจจัยภาวะผู้นำ ปัจจัยที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุดคือ ปัจจัยการทำงานเป็นทีม และ 3) ปัจจัยคัดสรรที่ส่งผลต่อการดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 3 มีทั้งหมด 6 ปัจจัย โดยเรียงตามปัจจัยที่มีอิทธิพลสูงที่สุด คือ ปัจจัยความร่วมมือของครู ผู้ปกครอง และชุมชน รองลงมา คือ ปัจจัยเทคโนโลยีสารสนเทศ ปัจจัยการทำงานเป็นทีม ปัจจัยภาวะผู้นำ ปัจจัยการบริหารจัดการ และปัจจัยงบประมาณและทรัพยากรทางการศึกษา ตามลำดับ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณระหว่างปัจจัยเหล่านี้กับการดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนเป็น .899 และปัจจัยเหล่านี้สามารถอธิบายความแปรปรวน การดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนได้ร้อยละ 80.4 ทั้งนี้ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 3 จากผลการวิจัยที่พบว่าปัจจัยความร่วมมือของครู ผู้ปกครอง และชุมชน มีอิทธิพลสูงสุด ดังนั้น จึงควรส่งเสริมให้ผู้บริหารสถานศึกษาและครูได้รับการพัฒนาเกี่ยวกับการดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/7145
การศึกษาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของครูประถมศึกษาตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดอุบลราชธานี
2025-08-05T16:29:56+07:00
ปิยาพัชญ์ นิธิศอัครานนท์
maybelowas@gmail.com
อภิญญา สุขช่วย
Apinya.s@ubru.ac.th
ชวนคิด มะเสนะ
Chuankid.m@ubru.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของครูประถมศึกษาตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดอุบลราชธานี และ 2) เพื่อเปรียบเทียบคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของครูประถมศึกษาตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดอุบลราชธานี โดยจำแนกตามเพศ ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 296 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบความแตกต่างค่าเฉลี่ยด้วยค่าที และสถิติทดสอบความแปรปรวนทางเดียว (F-test แบบ One way ANOVA)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของครูประถมศึกษาตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดอุบลราชธานี โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (𝑥̅= 4.86, S.D. = 0.10) 2) ผลการเปรียบเทียบเปรียบเทียบคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของครูประถมศึกษาตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดอุบลราชธานี โดยจำแนกตามเพศ ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/7291
ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3
2025-08-29T10:00:36+07:00
ปิยดา อาษา
pangpiyada33899@gmail.com
บรรจบ บุญจันทร์
banjobbun21@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาระดับการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา 2) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา และ 3) สร้างสมการพยากรณ์ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษากับการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 32 คน และครู จำนวน 288 คน เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม ที่มีค่าความตรง 1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาและ</p> <p>ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมเท่ากับ .935 และ .906 ตามลำดับ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการถดถอยพหุคูณ</p> <p>แบบขั้นตอน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด ได้แก่ ด้านการกำหนดมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา รองลงมา คือ ด้านการจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา ด้านการจัดทำรายงานผลการประเมินตนเองประจำปี ด้านการดำเนินงานตามแผนพัฒนาการจัดการศึกษา และด้านการตรวจสอบ ประเมิน และติดตามผลการดำเนินงานของสถานศึกษา 2) ระดับภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ด้านการนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ รองลงมา คือ ด้านการวางแผนเชิงกลยุทธ์ ด้านการกำหนดกลยุทธ์ และด้านการคิดเชิงปฏิวัติ 3) ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ในศตวรรษที่ 21 ทุกด้านมีอิทธิพลร่วมกันต่อการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เขียนสมการพยากรณ์ ได้ดังนี้<br />สมการพยากรณ์ในรูปแบบมาตรฐาน<br /><sub>y </sub>= 0.453(การนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ) + 0.187(การวางแผนเชิงกลยุทธ์) + 0.142(การกำหนดกลยุทธ์)<br /> + 0.141(การคิดเชิงปฏิวัติ)</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/7088
องค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มเขตกรุงธนใต้ สังกัดสำนักงานการศึกษากรุงเทพมหานคร
2025-07-28T14:23:48+07:00
นุชนาถ ไตรยวงค์
s66561802069@ssru.ac.th
ธดา สิทธิ์ธาดา
thada.si@ssru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา และ (2) ศึกษาองค์ประกอบของภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาในกลุ่มเขตกรุงธนใต้ สังกัดสำนักงานการศึกษากรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้บริหารสถานศึกษา 34 คน และข้าราชการครู 312 คน รวมทั้งสิ้น 346 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ซึ่งมีค่าความเที่ยงตรงเนื้อหา (IOC) ระหว่าง 0.67–1.00 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.986 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ (EFA) โดยใช้วิธี Principal Component Analysis และการหมุนแกนแบบ Varimax ผลการวิจัยพบว่า โดยรวมผู้บริหารมีภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 4.47, S.D. = 0.71) ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูง ได้แก่ การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี การรับฟังความคิดเห็น และการส่งเสริมการทำงานเป็นทีม การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจพบองค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ 8 ด้าน ได้แก่ (1) การทำงานเป็นทีม (2) การส่งเสริมนวัตกรรม (3) วิสัยทัศน์และการวางแผน (4) จินตนาการและการคิดนอกกรอบ (5) การคำนึงถึงปัจเจกบุคคล (6) ความยืดหยุ่นและการปรับตัว (7) การแก้ปัญหาและการตัดสินใจ และ (8) การสร้างมนุษยสัมพันธ์ ซึ่งสามารถอธิบายความแปรปรวนรวมได้ร้อยละ 86.28</p> <p>ผลการวิจัยสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริหารมีภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ที่หลากหลาย สอดคล้องกับแนวคิดภาวะผู้นำในศตวรรษที่ 21 และสามารถนำผลไปใช้ในการประเมินตนเองและวางแผนพัฒนาผู้นำสถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/7638
การพัฒนาระบบการฝึกกรรมฐานสำหรับชาวต่างชาติสู่การสร้างมาตรฐาน Soft Power
2025-10-21T10:58:08+07:00
แม่ชีจิราภรณ์ ขนาดนิด
joomchiraporn@gmail.com
พระเจริญพงษ์ ธมฺมทีโป
charoenphong.wi@mcu.ac.th
พระมหาศุภวัฒน์ ฐานวุฑฺโฒ
s.boonthong2529@gmail.com
<p class="5175"><span lang="TH">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ออกแบบหลักสูตรการฝึกอบรมกรรมฐานสำหรับชาวต่างชาติ 2) จัดอบรม ติดตาม และประเมินผลการฝึกอบรม และ 3) ยกระดับการฝึกกรรมฐานให้เป็น </span>Soft Power <span lang="TH">ของไทย โดยใช้ระเบียบวิธีแบบผสานวิธี (</span>Mixed Methods) <span lang="TH">ประกอบด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ผู้ให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน จำนวน 1</span>5<span lang="TH"> รูป/คน ผู้ร่วมในการสนทนากลุ่มเฉพาะ จำนวน 5 รูปคน และผู้เข้าร่วมกิจกรรมปฏิบัติธรรมจำนวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่ม กิจกรรมฝึกปฏิบัติ และการประเมินผล</span></p> <p class="7"><span lang="TH">ผลการวิจัยพบว่า </span></p> <p class="7"><span lang="TH">1. หลักสูตรที่พัฒนาขึ้นสอดคล้องกับแนวโน้มสากล เน้นธรรมะสากล โดยใช้สติปัฏฐาน 4 และพรหมวิหาร 4 ใช้ภาษาง่าย เข้าถึงได้ และสื่อสารข้ามวัฒนธรรมอย่างเหมาะสม กิจกรรมมีทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อสร้างการเรียนรู้เชิงลึก</span></p> <p class="7"><span lang="TH">2. การฝึกอบรมตามแนวทาง </span>IsMed Model <span lang="TH">มีความเป็นระบบ เข้าใจง่าย และตอบโจทย์ผู้เข้าร่วมจากหลากหลายวัฒนธรรม โดยผู้เข้าร่วมกว่า 90% พึงพอใจ เข้าใจธรรมะเบื้องต้น และสามารถนำไปใช้พัฒนาตนได้จริง</span></p> <p class="7"><span lang="TH">3. การยกระดับกรรมฐานให้เป็น </span>Soft Power <span lang="TH">ของไทยโดยการพัฒนาหลักสูตร บุคลากร พื้นที่ สื่อ และเครือข่าย ใช้ศูนย์อบรมต้นแบบ การยกระดับกรรมฐานให้เป็น </span>Soft Power <span lang="TH">ของไทย มุ่งเน้นการพัฒนาหลักสูตร บุคลากร พื้นที่ สื่อ และเครือข่าย โดยใช้ศูนย์อบรมต้นแบบ ในวัดมหาธาตุและเสถียรธรรมสถาน พร้อมการใช้สื่อดิจิทัลเพื่อขยายการเข้าถึง ผู้เข้าร่วมมีความสงบ เข้าใจธรรมะ และสามารถฝึกสติในชีวิตประจำวัน ผลลัพธ์สำคัญของการวิจัยคือการเสนอ </span>IsMed Model <span lang="TH">ประกอบด้วย 1) หลักสูตรที่เป็นมิตรต่อชาวต่างชาติ 2) ความเรียบง่าย 3) การจัดการข้ามวัฒนธรรม 4) การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง และ 5) การใช้สื่อร่วมสมัย เพื่อยกระดับการฝึกกรรมฐานไทย</span></p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/7573
บทบาทของพระพุทธศาสนากับการส่งเสริมค่านิยมคนรุ่นใหม่ไม่ยุ่งเกี่ยวอบายมุข
2025-10-13T11:52:32+07:00
พระมหาเอกพันธ์ มะเดื่อ
maduea.3511@gmail.com
พระครูวิริยปัญญาภิวัฒน์ .
maduea.3511@gmail.com
พระครูปลัด อรรถสิทธิ์ อริยเมธี (เตชะแก้ว)
maduea.3511@gmail.com
พระปรัชญา ชยวุฑฺโฒ (ถิ่นแถว)
maduea.3511@gmail.com
พระมหาฉัตรชัย ธมฺมวรเมธี (ทันบาล)
maduea.3511@gmail.com
<p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอบทบาทของพระพุทธศาสนาในการส่งเสริมค่านิยมที่ถูกต้องแก่คนรุ่นใหม่ เพื่อป้องกันและลดปัญหาการยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข โดยวิเคราะห์ผ่านแนวคิดหลักทางพระพุทธศาสนา สถานการณ์ปัจจุบัน และแนวทางการประยุกต์ใช้หลักธรรมในชีวิตประจำวัน ผลการศึกษาพบว่า หลักธรรมสำคัญ เช่น ศีล 5 โดยเฉพาะการงดเว้นจากสุราและยาเสพติด มีบทบาทในการเสริมสร้างจิตสำนึกและความรับผิดชอบของเยาวชน ในขณะที่สังคมปัจจุบัน เยาวชนมีความเสี่ยงสูงต่ออบายมุขจากปัจจัยหลายประการ เช่น อิทธิพลจากเพื่อน สื่อสังคมออนไลน์ และการขาดหลักยึดเหนี่ยวทางจิตใจ การวิเคราะห์ชี้ว่าการแก้ปัญหาต้องเน้นการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจและการเผยแพร่หลักธรรมที่เข้าถึงได้ง่าย</p> <p>บทความยังนำเสนอแนวทางการประยุกต์ใช้หลักธรรม เช่น อิทธิบาท 4 เพื่อสร้างความเพียร ไตรสิกขา เพื่อพัฒนาศีล สมาธิ และปัญญา และมัชฌิมาปฏิปทา เพื่อการดำเนินชีวิตที่สมดุล นอกจากนี้ ยังแนะนำให้ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น แอปพลิเคชันและพอดแคสต์ธรรมะ รวมถึงการสร้างความร่วมมือระหว่างครอบครัว โรงเรียน และสถาบันทางศาสนา สรุปได้ว่า พระพุทธศาสนาเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างค่านิยมที่ถูกต้องและป้องกันอบายมุขอย่างยั่งยืน โดยต้องอาศัยการปรับตัวด้านสื่อ การศึกษา และกิจกรรมให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของเยาวชนในยุคปัจจุบัน</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/7610
ศึกษาวิเคราะห์หลักธรรมที่ปรากฏในพิธีกรรมของคณะสงฆ์อนัมนิกาย
2025-10-13T11:55:57+07:00
ดร.จักรพงษ์ ทิพสูงเนิน
pumjakkapong@gmail.com
ดร. พระพิสิษฐ์ ศรีวิชา
Mahayantour@gmail.com
พระทินวงศ์ วงค์แวง
Tinwong95@gmail.com
ดร.สุริยา แสงอินตา
Suriya5179@hotmail.com
กมลทิพย์ สุพร
Kamontip_007@hotmail.com
<p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ การศึกษาวิเคราะห์เกี่ยวกับหลักธรรมคำสอนที่ปรากฏในพิธีกรรมของคณะสงฆ์อนัมนิกายในประเทศไทย โดยเฉพาะหลักธรรมที่ปรากฏในพิธีกรรมการทำบุญอุทิศ โดยการศึกษาจากข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวข้อง โดยพิธีกรรมการทำบุญอุทิศ เช่น พิธีกงเต็ก และ ทิ้งกระจาด คือ การมุ่งเน้นการปฏิบัติเพื่อสร้างบารมี ละชั่ว ทำความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส ตามแก่นแท้หัวใจหลักของพระพุทธศาสนา</p> <p>พระพุทธเจ้าทรงใช้วิธี 3 ประการ คือ การปฏิรูป การปฏิวัติ และการบัญญัติข้อธรรมขึ้นใหม่ ซึ่งการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของคณะสงฆ์อนัมนิกายที่มาพร้อมพิธีกรรม อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการปฏิรูป และการปฏิวัติคำสอนของลัทธิเต๋าและขงจื๊อ เข้ากับแนวคิดทางพระพุทธศาสนา ซึ่งหลักธรรมคำสอนที่ปรากฏในพิธีกรรม มี 2 อย่าง คือ อามิสบูชา พิธีกรรมที่ต้องบูชาด้วยวัตถุสิ่งของ และ ปฏิบัติบูชา คือ พิธีกรรมที่ต้องเน้นการบูชาด้วยปฏิบัติ และยังมีหลักธรรมคำสอนอื่นๆ ที่สอดแทรกในพิธีกรรมด้วย เช่น เมตตากรุณาในการบำเพ็ญตนเป็นพระโพธิสัตว์ และความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณหรือกตัญญูต่อบรรพบุรุษ เช่น พิธีกงเต๊ก ซึ่งเป็นหลักธรรมเรื่องความกตัญญูและบูชาคนที่ควรบูชา สอนให้คนรู้จักความกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว โดยการระลึกถึงคุณงามความดี มีความศรัทธาในการประกอบพิธีกรรมทำบุญอุทิศตามความเชื่อทางศาสนา และการบำเพ็ญบารมี เช่น ทานบารมี ศีลบารมี เป็นต้น</p> <p>นอกจากนี้ พิธีกรรมยังเป็นแนวทางการปฏิบัติเพื่อมุ่งสู่ปลายทาง คือ บรมสุขที่มีแดนสุขาวดีเป็นเป้าหมาย โดยการภาวนาพระนามของพระอมิตาภพุทธเจ้าตามความเชื่อแบบพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ซึ่งสะท้อนผ่านความศรัทธาและความเชื่อในพระพุทธศาสนามหายาน</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/7270
สิทธิสตรีและภาวะผู้นำสตรี: มิติทางกฎหมาย สังคม และการบริหาร
2025-08-23T20:00:21+07:00
อุทัย อินทรักษ์
uthai29041962@gmail.com
พระมหาอกนิษฐ์ สิริปญฺโญ (อาจวิชัย)
akanit12@gmail.com
อาคม มากมีทรัพย์
uthai29041962@gmail.com
จตุรงค์ อินทรรุ่ง
uthai29041962@gmail.com
ไพสันติ์ ศรีแปง
uthai29041962@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์และสังเคราะห์ระหว่างสิทธิสตรีและภาวะผู้นำสตรีในมิติทางกฎหมาย สังคม และการบริหาร โดยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของสิทธิสตรีในฐานะสิทธิมนุษยชนที่ยืนยันศักดิ์ศรีและความเสมอภาคของผู้หญิง ในประเทศไทยได้ตรากฎหมายและรัฐธรรมนูญเพื่อรับรองความเสมอภาคระหว่างเพศ ในเรื่องการห้ามเลือกปฏิบัติทางเพศ การคุ้มครองจากความรุนแรงในครอบครัว และการแก้ไขคำนำหน้านาม แต่ในทางปฏิบัติผู้หญิงคงเผชิญการละเมิดสิทธิและความเหลื่อมล้ำในครอบครัว แรงงาน และการเข้าถึงความยุติธรรม ในมิติทางสังคมและการบริหาร ผู้หญิงได้รับโอกาสเข้าสู่ตลาดแรงงานและดำรงตำแหน่งผู้นำมากขึ้น อันเป็นผลจากขบวนการปลดปล่อยสตรีและการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่ช่วยยกระดับการยอมรับบทบาทสตรี แต่ก็ยังพบความท้าทายสำคัญคือ “เพดานแก้ว” และทัศนคติชายเป็นใหญ่ที่ยังคงเป็นอุปสรรคในการก้าวสู่ตำแหน่งสูงสุด ทั้งที่ผลการศึกษาหลายชิ้นยืนยันว่าความสำเร็จของภาวะผู้นำขึ้นอยู่กับความสามารถส่วนบุคคล มิได้ขึ้นอยู่กับเพศ ผู้บริหารสตรีมักพบว่ามีจุดแข็งด้านมนุษยสัมพันธ์และการทำงานแบบมีส่วนร่วม ช่วยเสริมสมดุลต่อสไตล์ผู้นำชายที่เน้นความเด็ดขาดและการแข่งขัน โดยสรุป สิทธิสตรีและภาวะผู้นำสตรีเป็นดัชนีสำคัญของพัฒนาการทางสังคมและการเมือง การส่งเสริมบทบาทสตรีทั้งในมิติทางกฎหมายและทางวัฒนธรรมสังคมจะช่วยสร้างความเสมอภาค และเป็นแรงผลักดันต่อการพัฒนาประเทศ</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/7308
บทบาทพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านและพระสงฆ์ต่อการอนุรักษ์โบราณสถานและโบราณวัตถุ ในประเทศไทย
2025-08-29T10:07:39+07:00
ดร.แม่ชีจิราภรณ์ ขนาดนิด
joomchiraporn@gmail.com
พระมหาศุภวัฒน์ ฐานวุทฺโฒ (บุญทอง)
s.boonthong2529@gmail.com
พระสมุห์นพดล อตฺถยุตฺโต (สุทนต์)
noppadol.suthon@gmail.com
พระมหาณรงค์ศักดิ์ สุทนฺโต (สุทนต์)
narongsag@gmail.com
พระมหาพุฒิแผน ปญฺญาวุโธ (พูนพัด)
joomchiraporn@gmail.com
<p>บทความวิชาการเรื่อง “บทบาทพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านและพระสงฆ์ต่อการอนุรักษ์โบราณสถานและโบราณวัตถุในประเทศไทย” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสังเคราะห์องค์ความรู้เกี่ยวกับความหมาย แนวคิด และบทบาทของพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านและพระสงฆ์ต่อการอนุรักษ์โบราณสถานและโบราณวัตถุในประเทศไทย โดยอาศัยการทบทวนวรรณกรรม เอกสารทางวิชาการ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ผลการศึกษาพบว่า โบราณสถานและโบราณวัตถุในประเทศไทยส่วนใหญ่สัมพันธ์กับพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นวัด โบสถ์ วิหาร เจดีย์ พระพุทธรูป หรือศิลปกรรมแขนงต่าง ๆ ที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และเทคโนโลยีในแต่ละยุคสมัย การอนุรักษ์โบราณสถานจึงเปรียบเสมือนการดูแลรักษามรดกทางจิตวิญญาณและตำรามีชีวิตที่สืบทอดจากบรรพชน พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านปรากฏบทบาทสำคัญในฐานะสถาบันถาวรที่รวบรวม อนุรักษ์ และจัดแสดงวัตถุสะท้อนวิถีชีวิต ภูมิปัญญา และประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เพื่อการศึกษาและสร้างจิตสำนึกแก่ประชาชน โดยมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน ขณะที่พระสงฆ์ทำหน้าที่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ ผู้พิทักษ์ดูแลศาสนสถาน และผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการอนุรักษ์ ผ่านการบูรณะซ่อมแซมศาสนวัตถุ การเผยแพร่ธรรมะ และการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐ แต่ก็พบว่าทั้งพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านและพระสงฆ์ยังเผชิญความท้าทายในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นข้อจำกัดด้านงบประมาณ การขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการบูรณะ หรือผลกระทบจากการท่องเที่ยวที่อาจทำลายคุณค่าเชิงวัฒนธรรม หากไม่บริหารจัดการอย่างเหมาะสม สรุปได้ว่า พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านและพระสงฆ์ต่างมีบทบาทเชื่อมและเสริมกัน โดยพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านทำหน้าที่เก็บรวบรวมและเผยแพร่ความรู้เชิงวัฒนธรรม ขณะที่พระสงฆ์เป็นผู้ดูแลรักษาและสร้างจิตสำนึกในเชิงศาสนาและคุณธรรม ทั้งสองกลไกนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการธำรงรักษาและสืบทอดโบราณสถานและโบราณวัตถุให้คงอยู่คู่สังคมไทย</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/7194
สมรรถนะการวิจัย : ตัวช่วยครูไทยพัฒนาผู้เรียน
2025-08-16T12:56:45+07:00
บุณฑริก ศรีบุญเรือง
caty990bs@gmail.com
วงศ์วิศว์ หมื่นเทพ
caty990bs@gmail.com
ตระกูล จิตวัฒนากร
caty990bs@gmail.com
<p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของสมรรถนะการวิจัยของครู บทบาทของครูในฐานะนักวิจัย และนำเสนอแนวทางในการส่งเสริมสมรรถนะดังกล่าวเพื่อนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพผู้เรียน โดยบทความนี้เขียนขึ้นจากการสังเคราะห์วรรณกรรมและเอกสารทางวิชาการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสมรรถนะทางการวิจัย เป็นความสามารถของบุคคลในการดำเนินการวิจัยให้ประสบความสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่สมรรถนะทางการวิจัย มีองค์ประกอบหลัก 3 ด้าน ประกอบด้วย สมรรถนะด้านความรู้ สมรรถนะด้านทักษะ และสมรรถนะด้านเจตคติ สมรรถนะการวิจัยของครูผู้สอน มีผลต่อการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนเป็นอย่างมาก ทั้งในการแก้ปัญหาและพัฒนาคุณภาพผู้เรียน สมรรถนะทางการวิจัยที่มีในตัวครู จะสนับสนุนให้ครูจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยใช้การวิจัยมาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนหรือแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน ให้เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละกลุ่มที่มีความต้องการที่แตกต่างกัน เช่น มีการค้นหาวิธีสอนที่ดีขึ้น จัดหานวัตกรรมมาใช้ในการสอน นำวิจัยมาใช้ในการวิเคราะห์ผู้เรียน วิเคราะห์ผลการเรียน ประเมินผลการเรียน รวมทั้งวิเคราะห์ประสิทธิภาพการสอนของครู เพื่อการพัฒนาและแก้ปัญหาขณะจัดการเรียนการสอน มุ่งหวังให้ผู้เรียนมีคุณภาพเป็นไปตามเกณฑ์หรือวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ นอกจากการให้ความรู้ การฝึกทักษะเชิงปฏิบัติการ และการสร้างเจตคติที่ดีในเรื่องการวิจัยให้กับครูแล้ว นโยบายจากผู้บังคับบัญชาหรือจากหน่วยงานต้นสังกัด ที่กำหนดให้ใช้ผลงานวิจัยเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการเลื่อนเงินเดือนและการขอมีหรีอขอเลื่อนวิทยฐานะ จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนให้ครูหันทำวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนเพิ่มขึ้น</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/7233
โคปีและพระชายาของพระกฤษณะในภาควตปุราณะ สกันธะที่ 10: ความสำคัญความเหมือน และความต่าง ในฐานะตัวแทนแห่งภักติ
2025-08-20T10:20:03+07:00
สุปรีชญา จับใจ
supreechayach@hotmail.com
ผศ.ดร.สมบัติ มั่งมีสุขศิริ
sombat69@hotmail.com
<p class="127"><span lang="TH">ในบรรดาลีลาอันหลากหลายที่ปรากฏในภาควตปุราณะ สกันธะที่ 10 เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับมธุรยรส </span><br /><span lang="TH" style="letter-spacing: -.3pt;">(รสแห่งความรักฉันชู้สาว) นับว่ามีความโดดเด่นอย่างยิ่ง โดยมีสตรีสองกลุ่มหลักที่เป็นศูนย์กลางของรสนี้ คือ เหล่านางโคปี แห่งวฤนทาวนะ และอัษฏภรรยาหรือพระชายาเอก</span><span lang="TH" style="letter-spacing: -.4pt;">ทั้งแปดพระองค์แห่งทวารกา บทความนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (</span><span style="letter-spacing: -.4pt;">Qualitative Research) <span lang="TH">โดยใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา บทบาท ความสำคัญ</span></span><span lang="TH"> พลวัตความสัมพันธ์กับพระกฤษณะ และนัยยะทางปรัชญาของสตรีทั้งสองกลุ่มนี้ โดยการตีความเปรียบเทียบ<span style="letter-spacing: -.3pt;">ความเหมือนและความต่างตามที่ปรากฏในบริบทของภาควตปุราณะ สกันธะที่ 10 เป็นหลัก รากฐานทางปรัชญาฮินดูที่สำคัญที่สุด</span>ซึ่งแทรกอยู่ในเรื่องราวเหล่านี้<span style="letter-spacing: -.5pt;">คือแนวคิดเรื่องภักติ หรือความรักความภักดีอย่างอุทิศถวายต่อพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งได้รับการนำเสนอ</span><span style="letter-spacing: -.4pt;">ว่าเป็นหนทางอันสูงสุดสู่ความสุขและการหลุดพ้น การปรากฏตัวของทั้งโคปีและอัษฏภรรยา</span>ในภาควตปุราณะ สกันธะที่ 10 มีนัยยะสำคัญทางปรัชญาอย่างยิ่ง ทั้งสองกลุ่มร่วมกันแสดงให้เห็นถึงความรักอันศักดิ์สิทธิ์และรูปแบบความสัมพันธ์ที่หลากหลายซึ่งดวงวิญญาณสามารถมีต่อพระผู้เป็นเจ้าสูงสุดหรือพระกฤษณะ พวกนางเป็นตัวแทนของรสและระดับความเข้มข้นของภักติที่แตกต่างกัน เรื่องราวของพวกนางยังเผยให้เห็นถึงความสมบูรณ์<span style="letter-spacing: -.3pt;">พร้อมของพระกฤษณะ ผู้ทรงสามารถดำรงอยู่ในความสัมพันธ์ที่หลากหลาย ตั้งแต่ความใกล้ชิด</span>สนิทสนมอย่างลึกซึ้งและท้าทายขนบกับนางโคปี ไปจนถึงความสัมพันธ์ที่ผสานเข้ากับสังคมและขนบธรรมเนียมกับอัษฏภรรยา สิ่งนี้สะท้อนบทบาทของพระองค์ทั้งในฐานะสุดยอดของคนรักและสุดยอดของผู้ค้ำจุนธรรมะและหัวใจของเหล่าสาวก</span></p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/7166
การจัดการเรียนการสอนอ่านวรรณคดีด้วยเทคนิคการตั้งคำถามผู้เขียน
2025-08-11T07:50:00+07:00
พระมหาพิเชษฐ์ อตฺตานุรกฺขี
mmike2557@gmail.com
พระมหาศิริศักดิ์ ธมฺมสกฺโก
Paosirisak2539@gmail.com
พระมหาศราวุธ วราวุโธ
sarawut.pooton@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและนำเสนอแนวทางการจัดการเรียนการสอนวรรณคดีไทย โดยประยุกต์ใช้เทคนิค Questioning the Author (QTA) ซึ่งเป็นกระบวนการที่เน้นให้ผู้เรียนสร้างปฏิสัมพันธ์กับบทอ่านผ่านการตั้งคำถามต่อผู้เขียน เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านอย่างเข้าใจและการคิดวิเคราะห์เชิงลึกในผู้เรียน เทคนิค QTA เหมาะสมที่สุดกับผู้เรียนระดับมัธยมศึกษา เนื่องจากตรงกับพัฒนาการทางการคิดของวัยนี้ ที่สามารถเชื่อมโยง ตั้งคำถาม วิเคราะห์ และตีความเชิงลึกได้ ขณะเดียวกันก็สามารถปรับใช้ในระดับประถมปลายเพื่อฝึกทักษะการอ่าน และระดับอุดมศึกษาเพื่อการวิพากษ์วรรณคดีอย่างเข้มข้น เทคนิค QTA ถูกพัฒนาขึ้นโดย Beck & McKeown เป็นกระบวนการสอนอ่านที่เน้นการตั้งคำถามต่อผู้เขียน การอภิปราย และการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับบทอ่าน เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาในเชิงลึก เกิดความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ และสามารถสร้างความหมายจากข้อความได้ด้วยตนเอง บทความได้กล่าวถึงกรอบทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ทฤษฎีโครงสร้างความรู้ (Schema Theory) และทฤษฎีสรรคนิยม (Constructivism) พร้อมทั้งนำเสนอขั้นตอนการสอนด้วยเทคนิค QTA อย่างเป็นระบบ ได้แก่ การวางแผนการสอน การเตรียมบทอ่าน การตั้งคำถาม การจัดกิจกรรมก่อน–ระหว่าง–หลังการอ่าน และการอภิปรายในชั้นเรียน ผลจากการประยุกต์ใช้เทคนิคดังกล่าวพบว่า ช่วยพัฒนาทักษะการตั้งคำถาม การตีความเนื้อหา และความสามารถในการวิเคราะห์วรรณคดีของผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังส่งเสริมการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) และการมีส่วนร่วมของผู้เรียนในกระบวนการเรียนการสอนอย่างแท้จริง</p>
2025-10-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน