https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/issue/feed วารสารเสียงธรรมจากมหายาน 2024-03-31T14:30:14+07:00 Dr.suriya sanginta [email protected] Open Journal Systems <p><strong>ประเภทของผลงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร<br /></strong>1) บทความวิจัย (Research Article) เป็นบทความที่นำเสนอการค้นคว้าวิจัย เกี่ยวกับพุทธศาสนา บริหารการศึกษา ปรัชญา จิตวิทยา การพัฒนาชุมชม การพัฒนาสังคม นิติศาสตร์ การศึกษาเชิงประยุกต์ รวมถึงสหวิทยาการอื่นๆ<br />2) บทความวิชาการ (Academic Article) เป็นบทความวิเคราะห์ วิจารณ์ หรือเสนอแนวคิดใหม่</p> <p><strong>กำหนดออกเผยแพร่วารสาร </strong>กำหนดออกวารสารปีละ 6 ฉบับ เผยแพร่ 2 เดือนต่อ ฉบับ <br />ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม - กุมภาพันธ์ ฉบับที่ 2 เดือน มีนาคม - เมษายน<br />ฉบับที่ 3 เดือน พฤษภาคม - มิถุนายน ฉบับที่ 4 เดือน กรกฎาคม - สิงหาคม<br />ฉบับที่ 5 เดือน กันยายน - ตุลาคม ฉบับที่ 6 เดือน พฤศจิกายน - ธันวาคม<br />(วารสารนิตยสารเสียงธรรมจากมหายาน เริ่มเผยแพร่ออนไลน์ ตั้งแต่เมื่อ พ.ศ. 2559)</p> https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/3673 ความรับผิดชอบต่อสังคมในการสร้างจิตสำนึกในการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม 2024-01-24T17:14:25+07:00 พระสมุห์นพดล อตฺถยุตฺโต (สุทนต์) [email protected] กัญญาพร สุทธิพันธ์ [email protected] สุพัฒน์ ชัยวรรณ์ [email protected] พระครูปฐมสุตากร สิทฺธิรตโน (รัตนะ ชุ่มนาค) [email protected] พระมหาชุมพล สุทสฺสี (ตันวัฒนเสรี) [email protected] <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong> </strong>วัตถุประสงค์ในความรับผิดชอบต่อสังคมในการสร้างจิตสำนึกในการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เพื่อเสริมสร้างการมีจิตสำนึก ต่อการดำรงอยู่ของสังคมภายใต้กระแสการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากจิตสำนึกสาธารณะเป็นความรับผิดชอบซึ่งเกิดขึ้นภายใน คือ ความรู้สึกนึกคิด และจริยธรรม ซึ่งเป็นพื้นฐานอย่างหนึ่งในการสร้างจิตสำนึกของนักท่องเที่ยวหรือคนในสังคมจะสังเกตดูได้ว่ามีการขาดจิตสำนึกอยู่เป็นส่วนมากจึงต้องนักท่องเที่ยวหรือคนในแหล่งพื้นควรมีการสร้างจิตสำนึก รู้จักการร่วมแรงร่วมใจกัน ปลูกสร้างจิตสำนึกเพื่อให้เกิดจิตสำนึกที่ดี มีความรับผิดชอบ รู้จักการอนุรักษ์วัฒนธรรม ไม่ทิ้งขยะและของเสีย ไม่สร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศ และสิ่งแวดล้อม สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่า ความงดงาม สภาพทางเศรษฐกิจและสังคม โดยผ่านการสะท้อนความเป็นอยู่และวิถีชีวิต แหล่งวัฒนธรรมและประเพณี เพื่อให้เป็นสิ่งที่เกิดความภาคภูมิใจอีกทั้งยังส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อให้เกิดมูลค่ามากขึ้น ส่วนสำคัญของนักท่องเที่ยวที่ต้องตระหนักถึงการรักษาวัฒนธรรม และการบูรณาการเชิงประวัติศาสตร์</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/3672 บทบาทของพระสงฆ์ในการมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาชุมชนในยุคปัจจุบัน 2024-01-24T17:13:02+07:00 พระมหาณรงค์ศักดิ์ สุทนฺโต (สุทนต์) [email protected] พระมหาบุญรอด มหาวีโร (สืบด้วง) [email protected] พัสกร อุ่นกาศ [email protected] พระอิชย์ศิวัช จิตฺตสํวโร (จุติปราโมทย์) [email protected] พระครูใบฎีกาทัตพล จนฺทวํโส (แผลงปาน) [email protected] <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong> </strong>พระสงฆ์มีส่วนร่วมในการนำไปสู่การพัฒนาชุมชนในยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก และวัด เป็นศูนย์รวมจิตใจ ซึ่งจะขาดไม่ได้เนื่องจากคนในสมัยก่อน ต่างเข้าหาวัดเป็นที่พึ่งพิงทางจิตใจ เป็นลักษณะของบทบาทที่ชัดเจนตั้งแต่สมัยอดีตมาแล้ว ชุมชน ประชาชน พระสงฆ์ ต่างมีความเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน ถ้าในมุมมองของบทบาทพระสงฆ์เกี่ยวกับเชิงแนวคิดเกี่ยวกับทางบทบาทจะมองว่า เป็นบทบาทของสังคมที่คาดหวัง หรือเป็นการขึ้นอยู่กับบทบาทที่เป็นอยู่ ตลอดจนการยอมรับในบทบาท และหน้าที่ให้ทันข่าวสาร และรู้เท่าทันในยุคสมัยๆ โดยคำนึงถึงคำนึงถึงการดำเนินการพัฒนาการสร้างความพร้อมในการแก้ไขปัญหา การคิดริเริ่มโดยอาศัยองค์ความรู้ ทักษะ และการพัฒนาตนเอง รวมไปถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อตอบสนองการไปสู่ความสำเร็จ อีกทั้งยังต้องก้าวให้ทันต่อเทคโนโลยี เพื่อการมีส่วนร่วมของพระสงฆ์ในปัจจุบันเพื่อพัฒนาชุมชนในยุคปัจจุบันมีประสิทธิภาพและพัฒนาต่อไป</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/3723 THE DEVELOPMENT COURSE OF GUANGXI NATIONAL OPERA 2024-01-29T16:54:12+07:00 Wenwen Wei [email protected] Phakamas Jirajarupat [email protected] Liu Lingling [email protected] <p>The developmental course of the Guangxi National Opera is delineated, emphasizing its historical origins, unique identity, milestone productions, transitional phases, rapid development, and integration. This narrative unfolds against the backdrop of the evolution of traditional Chinese opera, influenced by Western opera and cultural transitions. Guangxi national opera emerges as a distinctive form deeply rooted in the traditions of twelve fraternal ethnic groups, exemplifying a dedicated commitment to both cultural preservation and innovation. Key productions, such as "Liu Sanjie," "Zhuang Jin," and "Daqin Lingqu," stand as milestones, celebrating the diverse cultural elements of Guangxi. The transitional period witness’s artistic innovation, while the rapid development phase reflects the seamless integration of national and opera themes. In conclusion, the journey of Guangxi National Opera encapsulates a dynamic blend of history, culture, and creativity, underscoring the region's resilience and unwavering commitment to cultural expression.</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/319-327 MAONAN FOLK MUSIC INNOVATIVE DEVELOPMENT STRATEGY IN WE-MEDIA ERA 2024-01-29T16:56:24+07:00 Rongyu Long [email protected] Nataporn Rattachaiwong [email protected] Liu Lingling [email protected] <p>The ancient Maonan folk music has withstood the severe test of time, emerging with vibrant colors from its solid foundation. The melodies widely sung in Maonan communities embody independence and a profound ethnic cultural spirit. However, today, Maonan folk music faces challenges related to inheritance and development due to various factors, including social changes. To revive and propel Maonan folk music forward, we-media, as a new channel of dissemination, should be utilized to reshape and rejuvenate the content of Maonan folk music in terms of diversity, concentration, and popularity. By leveraging we-media as a platform, Maonan folk music can capture the attention and preference of the public, paving the way to explore new opportunities for development in technology-based communication channels.</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/4032 พระอนัมนิกายบิณฑบาต: การศึกษาเบื้องต้นของปรัชญาและปฏิบัติการในพุทธศาสนา 2024-03-30T13:45:12+07:00 ดร.สุริยา แสงอินตา [email protected] <p>ชาวเวียดนามได้อพยพเข้ามาในสยามตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี แต่ยังไม่มีการสืบค้นข้อมูลที่แน่ชัด ในปี พ.ศ.2316 เกิดกบฏที่เมืองเว้ ประเทศเวียดนาม ทำให้เชื้อพระวงศ์เวียดนามต้องอพยพลงมาทางใต้ เจ้าเมืองฮาเตียนได้อพยพครอบครัวและองเชียงซุนเข้ามายังกรุงธนบุรีในปี พ.ศ. 2319 พระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดเกล้าฯ ให้รับไว้และพระราชทานที่ให้ตั้งบ้านเรือนอยู่นอกพระนครทางฝั่งตะวันออก ต่อมาองเชียงซุนพยายามจะหลบหนี จึงถูกประหารชีวิต ญวนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มแรกที่อพยพเข้ามาตั้งรกรากในสยาม พระอนัมนิกายบิณฑบาตมีแนวคิดหลักที่สำคัญเกี่ยวกับการศึกษาเบื้องต้นของปรัชญาและปฏิบัติการในพุทธศาสนา ซึ่งประกอบด้วยการศึกษาและวิเคราะห์เกี่ยวกับสี่ประการหลัก หรือ "ประการบ่งบอกแห่งพระอนัมนิกาย" ที่ได้รับคำสอนจากพระพุทธเจ้าเอง</p> <p>คณะสงฆ์เวียดนามในประเทศไทยจึงต้องปรับปรุงแก้ไขระเบียบประเพณีและวัตรปฏิบัติของพวกเขา ให้สอดคล้องกับพระสงฆ์ไทยในหลายประการ เพื่อให้สามารถประสานงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในเรื่องการออกบิณฑบาตและการทำวัตรเช้าและเย็น การถือวิกาลโภชนา และการผนวกพิธีกรรมฝ่ายเถรวาท หนึ่งในการปรับปรุงที่สำคัญคือการทำให้มีการปฏิบัติพิธีทางศาสนาที่เข้ากันได้กับวัฒนธรรมและประเพณีของพระสงฆ์ไทย เช่น การมีพิธีทอดกฐินและทอดผ้าป่า การจัดพิธีบวช และพิธีเข้าพรรษา เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและสภาพความเป็นอยู่ของพระสงฆ์ในประเทศไทย</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/3864 วิธีการอ่านภาษาบาลีเบื้องต้น 2024-03-03T09:56:20+07:00 พระมหาทรงวิทย์ วริทฺธิฐายี [email protected] พระมหาทรงชัย วิชยเภรี [email protected] <p>บทความนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอวิธีการอ่านภาษาบาลีเบื้องต้น โดยเริ่มศึกษาหลักอักขรวิธีของภาษาบาลีอักษรไทยเฉพาะส่วน จากการศึกษาพบว่า ระบบการอ่านภาษาบาลีอักษรไทยนั้น มี ๔ องค์ประกอบสำคัญคือ (๑) สระ ๘ ตัว (๒) พยัญชนะ ๓๒ ตัว (๓) นิคคหิต (อํ) และ (๔) สัญลักษณ์ . (จุดพินทุทึบใต้พยัญชนะ) นักศึกษาผู้ต้องการอ่านภาษาบาลี จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความรู้และมีความเข้าใจใน ๔ องค์ประกอบสำคัญดังกล่าวอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ได้ฐานในการอ่านภาษาบาลีที่ถูกต้อง อันจะเป็นอุปการะสำคัญต่อการเขียนภาษาบาลีได้อย่างถูกต้องตามลำดับ ในทางกลับกัน หากนักศึกษาไม่รู้จักวิธีการอ่านภาษาบาลีอย่างเป็นระบบ โดยเริ่มจากการอ่านผิด การเขียนก็เป็นอันผิดพลาดไปด้วยเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ <br />การท่องบ่นทรงจำและการบอกกล่าวแสดงธรรมผ่านภาษาบาลีก็เป็นอันคลาดเคลื่อนไปด้วยได้เช่นกัน</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/3772 คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารมืออาชีพยุคใหม่ตามทัศนคติของครูผู้สอนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 2024-02-16T17:27:01+07:00 ดิเรก แสงกนึก [email protected] วิรัลพัชร วงศ์วัฒน์เกษม [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารมืออาชีพยุคใหม่ ตามความคิดเห็นของครูผู้สอนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 2) เปรียบเทียบคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารมืออาชีพยุคใหม่ ตามความคิดเห็นของครูผู้สอนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 จำแนกตามระดับการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงานและขนาดของโรงเรียน 3) เพื่อศึกษาแนวทางพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารมืออาชีพตามทัศนคติของครูผู้สอนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูผู้สอน ปีการศึกษา 2566 จำนวน 331 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน และสุ่มแบบอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตรส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.80 – 1.00 มีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.82 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) และค่าเอฟ (F-test)</p> <p> ผลวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารมืออาชีพยุคใหม่ ตามทัศนคติของครูผู้สอนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก </li> <li> ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารมืออาชีพยุคใหม่ตามทัศนคติของครูผู้สอนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 จำแนกตามระดับการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงานและขนาดของสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน </li> </ol> <p> 3. แนวทางพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารมืออาชีพตามทัศนคติของครูผู้สอนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 ประกอบด้วย 9 ด้าน ได้แก่ 1) คุณลักษณะด้านผู้นำต้องเป็นผู้นำทางวิชาการและวิชาชีพ 2) คุณลักษณะด้านคุณธรรมจริยธรรม บริหารสถานศึกษาแบบซื่อตรง ปฏิบัติตามกฎหมาย และระเบียบแบบแผน 3) คุณลักษณะด้านวิชาการ ต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับขอบข่ายของงานวิชาการ 4) คุณลักษณะด้านบุคลิกภาพ มีบุคลิกภาพที่ดีวางตัวอย่างเหมาะสม 5) คุณลักษณะด้านมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีอัธยาศัยดี ให้เกียรติผู้อื่น 6) คุณลักษณะด้านความสามารถในการบริหารสถานศึกษาต้องความสามารถในการบริหารงาน ทั้ง 4 ฝ่าย 7) คุณลักษณะด้านการมีวิสัยทัศน์ กำหนดบทบาทของครูและบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษาให้เหมาะสม 8) คุณลักษณะด้านการสร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพ ต้องกำหนดบทบาทหน้าที่ของบุคลากรให้เหมาะสม ตรงตามความสามารถ 9) คุณลักษณะด้านการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในสถานศึกษา ต้องนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงานภายในสถานศึกษาเพื่อความรวดเร็ว และลดภาระงานด้านเอกสารของครู</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/3660 ภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีในศตวรรษที่21 ของผู้บริหารสถานศึกษา ศูนย์พัฒนาคุณภาพเมืองเก่า-พันชนะ จังหวัดนครราชสีมา 2024-01-24T17:08:33+07:00 ไพจิตร สิงห์ซอม สิงห์ซอม [email protected] วิรัลพัชร วงศ์วัฒน์เกษม [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีในศตวรรษที่21 ของผู้บริหารสถานศึกษา ศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึกษามาตรฐานเมืองเก่า-พันชนะ จังหวัดนครราชสีมา 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีในศตวรรษที่21 ของผู้บริหารสถานศึกษา ศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึกษามาตรฐานเมืองเก่า-พันชนะ จังหวัดนครราชสีมา จำแนกตามการดำรงตำแหน่งและประสบการณ์ในการทำงาน จำนวน 86 คน กำหนดขนาดโดยใช้ตารางเครจซี่และมอร์แกน และได้โดย การสุ่มแบบกลุ่ม (cluster random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67 – 1.00 และมีค่าความเชื่อมั่น 0.96 สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที<br /> (t-test)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีในศตวรรษที่21 ของผู้บริหารสถานศึกษา ศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึกษามาตรฐานเมืองเก่า-พันชนะ จังหวัดนครราชสีมา ในภาพรวมอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยภาพรวมอยู่ในระดับ มาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยี รองลงมาคือ ด้านมีการสนับสนุน <br />การจัดการและการดำเนินการในการใช้เทคโนโลยี และด้านมีการใช้เทคโนโลยีในการบริหาร ตามลำดับ ด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านมีวิสัยทัศน์ในการใช้เทคโนโลยี</li> <li>การเปรียบเทียบภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีในศตวรรษที่21 ของผู้บริหารสถานศึกษา ศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึกษามาตรฐานเมืองเก่า-พันชนะ จังหวัดนครราชสีมา ตำแหน่งและประสบการณ์ในการทำงาน ในภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน</li> </ol> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/3656 ภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสกลนคร 2024-01-19T09:53:10+07:00 สุพล จอกทอง [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสกลนคร 2) เปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสกลนคร จำแนกตามระดับการศึกษา และประสบการณ์ในการทำงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 331 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน และสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.80-1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.94 สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) และค่าเอฟ (F-test)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>1. ภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสกลนคร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านที่มีการปฏิบัติสูงสุดคือ ด้านความเป็นผู้นำด้านคุณธรรมรองลงมาคือ ด้านความซื่อสัตย์ ด้านความไว้วางใจ และด้านที่มีการปฏิบัติต่ำสุด คือ ด้านความยุติธรรม</li> <li>การเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสกลนคร และจำแนกตามระดับการศึกษา โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน และจำแนกตามประสบการณ์ในการทำงานโดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน ยกเว้นด้านความยุติธรรมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> </ol> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/3614 ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 2024-01-10T09:23:04+07:00 ราตรี อุดม [email protected] วิรัลพัชร วงศ์วัฒน์เกษม [email protected] กฤษฎา วัฒนศักดิ์ [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาและปรียบเทียบระดับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรีเขต 2 จำแนกตาม ตำแหน่ง ระดับการศึกษา และขนาดของสถานศึกษา 2) ศึกษาแนวทางในการส่งเสริม ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน ปีการศึกษา 2566 จำนวน 297 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน และสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.80 – 1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.82 สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และค่าเอฟ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านการมุ่งความสำเร็จ รองลงมาคือ ด้านการมีความยืดหยุ่น ด้านความไว้วางใจ ตามลำดับ ด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการมีวิสัยทัศน์</li> <li>ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 จำแนกตาม ตำแหน่ง และระดับการศึกษา โดยภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน จำแนกตามขนาดของสถานศึกษา โดยภาพรวมพบว่าไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านการมีวิสัยทัศน์ แตกต่างกันโดยมีนัยสำคัญที่ระดับ .05</li> <li>แนวทางในการส่งเสริมภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 ประกอบด้วย 4 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการมีวิสัยทัศน์ 2) ด้านความไว้วางใจ 3) ด้านการมุ่งความสำเร็จ และ 4) ด้านการมีความยืดหยุ่น</li> </ol> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/3474 ภาวะผู้นำตามสถานการณ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1 2024-01-15T19:55:00+07:00 สุปราณี คลังจินดา [email protected] วิรัลพัชร วงศ์วัฒน์เกษม [email protected] กฤษฎา วัฒนศักดิ์ [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำตามสถานการณ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำตามสถานการณ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำตามสถานการณ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู โรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 322 คน โดยกำหนดกลุ่มตัวอย่างตามตารางสำเร็จรูปเครจซี่และมอร์แกน การสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.80-1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบทั้งฉบับเท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และค่าเอฟ</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำตามสถานการณ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำตามสถานการณ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1 จำแนกตามตำแหน่ง และขนาดของสถานศึกษา พบว่า โดยภาพรวมมีการปฏิบัติที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อพิจารณารายด้านมีการปฏิบัติไม่แตกต่างกันในขนาดของสถานศึกษา และจำแนกตามประสบการณ์การทำงาน พบว่า โดยภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน 3) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำตามสถานการณ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1 พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษาควรเน้นกฎระเบียบข้อบังคับและการใช้คำสั่งของโรงเรียน ในการบังคับให้คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติงาน คอยตรวจสอบการปฏิบัติงานของครูอย่างดีที่สุดเท่าที่สามารถทำได้ ส่งเสริมผลงานและความสัมพันธ์ภายในหมู่คณะครู ดูแลการปฏิบัติงานของครูคอยชี้แนะครู อย่างเป็นกันเองมากขึ้น ให้ครูเข้าใจถึงปัญหาความรับผิดชอบสำหรับการปฏิบัติตามแผนให้สำเร็จครูจะได้รับอนุญาตให้ดำเนินการแสดงเอง และตัดสินใจเกี่ยวว่าปฏิบัติอย่างไร ปฏิบัติเมื่อไร และสร้างขวัญกำลังใจ ทำให้ครูมีความกระตือรือร้นทำงานได้อย่างเต็มที่</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/3636 การศึกษาคุณภาพชีวิตการทำงานของข้าราชการครู สหวิทยาเขตปราสาทเชิงพนม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ 2024-01-15T19:27:59+07:00 ปิ่นทอง ปราสาทภิญโญ [email protected] วิรัลพัชร วงศ์วัฒน์เกษม [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับคุณภาพชีวิตการทำงานของข้าราชการครู สหวิทยาเขตปราสาทเชิงพนม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ 2) เปรียบเทียบคุณภาพชีวิตการทำงานของข้าราชการครู สหวิทยาเขตปราสาทเชิงพนม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ จำแนกตาม ตำแหน่ง ระดับการศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 226 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน และสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67 – 1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.82 สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">คุณภาพชีวิตการทำงานของข้าราชการครู สหวิทยาเขตปราสาทเชิงพนม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่</li> </ol> <p>การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก</p> <ol start="2"> <li class="show">ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อคุณภาพชีวิตการทำงานของข้าราชการครู สหวิทยาเขตปราสาทเชิง</li> </ol> <p>พนม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ จำแนกตามตำแหน่ง และจำแนกตามระดับการศึกษา โดยภาพรวมพบว่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/3637 การศึกษาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนเอกชนอำเภอเมืองนครราชสีมา 2024-01-15T19:30:21+07:00 รัชนี พงษ์สุวรรณ [email protected] วิรัลพัชร วงศ์วัฒน์เกษม [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนเอกชนอำเภอเมืองนครราชสีมา 2) เปรียบเทียบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนเอกชนอำเภอเมืองนครราชสีมา จำแนกตามตำแหน่ง และระดับการศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน ปีการศึกษา 2566 จำนวน 306 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน และสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67 – 1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.83 สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนเอกชนอำเภอเมืองนครราชสีมา โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก</li> <li>เปรียบเทียบความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนเอกชนอำเภอเมืองนครราชสีมา จำแนกตามตำแหน่ง โดยภาพรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านการเพิ่มความตระหนักในการประชุมโรงเรียนและมีความคาดหมายในผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนสูง ด้านการให้แรงจูงใจและรางวัลกับบุคคลหรือกลุ่มที่ทำงานด้านวิชาการ และด้านการสังเกตการสอนของครูและการให้ข้อมูลย้อนกลับ ไม่แตกต่างกัน และจำแนกตามระดับการศึกษา โดยภาพรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านมีความกระตือรือร้นในการใช้กลยุทธ์เพื่อปรับปรุงโรงเรียน ด้านการให้แรงจูงใจและรางวัลกับบุคคลหรือกลุ่มที่ทำงานด้านวิชาการ และด้านการใช้ทรัพยากรและบุคลากรอย่างสร้างสรรค์ ไม่แตกต่างกัน</li> </ol> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/3511 การใช้หลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 2023-12-25T09:46:12+07:00 สุดเขต ภูมิประสิทธิพร [email protected] พจน์ เจริญสันเทียะ [email protected] วิรัลพัชร วงศ์วัฒน์เกษม [email protected] <p>การวิจัยนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบการใช้หลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็นผู้บริหารสถานศึกษา มีจำนวน 322 คน สถิติที่ใช้การวิจัย ได้แก่ เปอร์เซ็น ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว เมื่อพบความแตกต่างใช้การเปรียบเทียบเป็นรายคู่โดยใช้วิธีการของเชฟเฟ่ พบว่า</p> <ol> <li>ความคิดเห็นผู้บริหารสถานศึกษาและครูเกี่ยวกับการใช้หลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก พิจารณาเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านความโปร่งใส รองลงมาคือ ด้านการมีส่วนร่วม และ ด้านนิติธรรม ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ ด้านฉันทามติ และด้านการกระจายอำนาจ</li> <li>ผลการเปรียบเทียบการใช้หลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามตำแหน่ง ระดับการศึกษา และขนาดของสถานศึกษา พบว่า ข้าราชการครูที่มีตำแหน่ง ระดับการศึกษา และปฏิบัติการสอนโรงเรียนที่มีขนาดของสถานศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้หลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน</li> <li>แนวทางการใช้หลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา ดังนี้ 1) ผู้บริหารควรบริหารงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต 2) ผู้บริหาร ครู และผู้มีส่วนได้เสียต้องร่วมกันปรึกษาหารือในประเด็นปัญหาร่วมกัน 3) ผู้บริหารควรบริหารงานด้วยความเป็นธรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติ 4) ผู้บริหารควรมอบอำนาจและความรับผิดชอบในการตัดสินใจในการบริหารงาน 5) ผู้บริหารควรมีกระบวนการปฏิบัติงานและระบบงานที่เป็นมาตรฐาน 6) ผู้บริหารควรตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้ได้รับบริการอย่างเท่าเทียมกัน</li> </ol> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/3486 สมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึกษามอหินขาว อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ 2023-12-23T22:27:32+07:00 สุฑาทิพย์ กงชัยภูมิ [email protected] วิรัลพัชร วงศ์วัฒน์เกษม [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทำการศึกษาและเปรียบเทียบสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึกษามอหินขาว อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิเขต 1 จังหวัดชัยภูมิ ปีการศึกษา 2566 กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกน (Krejcie and Morgan) จำนวน 100 คน ด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 1 ฉบับ แบ่งออกเป็น 2 ตอน คือ ตอนที่ 1 แบบสอบถามสถานภาพทั่วไปในเรื่องตำแหน่งและระดับการศึกษา ตอนที่ 2 แบบสอบถามความคิดเห็นของสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.88 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าความเบี่ยงเบน มาตรฐาน (Standard deviation) การทดสอบค่าที (t-test) การทดสอบความแปรปรวน ทางเดียว (One-way ANOVA)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนมีความคิดเห็นเกี่ยวกับสมรรถนะผู้บริหาร สถานศึกษา โดยรวมเห็นด้วยอยู่ในระดับมาก </p> <p>2) การเปรียบเทียบสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 จำแนกตามตำแหน่ง และจำแนกตามระดับการศึกษา โดยรวมและรายด้านไม่มีความแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/3490 ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 1 2023-12-23T22:26:09+07:00 วันวิสา เสียงสนั่น [email protected] กรองทิพย์ นาควิเชตร [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 1 2) เปรียบเทียบภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 1 จำแนกตามตำแหน่ง ประสบการณ์ในการทำงาน และขนาดของสถานศึกษา และ 3) ศึกษาแนวทางในการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอน จำนวน 340 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง มีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.80 - 1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.93 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย คะแนนเฉลี่ย และความเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และค่าเอฟ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก</li> <li>ผลการเปรียบเทียบภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 1 จำแนกตามตำแหน่ง ประสบการณ์ในการทำงาน และขนาดของสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li>แนวทางในการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 1 ประกอบด้วย 4 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการมีอิทธิพลเชิงอุดมการณ์หรือภาวะผู้นำเชิงบารมี 2) ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ 3) ด้านการกระตุ้นทางปัญญา และ 4) ด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล</li> </ol> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/3621 การบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของผู้บริหารสถานศึกษาในศูนย์พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาเทพารักษ์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5 2024-01-10T09:24:30+07:00 มาณะ พาขุนทด [email protected] วิรัลพัชร วงศ์วัฒน์เกษม [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาการบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของผู้บริหารสถานศึกษา ในศูนย์พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาเทพารักษ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5 2) เพื่อเปรียบเทียบการบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของผู้บริหารสถานศึกษา ในศูนย์พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาเทพารักษ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5 จำแนกตามตำแหน่ง ระดับการศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน ในศูนย์พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาเทพารักษ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5 จำนวน 132 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามตารางเครจซี่และมอร์แกน และได้โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น (stratified random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.80 - 1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ .980 สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li>1. การบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของผู้บริหารสถานศึกษา ในศูนย์พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาเทพารักษ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5 โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ผู้เรียนปฏิบัติตนให้ดำเนินชีวิตได้อย่างสมดุลและพร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในด้านวัฒนธรรม รองลงมา ได้แก่ คุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาพอเพียง และผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามมาตรฐานการเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ของแต่ละระดับชั้นปีการศึกษา ส่วนข้อที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ผู้เรียนปฏิบัติตนให้ดำเนินชีวิตได้อย่างสมดุลและพร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในด้านสิ่งแวดล้อม</li> <li>2. ผลเปรียบเทียบการบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของผู้บริหารสถานศึกษา ในศูนย์พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาเทพารักษ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5 จำแนกตามตำแหน่ง ระดับการศึกษา โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> </ol> <p><strong>คำสำคัญ :</strong> การบริหารสถานศึกษา, ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/3473 การบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มโรงเรียนอำเภอลำสนธิ จังหวัดลพบุรี 2023-12-22T20:21:19+07:00 ทวีวัฒน์ พรมสิงหา [email protected] วิรัลพัชร วงศ์วัฒน์เกษม [email protected] <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาการจัดการระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มโรงเรียนอำเภอลำสนธิ จังหวัดลพบุรี 2) เพื่อเปรียบเทียบการจัดการระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มโรงเรียนอำเภอลำสนธิ จังหวัดลพบุรี จำแนกตามตำแหน่ง และระดับการศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้คือ ผู้บริหารและครูในกลุ่มโรงเรียนอำเภอลำสนธิ จังหวัดลพบุรี จำนวน 124 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน และการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67-1.00 และมีค่าความเชื่อมั่น 0.91 สถิติที่ สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>การบริหารจัดการระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนในกลุ่มอำเภอลำสนธิ จังหวัดลพบุรี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยมากไปหาน้อยได้ คือ ด้านการส่งต่อนักเรียน ด้านการคัดกรองนักเรียน ด้านการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล ด้านการส่งเสริมและพัฒนานักเรียน และด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหา ตามลำดับ</li> </ol> <p> 2.การเปรียบเทียบการบริหารจัดการระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียน ซึ่งจำแนกตามตำแหน่ง พบว่า โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน และการเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อกาบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มโรงเรียนอำเภอลำสนธิ จังหวัดลพบุรี จำแนกตามระดับการศึกษา โดยภาพรวมมีความแตกต่างกัน เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านการส่งต่อนักเรียนมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 </p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/3638 การพัฒนาบรรยากาศองค์การของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ 2024-01-15T19:34:18+07:00 ศิวพันธ์ อังคุระษี [email protected] กรองทิพย์ นาควิเชตร [email protected] วิภาส ทองสุทธิ์ [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับ เปรียบเทียบและศึกษาแนวทางพัฒนาบรรยากาศองค์การของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ จำแนกตามเพศ ประสบการณ์การทำงานและขนาดสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ครู จำนวน 341 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ มีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.80 - 1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) และค่าเอฟ (F-test)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li>แบบบรรยากาศองค์การของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ พบว่า</li> </ol> <p>เป็นบรรยากาศองค์การแบบอิสระ โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง</p> <ol start="2"> <li>บรรยากาศองค์การของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ จำแนกตามเพศและขนาดของสถานศึกษา พบว่า โดยภาพรวมและด้านมิติอุปสรรค ด้านมิติมิตรสัมพันธ์ ด้านมิติห่างเหิน ด้านมิติเป็นแบบอย่าง และด้านมิติกรุณาปราณี แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และจำแนกตามประสบการณ์การทำงาน โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน ยกเว้นด้านมิติกรุณาปราณีแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li>แนวทางการพัฒนาบรรยากาศองค์การของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ พบว่า ควรส่งเสริมสวัสดิการและสมรรถนะให้กับคณะครู ในการปฏิบัติงานด้านการเรียนการสอน สนับสนุนและมอบโอกาสให้คณะครูเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ</li> </ol> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/3488 การบริหารสถานศึกษาโดยใช้หลักธรรมาภิบาลของกลุ่มโซนศรีสองรัก สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดเลย 2023-12-23T22:24:40+07:00 สายพิน จารัตน์ [email protected] วิรัลพัชร วงศ์วัฒน์เกษม [email protected] <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาการบริหารสถานศึกษาโดยใช้หลักธรรมาภิบาลของกลุ่มโซนศรีสองรักษ์ สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดเลย 2) เพื่อเปรียบเทียบการบริหารสถานศึกษาโดยใช้หลักธรรมาภิบาลของกลุ่มโซนศรีสองรักษ์ สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดเลย จำแนกตามตำแหน่ง และประสบการณ์ในการทำงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอน ที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษากลุ่มโซนศรีสองรัก สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดเลย ปีการศึกษา 2566 จำนวน 59 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67 -1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.799 สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>1. การบริหารสถานศึกษาโดยใช้หลักธรรมาภิบาลของกลุ่มโซนศรีสองรักษ์ สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดเลย อยู่ในระดับมากที่สุด</li> <li>ผลการเปรียบเทียบการบริหารสถานศึกษาโดยใช้หลักธรรมาภิบาลของกลุ่มโซนศรีสองรักษ์ สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดเลย จำแนกตามตำแหน่ง มีการปฏิบัติที่ไม่แตกต่างกัน</li> <li>ผลการเปรียบเทียบการบริหารสถานศึกษาโดยใช้หลักธรรมาภิบาลของกลุ่มโซนศรีสองรักษ์ สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดเลย จำแนกตามประสบการณ์ในการทำงาน มีการปฏิบัติที่ไม่แตกต่างกันทั้ง 6 ด้านดังนี้ 1.ด้านหลักความรับผิดชอบ ( =4.72, S.D.=0.207) 2.ด้านหลักความคุ้มค่า( = 4.59,S.D.= 0.260) 3. ด้านหลักความโปร่งใส ( =4.58, S.D.= 0.372) 4. ด้านหลักคุณธรรม ( =4.58, S.D.= 0.239) 5.ด้านหลักนิติธรรม ( = 4.57, S.D.= 0.310) 6. ด้านหลักการมีส่วนร่วม ( =4.56, S.D.= 0.143)</li> </ol> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/3509 การบริหารการทำงานเป็นทีมของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มโซนศรีสองรัก สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดเลย 2023-12-23T22:30:44+07:00 จิรภัทร นามพุทธา [email protected] วิรัลพัชร วงศ์วัฒน์เกษม [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้เน้นศึกษาการบริหารการทำงานเป็นทีมของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มโซนศรีสองรัก สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดเลย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาการบริหารการทำงานเป็นทีมของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มโซนศรีสองรัก สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดเลย 2) เพื่อเปรียบเทียบการบริหารการทำงานเป็นทีมของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มโซนศรีสองรัก สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดเลย จำแนกตาม ตำแหน่ง และประสบการณ์ในการทำงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอนของสถานศึกษากลุ่มโซนศรีสองรัก สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดเลย ในปีการศึกษา 2566 จำนวน 59 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน และสุ่มแบบกลุ่ม (cluster random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67 -1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.97 สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>การบริหารการทำงานเป็นทีมของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มโซนศรีสองรัก สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดเลย โดยภาพรวมรวมอยู่ในระดับมาก</li> <li>ผลการเปรียบเทียบการบริหารการทำงานเป็นทีมของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มโซนศรีสองรัก สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดเลย จำแนกตามตำแหน่ง โดยภาพรวมไม่แตกต่างกันยกเว้น ด้านการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และจำแนกตามประสบการณ์ในการทำงาน โดยภาพรวมและรายด้านมีไม่แตกต่างกัน</li> </ol> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/3514 แนวทางพัฒนาการบริหารแบบมีส่วนร่วม ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 2023-12-25T11:44:16+07:00 อิสระ ออมอด [email protected] กรองทิพย์ นาควิเชตร [email protected] วิภาส ทองสุทธิ์ [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการบริหารแบบมีส่วนร่วมในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 2) เปรียบเทียบการบริหารแบบมีส่วนร่วมในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 จำแนกตามตำแหน่ง ระดับการศึกษา และขนาดสถานศึกษา 3) แนวทางพัฒนาการบริหารแบบมีส่วนร่วมในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูจำนวน 342 คน โดยเลือกแบบเจาะจงตามสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.80 - 1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.94 สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) และค่าเอฟ (F-test) สำรวจแนวทางเชิงคุณภาพ</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li>การบริหารแบบมีส่วนร่วมในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก</li> <li>การบริหารแบบมีส่วนร่วมในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 จำแนกตามตำแหน่ง จำแนกตามระดับการศึกษา และจำแนกตามขนาดของสถานศึกษา โดยภาพรวม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li>3. แนวทางพัฒนาการบริหารแบบมีส่วนร่วมในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 พบว่า ผู้บริหารควรให้ครูมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการของทางสถานศึกษา ให้ครูเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารงานอย่างเต็มศักยภาพ มีการประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้บริหาร และครู ร่วมกันมีโดยการกำกับติดตามและสรุปรายงานผลโครงการตามแผนปฏิบัติการของสถานศึกษา</li> </ol> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/3495 การบริหารเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 2023-12-23T22:29:14+07:00 กรองทิพย์ นาควิเชตร [email protected] กิตตินันท์ ฤทธิวงศ์ [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการบริหารเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 2) เปรียบเทียบการบริหารเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 จำแนกตาม ตำแหน่ง ประสบการณ์ในการทำงาน และขนาดของสถานศึกษา 3) ศึกษาแนวทางการส่งเสริมการบริหารเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษา และครู จำนวน 302 คน เครื่องมือเป็นแบบสอบถามมาตราส่วน 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่น อยู่ระหว่าง 0.80 – 1.00 วิเคราะห์ข้อมูลหาค่า ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) และค่าเอฟ (F-test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 อยู่ในระดับมากที่สุด 2) เปรียบเทียบการบริหารเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 จำแนกตามตำแหน่งโดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน จำแนกตามประสบการณ์ในการทำงาน โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 และจำแนกตามขนาดของสถานศึกษา โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน 3) แนวทางการส่งเสริมการบริหารเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 2 พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีการบริหารเชิงกลยุทธ์ 4 ด้าน ได้แก่ 1) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม 2) การจัดทำกลยุทธ์ 3) การปฏิบัติตามกลยุทธ์ และ 4) การประเมินผลและการควบคุม</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/3642 ภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษา ในกลุ่มโรงเรียนพญาสี่เขี้ยว อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา 2024-01-15T19:35:53+07:00 ภชรภรณ์ นามโพธิ์ [email protected] วิรัลพัชร วงศ์วัฒน์เกษม [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษา ในกลุ่มโรงเรียนพญาสี่เขี้ยว อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา 2) เปรียบเทียบภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษา ในกลุ่มโรงเรียนพญาสี่เขี้ยว อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา จำแนกตามระดับการศึกษา ประสบการณ์ทำงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนในสถานศึกษากลุ่มโรงเรียนพญาสี่เขี้ยว อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 96 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน และสุ่มแบบแบ่งชั้น (stratified random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67 – 1.00 และมีค่าความเชื่อมั่น 0.96 สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) และค่าเอฟ (F-test)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษา ในกลุ่มโรงเรียนพญาสี่เขี้ยว อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า เรียงจากที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดไปต่ำสุด คือ ด้านความไว้วางใจ รองลงมาคือ ด้านการให้อำนาจ ด้านการไม่เห็นแก่ตัว ด้านการบริการ ด้านความรักแท้ ด้านวิสัยทัศน์ ตามลำดับ ด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด และด้านความอ่อนน้อมถ่อมตน</li> <li>2. ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำใฝ่บริการของผู้บริหาสถานศึกษา ในกลุ่มโรงเรียนพญาสี่เขี้ยว อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา จำแนกตามระดับการศึกษาและประสบการณ์ทำงาน โดยภาพรวมและรายด้าน ไม่แตกต่างกัน</li> </ol> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/3512 ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนสุรธรรมพิทักษ์ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา 2023-12-25T09:48:06+07:00 สมชาย ยิ่งดัง [email protected] วิรัลพัชร วงศ์วัฒน์เกษม [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนสุรธรรมพิทักษ์ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนสุรธรรมพิทักษ์ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา จำแนกตามระดับการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ผู้บริหารและครูในโรงเรียนโรงเรียนสุรธรรมพิทักษ์ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 108 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.99 สถิติที่ใช้ คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) </p> <p> ผลวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>1. ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนสุรธรรมพิทักษ์ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การกำหนดวิสัยทัศน์ รองลงมาคือ ด้านการมีความคาดหวังและการสร้างโอกาสสำหรับอนาคต ความสามารถในการนำปัจจัยนำเข้าต่างๆมากำหนดกลยุทธ์ ด้านวิธีการคิดเชิงปฏิวัติ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านความคิดความเข้าใจระดับสูง</li> <li>2. การวิเคราะห์เปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนสุรธรรมพิทักษ์ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา จำแนกตามระดับการศึกษา และประสบการณ์ในการทำงาน โดยรวมและรายด้าน พบว่า ไม่แตกต่างกัน </li> </ol> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/3513 ทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กลุ่มโรงเรียนอำเภอลำสนธิ จังหวัดลพบุรี 2023-12-25T11:40:34+07:00 ธิดารัตน์ พันธุ์เสี้ยม [email protected] วิรัลพัชร วงศ์วัฒน์เกษม [email protected] <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาระดับทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กลุ่มโรงเรียนอำเภอลำสนธิ จังหวัดลพบุรี 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กลุ่มโรงเรียนอำเภอลำสนธิ จังหวัดลพบุรี จำแนกตามตำแหน่ง และระดับการศึกษาการศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้คือ ผู้บริหารและครูในกลุ่มโรงเรียนอำเภอลำสนธิ จังหวัดลพบุรี จำนวน 124 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน และการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67-1.00 และมีค่าความเชื่อมั่น 0.96 สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที <br />(t-test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ระดับทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กลุ่มโรงเรียนอำเภอลำสนธิ จังหวัดลพบุรี อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า เรียงจากที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดไปต่ำสุด คือ ทักษะด้านเทคนิค ทักษะด้านการศึกษาและการสอน ทักษะด้านมนุษย์ ทักษะด้านความรู้ความคิด และทักษะด้านความคิดรวบยอด</li> <li>ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กลุ่มโรงเรียนอำเภอลำสนธิ จังหวัดลพบุรี จำแนกตามตำแหน่งและระดับการศึกษา มีความคิดเห็นต่อทักษะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 โดยภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน</li> </ol> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/3516 ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา ยุคการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกผันตามความคิดเห็นของบุคลากรโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนครราชสีมา 2023-12-30T12:18:42+07:00 วิทยา เทพกอม [email protected] วิรัลพัชร วงศ์วัฒน์เกษม [email protected] กฤษฎา วัฒนศักดิ์ [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษายุคการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกผันตามความคิดเห็นของบุคลากรโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนครราชสีมา 2) เปรียบเทียบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษายุคการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกผันตามความคิดเห็นของบุคลากรโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนครราชสีมา จำแนกตามตำแหน่ง ขนาดโรงเรียน และประสบการณ์ทำงาน 3) ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษายุคการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกผันตามความคิดเห็นของบุคลากรโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนครราชสีมา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ บุคลากรโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนครราชสีมา จำนวน 354 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.80 – 1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (T-Test) และค่าแอฟ (F-Test) 2) แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.80 – 1.00</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษายุคการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกผันตามความคิดเห็นของบุคลากรโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนครราชสีมา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก</li> <li>ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษายุคการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกผันตามความคิดเห็นของบุคลากรโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนครราชสีมา จำแนกตามตำแหน่ง ขนาดโรงเรียน และประสบการณ์ทำงาน โดยภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน</li> <li>ผู้บริหารสถานศึกษาควรศึกษาแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา และเปิดรับแนวความคิดใหม่ๆ เชิงวิชาการอยู่เสมอ ยึดเป้าหมาย วัตถุประสงค์ พันธกิจ ศึกษาบริบทของโรงเรียน และความต้องการของชุมชน เป็นกรอบในการดำเนินงานวิชาการร่วมกับครู นำนโยบายและจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการ มาออกแบบหลักสูตรและการสอนให้เหมาะสมกับนักเรียน สร้างบรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ เพื่อสร้างโรงเรียนให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ รวมทั้งวางแผนการนิเทศภายในโรงเรียนร่วมกับครู โดยให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านกระบวนการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น</li> </ol> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/3344 การศึกษาการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการจัดการศึกษาของโรงเรียน ในศูนย์เครือข่ายสถานศึกษาลุ่มน้ำยาม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาสกลนคร เขต 3 2023-11-15T13:19:52+07:00 นาถนภา ศรีช่วย [email protected] กรองทิพย์ นาควิเชตร [email protected] <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการจัดการศึกษา ศูนย์เครือข่ายสถานศึกษาลุ่มน้ำยาม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 3 2) เพื่อเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการจัดการศึกษา ศูนย์เครือข่ายสถานศึกษาลุ่มน้ำยาม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 3 จำแนกตาม ระดับการศึกษา และอาชีพ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้ปกครองนักเรียน จำนวน 322 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน และสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67-1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.808 สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) และค่าเอฟ (F-test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการจัดการศึกษา ศูนย์เครือข่ายสถานศึกษาลุ่มน้ำยาม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 3 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก</li> <li>ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการจัดการศึกษา ศูนย์เครือข่ายสถานศึกษาลุ่มน้ำยาม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 3 จำแนกตามระดับการศึกษา และอาชีพ โดยภาพรวมและรายด้าน พบว่าไม่แตกต่างกัน</li> </ol> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/3727 THE MORPHOLOGICAL CHARACTERISTICS OF THE MUSICAL PERFORMANCE OF QIN NIANGMEI: A CLASSIC GUIZHOU OPERA IN THE 1960S 2024-01-29T16:59:02+07:00 Dandan Sun [email protected] Nataporn Rattachaiwong [email protected] Xiulei Ren [email protected] <p>Using a classic Chinese Guizhou Opera <em>Qin Niangmei</em> as a case, this paper aims to learn from and absorb the excellent parts of traditional Guizhou Opera arts to facilitate the adaptation and creation of traditional art performances blended with contemporary arts aesthetic concepts. This paper adapted observation method and interview method to conduct a detailed induction and analysis of the musical structure, melody, mode, performance of its classic chapters. The opera not only integrated the traditional Dong opera and its unique beautiful melody, but also it described the Chinese feudal ideology of men and women made match by parents' order and match-maker's word which was opposed to the modern free love. The result found that; The study delves into the intensity elements of opera music, emphasizing their role in conveying romantic charm and facilitating the circulation of artistic conception. Traditional Chinese music values subtle changes in sound structure. Examining a specific opera scene, the analysis highlights the emotional power of tone changes, especially in challenging feudal society. The victory of Niangmei in the opera symbolizes a yearning for a life free from oppression. The study underscores the oriental artistic charm found in subtle expressions and voice modulation.</p> <p>Additionally, the research recognizes opera as a dynamic social activity, where aesthetic values evolve through long-term interaction between performers and audiences, reflecting real-life contexts. Acknowledging the passage of time, the study emphasizes the need for classic works to adapt to contemporary aesthetics while preserving their excellence, particularly in the context of Guizhou Opera's inheritance and dissemination.</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/3726 THE DEVELOPMENT PROCESS OF GUANGDONG BALLET (1979-2021) 2024-01-29T16:58:00+07:00 Lina Lyu [email protected] Phakamas Jirajarupat [email protected] Qianqiu Jin [email protected] <p>The exploration of symbols in the development of Guangdong ballet cannot be overlooked from a historical perspective. It holds key significance to contextualize Guangdong's ballet works and their related studies within a dynamic historical framework, providing a developmental perspective on the evolution of Guangdong ballet. In essence, this paper meticulously analyzes the developmental trajectory of Guangdong ballet through a diachronic lens, simultaneously undertaking a semiotic analysis of a representative ballet from a synchronic perspective. Employing both the literature research method and case analysis method, the study focuses on seven emblematic Guangdong ballets spanning from 1979 to 2021. This selection is based on a thorough collection and organization of relevant literature within the research field.</p> 2024-03-31T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน