https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/issue/feed
วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
2025-02-28T00:00:00+07:00
Dr.suriya sanginta
drsuriyasanginta@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารเสียงธรรมจากมหายาน</strong> เป็นวารสารที่มุ่งเน้นการเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการที่มีคุณภาพในด้านพระพุทธศาสนา ปรัชญา ศึกษาศาสตร์ นิติศาสตร์ และสหวิทยาการ โดยเปิดรับผลงานจากคณาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการ และบุคคลทั่วไปที่สนใจพัฒนาความรู้และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาเหล่านี้</p> <p>วารสารให้ความสำคัญกับการกลั่นกรองบทความผ่านกระบวนการ Peer Review จากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 3 ท่าน เพื่อให้มั่นใจว่าบทความที่ตีพิมพ์มีคุณภาพและตรงตามมาตรฐานทางวิชาการ</p>
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/5711
รูปแบบการมีส่วนร่วมการบริหารสถานศึกษาตามหลักพุทธธรรม สำหรับโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1
2025-01-21T10:06:32+07:00
พระมหาเมืองมนต์ จกฺกธมฺโม (ศรีปัตตา)
surachaihongtrakool@gmail.com
รศ. ดร.สิน งามประโคน
surachaihongtrakool@gmail.com
ผศ. ดร.บุญเชิด ชำนิศาสตร์
surachaihongtrakool@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาความต้องการในการมีส่วนร่วมการบริหารสถานศึกษา (2) พัฒนารูปแบบการบริหารตามหลักพุทธธรรม (3) ทดลองใช้รูปแบบ และ (4) ประเมินผลรูปแบบดังกล่าวสำหรับโรงเรียนประถมศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 โดยใช้วิธีการวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Method) เก็บข้อมูลเชิงปริมาณจากผู้บริหารและครู 291 คน และเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์และสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ รวม 24 คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> (1) ความต้องการสำคัญคือ การมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงาน รองลงมาคือ การตัดสินใจ การรับผลประโยชน์ และการประเมินผล(2) รูปแบบการบริหารตามหลักพุทธธรรมที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วยหลักการ วัตถุประสงค์ ระบบกลไก กิจกรรมส่งเสริม วิธีการดำเนินงาน แนวทางการประเมิน และการบูรณาการหลักสังคหวัตถุ(3) การทดลองใช้รูปแบบพบว่ากิจกรรมเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย ช่วยพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์(4) การประเมินรูปแบบชี้ให้เห็นถึงความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ ซึ่งสามารถนำไปพัฒนาการบริหารสถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/5724
การพัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพื่อสื่อสารในชีวิตประจำวันสำหรับพระสงฆ์
2025-01-31T19:07:56+07:00
พระมหาบุญรอด มหาวีโร (สืบด้วง)
boonrawd900@gmail.com
พระครูสวัสดิ์กาญจโนภาส
watkhaojod@gmail.com
ศุภกร ณ พิกุล
supakorn.na@mcu.ac.th
พระมหาณรงค์ศักดิ์ สุทนฺโต (สุทนต์)
narongsag@gmail.com
สรวิชญ์ วงษ์สอาด
sorawit062231@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาหลักการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำวันสำหรับพระสงฆ์ 2) ศึกษาวิธีการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำวันสำหรับพระสงฆ์ และ 3) วิเคราะห์แนวทางการพัฒนาการเรียนการสอนดังกล่าว การวิจัยเป็นแบบเชิงคุณภาพโดยใช้การวิจัยเอกสารและสัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มเป้าหมาย 12 รูป</p> <p> 1) การศึกษาหลักการเกี่ยวกับการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพื่อสื่อสารในชีวิตประจำวันสำหรับพระสงฆ์ พบว่า แรงจูงใจเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการเรียนรู้ รวมถึงการสร้างเจตคติเชิงบวกที่ช่วยเสริมผลสัมฤทธิ์ การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ และการใช้สื่อการเรียนรู้ที่น่าสนใจและเหมาะสม ช่วยพัฒนาการเรียนภาษาอย่างเป็นธรรมชาติ</p> <p> 2) การศึกษาวิธีการการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพื่อสื่อสารในชีวิตประจำวันสำหรับพระสงฆ์ พบว่า การใช้กิจกรรมเชิงปฏิบัติ บทบาทสมมุติ การใช้คลิปวิดีโอและแอปพลิเคชันเพื่อพัฒนาทักษะสำเนียง การเลือกใช้ภาษาที่เหมาะสมกับบทบาทของพระสงฆ์ และการผสมผสานวัฒนธรรมเข้ากับการเรียนการสอน ช่วยเสริมความเข้าใจและการสื่อสารข้ามวัฒนธรรมได้ดียิ่งขึ้น</p> <p> 3) การวิเคราะห์แนวทางเกี่ยวกับการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพื่อสื่อสารในชีวิตประจำวันสำหรับพระสงฆ์ พบว่า การเรียนภาษาอังกฤษสำหรับพระสงฆ์ควรมุ่งที่การสื่อสารในชีวิตประจำวัน การสนทนา การบรรยายสิ่งของทั่วไป และการแนะนำตนเอง รวมถึงการใช้เทคโนโลยี E-book และสื่อมัลติมีเดีย มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความสนใจของผู้เรียน การช่วยยกระดับทักษะภาษาอังกฤษของพระสงฆ์ เป็นประโยชน์ต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในระดับนานาชาติ และบทบาทของพระสงฆ์ในฐานะผู้สื่อสารระหว่างวัฒนธรรม ผลการวิจัยเสนอแนวทางใหม่ในการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ที่สามารถปรับใช้ในบริบทของการศึกษาพระสงฆ์หรือกลุ่มเป้าหมายอื่นๆ ในสังคมไทย การใช้เทคโนโลยีและกิจกรรมที่มีความสอดคล้องกับบทบาทของพระสงฆ์ช่วยเพิ่มความมั่นใจและความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันส่งผลดีต่อวงการศึกษา ส่งเสริมบทบาทของพระสงฆ์ในระดับสากลและช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อสังคมโดยรวม</p>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/5727
การประยุกต์หลักสาราณียธรรมในการบริหารงานไปรษณีย์
2025-01-31T19:11:31+07:00
สุนทร สุวรรณพร
mrsoonthorn81@gmail.com
พระครูสวัสดิ์กาญจโนภาส
watkhaojod@gmail.com
พระสมุห์นพดล อตฺถยุตฺโต (สุทนต์)
noppadol.suthon@gmail.com
พระมหาศุภวัฒน์ บุญทอง
s.boonthong2529@gmail.com
มานิตย์ เฟื่องผล
Pinuskesiya@gmail.com
<p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาหลักสาราณียธรรมในการบริหารงานไปรษณีย์ 2) ศึกษาลักษณะและวิธีการบริหารงานไปรษณีย์ และ 3) ประยุกต์หลักสาราณียธรรมในการบริหารงานไปรษณีย์ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีวิจัยเชิงเอกสาร และการสัมภาษณ์เชิงลึก กับกลุ่มเป้าหมายจำนวน 10 คน ซึ่งเป็นพนักงานและผู้บริหารในองค์กรไปรษณีย์ ที่มีประสบการณ์การทำงานมากกว่า 5 ปี เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกระบวนการบริหารและการปฏิบัติงาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1.การศึกษาหลักสาราณียธรรมในการบริหารงานไปรษณีย์ พบว่า หลักการสำคัญ ได้แก่ 1) การเพิ่มพูนความรู้และความสามารถของพนักงาน ส่งผลให้เกิดทัศนคติที่ดีและขวัญกำลังใจในการทำงาน 2) การปฏิบัติงานด้วยการสื่อสารและเจรจาที่สร้างสรรค์ 3) การบริหารด้วยความรู้ความชำนาญ และคำนึงถึงความปรารถนาดีต่อผู้อื่น 4) การสร้างความมั่นคงในการดำเนินงานโดยยึดหลักความชอบธรรมและความถูกต้อง 5) การปรับความคิดให้สอดคล้องกับเหตุผลที่ถูกต้อง 6) การพัฒนาองค์กรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากความต้องการในระดับสากล</p> <p> 2.การศึกษาลักษณะและวิธีการบริหารงานไปรษณีย์ พบว่า การทำงานแบบร่วมมือช่วยเหลือกัน ส่งผลให้เกิดความสามัคคีและความสำเร็จในการทำงาน การจัดประชุมชี้แจงและการสอนงานช่วยให้พนักงานมีความเข้าใจและสามารถปฏิบัติงานได้ถูกต้องตามเป้าหมาย</p> <p> 3.การประยุกต์หลักสาราณียธรรมในการบริหารงานไปรษณีย์ พบว่า การนำหลักสาราณียธรรมมาใช้ช่วยส่งเสริมให้พนักงานทุกคนมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ รู้จักเพื่อนร่วมงาน และสร้างความรักองค์กร โดยการช่วยเหลือกัน แนะนำ แบ่งปัน และเจือจุนซึ่งกันและกัน ส่งผลให้บรรยากาศการทำงานมีความสามัคคี ลดปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงาน การบริหารงาน ส่งผลให้เป้าหมายและแผนงานต่าง ๆ ขององค์กรบรรลุผลสำเร็จได้ดียิ่งขึ้น ข้อค้นพบและประโยชน์จากการวิจัย การประยุกต์หลักสาราณียธรรมในการบริหารงานไปรษณีย์ ช่วยยกระดับความสัมพันธ์ในที่ทำงาน เสริมสร้างความสามัคคี และพัฒนาบรรยากาศการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถนำผลการวิจัยไปปรับใช้ในองค์กรอื่น ๆ ที่ต้องการสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาคุณภาพของบุคลากรและการสร้างความมั่นคงในองค์กร สอดคล้องกับความต้องการของการบริหารงานในยุคปัจจุบันที่ใช้ความร่วมมือ</p>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/5651
การบูรณาการพุทธนวัตกรรมสมัยใหม่ : การบรรเทาทุกข์ทางจิตใจของญาติผู้เสียชีวิตจากโรคระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
2024-12-25T15:05:03+07:00
สำราญ ศรีคำมูล
samran0626451246@gmail.com
นายสนิท วงปล้อมหิรัญ
Samran.sr@mbu.ac.th
อาทิตย์ ชูชัย
Samran.sr@mbu.ac.th
พระมหาทศพร สุมุทุโก(อ่อนน้อม)
Samran.sr@mbu.ac.th
<p>การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1)เพื่อวิเคราะห์รูปแบบการบูรณาการพุทธนวัตกรรมสมัยใหม่:การบรรเทาทุกข์ทางจิตใจของญาติผู้เสียชีวิตจากโรคระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2) เพื่อพัฒนาการบูรณาการพุทธนวัตกรรมสมัยใหม่:การบรรเทาทุกข์ทางใจของญาติผู้เสียชีวิตจากโรคระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และ 3) เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้การบูรณาการพุทธนวัตกรรมสมัยใหม่:การบรรเทาทุกข์ทางใจของญาติผู้เสียชีวิตจากโรคระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งผู้วิจัยได้ใช้เครื่องมือ คือ แบบสอบถาม จำนวน 384 คน แจกแจงความถี่ (frequency)เป็นรายข้อ ใช้วิเคราะห์คำนวณหาค่าร้อยละ (Percentage) วิเคราะห์ค่าเฉลี่ย (X) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) แล้วนำผลการวิเคราะห์ที่ได้มาแปลความหมายรายข้อ รายด้าน และความหมายในภาพรวมการแปลผลค่าเฉลี่ยตามหลักเกณฑ์ และแบบสัมภาษณ์ กับผู้ที่ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 48 คน จากจำนวน 16 อำเภอๆละ 3 คน โดยเน้นไปที่ญาติของผู้เสียชีวิตจากโรคระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แล้วนำแบบสัมภาษณ์มาดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li>โรคระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้คนจำนวนมาก การบูรณาการพุทธนวัตกรรมสมัยใหม่กลายเป็นทางเลือกที่สำคัญ เห็นว่า การทำสมาธิแบบมีไกด์ การเจริญสติ การฝึกสติปัฏฐาน การบำบัดด้วยความเมตตา การบำบัดด้วยการยอมรับ ความมุ่งมั่น และการบำบัดด้วยธรรมชาติ โดยใช้เทคโนโลยีแอปพลิเคชันมือถือหรือแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อให้การเข้าถึงการทำสมาธิและการเจริญสติ เน้นการฝึกสติและการอยู่กับปัจจุบัน เพื่อลดความวิตกกังวล ความโศกเศร้า และความรู้สึกสูญเสีย ช่วยให้ญาติผู้เสียชีวิตสามารถจัดการกับความคิดและอารมณ์ที่ยากลำบากได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น </li> <li>การบูรณาการพุทธนวัตกรรมสมัยใหม่ ได้นำหลักธรรมทางพุทธศาสนามาใช้เพื่อบรรเทาทุกข์ ได้แก่ การฟังธรรมะหรือการอ่านเกล็ดธรรมจากสื่อออนไลน์ ในรูปของ Facebook หรือ Tiktok ญาติผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่จะพิจารณาหลักไตรลักษณ์ คือความไม่เที่ยงของชีวิตและร่างกาย ความเป็นทุกข์ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ความไม่สมหวัง ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก และความปรารถนาที่ไม่สมหวัง พวกเขาเหล่านั้นประสบกับปัญหาและอุปสรรคเหล่านี้ จนสามารถมีจิตใจที่เบาบางจากความทุกข์ใจลงบ้าง</li> <li>การถ่ายทอดองค์ความรู้การบูรณาการพุทธนวัตกรรมสมัยใหม่ ประกอบด้วย การจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ การพัฒนาหลักสูตรออนไลน์ การสร้างชุมชนสนับสนุน การเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อต่างๆ และการฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพจิต ช่วยให้ญาติผู้เสียชีวิตมีคุณภาพชีวิตและความเชื่อมั่นในรูปแบบการดำเนินชีวิตดีขึ้น</li> </ol>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/5721
การพัฒนาความสามารถทางการอ่านออกเสียงสัทอักษร(พินอิน) และความพึงพอใจ โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคSTAD ร่วมกับสื่อประสม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
2025-01-23T14:13:41+07:00
อุไรวรรณ โปยทอง
eunoi5010@gmail.com
ธิดารัตน์ สมานพันธ์
drtidarat@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถทางการอ่านออกเสียงสัทอักษร (พินอิน) โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับสื่อประสมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 ก่อนเรียนและหลังเรียน 2) เปรียบเทียบความสามารถทางการอ่านออกเสียงสัทอักษร (พินอิน) โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับสื่อประสมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 หลังเรียนกับเกณฑ์ที่กำหนดร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคSTADร่วมกับสื่อประสม กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนหนองฮีเจริญวิทย์ จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบวัดความสามารถทางการอ่าน และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติที (t-test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถทางการอ่านออกเสียงสัทอักษร (พินอิน) โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับสื่อประสมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนเรียนและหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 11.60 และ 23.33 คะแนน ตามลำดับ 2) ความสามารถทางการอ่านออกเสียงสัทอักษร (พินอิน) โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับสื่อประสมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 23.33 คะแนน จากคะแนนเต็ม 30 คะแนน และเกณฑ์ผ่านเท่ากับ 21.00 คะแนน หรือคิดเป็นร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม และ 3) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคSTADร่วมกับสื่อประสมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ (x̄ = 4.72 , S.D. = 0.24 ) ผลค่าระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับ มากที่สุด </p> <p> จากผลการวิจัยนี้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในวิชาภาษาต่างประเทศอื่นๆ เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียง หรือใช้เป็นแนวทางในการออกแบบการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของนักเรียนผ่านเทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือและสื่อประสมในบริบทการเรียนรู้ที่หลากหลาย เช่น การพัฒนาทักษะด้านภาษา การอ่านเขียน หรือแม้กระทั่งวิชาที่ต้องการความเข้าใจเชิงโครงสร้างและการปฏิบัติ</p>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/5520
การพัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูผู้สอนภาษาอังกฤษ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 3
2024-12-06T13:17:42+07:00
นฤมล อวบอ้วน
pisan816@gmail.com
กาญจน์ เรืองมนตรี
naruemolo@yahoo.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูผู้สอนภาษาอังกฤษ และ 2) พัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูผู้สอนภาษาอังกฤษ งานวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูผู้สอน จำนวน 267 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น (Stratified Sampling) เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีความต้องการจำเป็น (PNImodified) ระยะที่ 2 พัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างการจัดการเรียนรู้เชิงรุกโดยการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลจำนวน 5 คน จาก 3 สถานศึกษา ที่มีแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practices) เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ และแบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของโปรแกรม สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันของการจัดการเรียนรู้เชิงรุกอยู่ในระดับปานกลาง โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ การวัดและประเมินผลตามสภาพจริง สภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมากที่สุด โดยความต้องการจำเป็นเรียงตามลำดับได้แก่ 1) การออกแบบการเรียนรู้ 2) การจัดการเรียนรู้ผ่านกระบวนการคิด 3) การใช้และพัฒนาสื่อ เทคโนโลยี และนวัตกรรม 4) การวัดและประเมินผลตามสภาพจริง สำหรับโปรแกรมเสริมสร้างการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ประกอบด้วย 4 โมดูล ประกอบด้วย โมดูลที่ 1 การออกแบบการเรียนรู้ (40 ชั่วโมง) โมดูลที่ 2 การจัดการเรียนรู้โดยการลงมือปฏิบัติผ่านกระบวนการทางความคิด (30 ชั่วโมง) โมดูลที่ 3 การใช้และพัฒนาสื่อ เทคโนโลยี นวัตกรรมเพื่อการจัดการเรียนรู้ (20 ชั่วโมง) และโมดูลที่ 4 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง (10 ชั่วโมง) รวมระยะเวลา 100 ชั่วโมง โดยรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด และมีความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/5691
การพัฒนาพื้นที่กิจกรรมสร้างสรรค์ของเยาวชนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
2025-01-11T10:24:14+07:00
พระครูภาวนาวุฒิบัณฑิต, ผศ.ดร.
surachaihongtrakool@gmail.com
พระครูกิตติญาณวิสิฐ, ผศ.ดร.
surachaihongtrakool@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาและถอดบทเรียนเกี่ยวกับพื้นที่กิจกรรมของเยาวชนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (2) พัฒนากิจกรรมสร้างสรรค์สำหรับเยาวชนในพื้นที่ดังกล่าว และ (3) พัฒนาพื้นที่กิจกรรมสร้างสรรค์ให้เหมาะสมกับความต้องการของเยาวชนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา การวิจัยดำเนินการโดยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปฏิบัติการ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้บริหาร ครู และเยาวชน จำนวน 15 คน ณ องค์การบริหารส่วนตำบลเกาะเรียน อำเภอพระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วยเยาวชนและผู้ใช้บริการพื้นที่กิจกรรมสร้างสรรค์ จำนวน 50 คน รวมถึงการสนทนากลุ่มกับผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 10 คน เครื่องมือวิจัยที่ใช้ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม และแบบประชุมสนทนากลุ่ม</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า:(1) พื้นที่กิจกรรมของเยาวชนมีการจัดกิจกรรมในบางวันหรือช่วงเวลาตามความพร้อมของสถานที่ ทรัพยากร และวิทยากร โดยกิจกรรมหลักที่จัดขึ้นคือ “ค่ายร่วมใจทำดีเพิ่มพื้นที่สร้างสรรค์สำหรับเด็กและเยาวชน” ซึ่งยังขาดความต่อเนื่องและยั่งยืน(2) การพัฒนากิจกรรมสร้างสรรค์ประกอบด้วย 2 กิจกรรมหลัก ได้แก่ การให้ความรู้ด้านการป้องกันสาธารณภัยแก่เยาวชน และการให้ความรู้ด้านการป้องกันยาเสพติดในวันต่อต้านยาเสพติดโลก(3) การประเมินพื้นที่กิจกรรมสร้างสรรค์ในภาพรวม พบว่ามีระดับความพึงพอใจในระดับมาก</p>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/5701
การศึกษาผลฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจโดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิค STAD วิชาสังคมศึกษา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
2025-01-17T16:49:24+07:00
วรรณวิไลย์ เพ็ชรรัตน์
630402320061@nmc.ac.th
อนุกูล จินตรักษ์
anukul.kku@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 รายวิชาสังคมศึกษาเรื่อง ออมไว้ไม่ขัดสน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 รายวิชาสังคมศึกษาเรื่อง ออมไว้ไม่ขัดสน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD หลังเรียนกับเกณฑ์ 75% 3) เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองโดยใช้แบบแผนการวิจัยแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนห้วยไหวัฒนา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 จำนวน 16 คน ที่ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD จำนวน 7 แผน ใช้เวลาสอนแผนละ 2 ชั่วโมง รวม 14 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบสอบถามเพื่อประเมินความพึงพอใจต่อการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ และการทดสอบค่าที</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 รายวิชาสังคมศึกษาเรื่อง ออมไว้ไม่ขัดสน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 75% อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เช่นกัน และพบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ระดับมาก ในด้านจุดประสงค์การเรียนรู้ ด้านเนื้อหา ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน ด้านสื่อการเรียนการสอน และด้านการประเมินผล</p>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/5659
การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โครงงานเป็นฐานหน่วยการเรียนรู้การปลูกพืชผักสวนครัว ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
2025-01-02T21:06:36+07:00
ฐิติพร ทัศนียศักดิ์
630402320005@nmc.ac.th
วดาภรณ์ พูลผลอำนวย
drwadaporn@nmc.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนกับก่อนเรียนโดยการจัดการเรียนรู้โครงงานเป็นฐาน หน่วยการเรียนรู้การปลูกพืชผักสวนครัว 2) เปรียบเทียบผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนโดยการจัดการเรียนรู้โครงงานเป็นฐาน หน่วยการเรียนรู้การปลูกพืชผักสวนครัว กับเกณฑ์ 75% 3) ศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ต่อการจัดการเรียนรู้โครงงานเป็นฐาน หน่วยการเรียนรู้การปลูกพืชผักสวนครัว การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองเบื้องต้น ใช้แบบแผนการวิจัยแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านระกา อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 15 คน ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้โครงงานเป็นฐาน หน่วยการเรียนรู้การปลูกพืชผักสวนครัว 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้การปลูกพืชผักสวนครัว และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โครงงานเป็นฐาน หน่วยการเรียนรู้การปลูกพืชผักสวนครัว สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ และการทดสอบค่าที </p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยการจัดการเรียนรู้โครงงานเป็นฐาน หน่วยการเรียนรู้การปลูกพืชผักสวนครัว หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 75% อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เช่นกัน และพบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ระดับมากที่สุด ในด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้านวัสดุอุปกรณ์/สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ และด้านการวัดผล/ประเมินผล</p>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/5548
ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3
2024-12-12T23:08:45+07:00
รัตนติกา ยากระโทก
6604033200122@nmc.ac.th
สมเดช สาวันดี
dad.sawan1@gmail.com
วิภาส ทองสุทธิ์
dad.sawan1@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบและเพื่อศึกษาแนวทางในการพัฒนาศึกษาระดับภาวะผู้นำ ของผู้บริหารสถานศึกษในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 จำแนกตามตำแหน่ง ประสบการณ์การทำงาน และขนาดของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 322 คน กำหนดขนาดโดยใช้ตารางเครจซี่และมอร์แกน และสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.60 - 1.00 มีค่าความเชื่อมั่นของ แบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.92 สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานการทดสอบค่าที (t-test) และค่าเอฟ (F-test)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก</li> <li>ผลจากการเปรียบเทียบภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 จำแนกตามตำแหน่ง ประสบการณ์การทำงาน และขนาดของสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน</li> </ol> <p> 3. แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 ตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญได้เสนอแนวทาง ดังนี้ 1) มีความเป็นกัลยาณมิตร ในการปฏิบัติงานร่วมกับบุคลากรภายในและบุคคลภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2) สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เอื้อ ต่อการเปลี่ยนแปลง เป็นนักคิด นักพัฒนาที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก มีการริเริ่มสิ่งต่าง ๆ รวมถึงความรวดเร็ว ในการปฏิบัติงาน 3) สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เอื้อต่อการทำงานเป็นทีม กำหนดหน้าที่และภาระงานของแต่ละคนตามความสามารถ ตำแหน่ง และประสบการณ์ 4) ส่งเสริม สนับสนุน และให้ความสำคัญในการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด 5) สร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้บุคลากรทุกคนทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ </p>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/5660
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนรู้ ของนักศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ 2
2025-01-02T21:08:07+07:00
กัญญาภัทร พงษ์อินวงษ์
630402320063@nmc.ac.th
อนุกูล จินตรักษ์
anukul.kku@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การพัฒนาตนเอง ชุมชน และสังคม ของนักศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ 2 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน และ 2) เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของนักศึกษาตอนปลายศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอพยัคฆภูมิพิสัย ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ 2 โดยใช้รูปแบบการวิจัย One – Group Pretest-Posttest Design กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชาสังคมศึกษา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 25 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1).แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ 2 จำนวน 6 แผน แผนละ 3 ชั่วโมง รวม 18 ชั่วโมง 2).แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ และ 3).แบบวัดความพึงพอใจของนักศึกษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคจิ๊กซอว์ 2 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) และการทดสอบสมมุติฐานด้วย t-test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1). ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาสังคมศึกษา เรื่อง การพัฒนาตนเอง ชุมชน และสังคม ของนักศึกษาตอนปลาย โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค จิ๊กซอว์ 2 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 2). ความพึงพอใจของนักศึกษาตอนปลาย ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค จิ๊กซอว์ 2 โดยภาพรวม พบว่านักศึกษามีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.57</p>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/5681
รูปแบบผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานสาธารณสงเคราะห์ของคณะสงฆ์หนกลาง
2025-01-04T21:14:54+07:00
พศิน สินมา
siriwat.one11@hotmail.com
พระศรีวินยาภรณ์ ดร.
pasin.sinma69@gmail.com
<p>การศึกษาวิจัยเรื่อง รูปแบบผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานสาธารณสงเคราะห์ของคณะสงฆ์หนกลางมีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาหลักพุทธธรรมที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานสาธารณสงเคราะห์ของคณะสงฆ์หนกลาง 2) เพื่อศึกษางานสาธารณสงเคราะห์ของคณะสงฆ์หนกลาง 3) เพื่อสร้างรูปแบบผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานสาธารณสงเคราะห์ของคณะสงฆ์หนกลาง 4) เพื่อนำเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับ “รูปแบบผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานสาธารณสงเคราะห์ของคณะสงฆ์หนกลาง” งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยคุณภาพเชิงเอกสาร เก็บข้อมูลจากพระไตรปิฎก เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และจากการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ทรงคุณวุฒิ 21 รูป/คน วิเคราะห์เชิงเนื้อหาและนำเสนอเชิงพรรณาวิเคราะห์</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>หลักพุทธธรรมที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานสาธารณสงเคราะห์ของคณะสงฆ์หนกลาง ได้แก่ 1) พุทธจริยา ทำให้การปฏิบัติงานสาธารณสงเคราะห์ของคณะสงฆ์เป็นไปอย่างมีระบบและส่งผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม 2) ทานบารมี แสดงให้เห็นถึงการเสียสละของพระสงฆ์เพื่อประโยชน์ของสังคม 3) สังคหวัตถุ ส่งเสริมให้การสงเคราะห์ของคณะสงฆ์ให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ และช่วยสร้างความสมานฉันท์ในชุมชน 4) กัลยาณมิตรธรรม ส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างวัดและชุมชน ซึ่งผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานสาธารณสงเคราะห์เกิดจากการบรรลุเป้าหมายของกิจกรรมโครงการที่มีการพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง</li> <li>งานสาธารณสงเคราะห์ของคณะสงฆ์หนกลางเป็นภารกิจสำคัญของพระสังฆาธิการที่ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบปัญหาความเดือดร้อนจากภัยพิบัติสาธารณภัยต่าง ๆ รวมถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน มี 4 ลักษณะ ได้แก่ 1) การสงเคราะห์ช่วยเหลือ ในยามปกติและยามวิกฤติ 2) การสนับสนุนเกื้อกูล เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน 3) การมีส่วนร่วมในการพัฒนา เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้กับชุมชนให้มีความมั่นคง 4) บูรณาการเครือข่าย คือการร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน</li> <li>รูปแบบผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานสาธารณสงเคราะห์ของคณะสงฆ์หนกลางประกอบด้วย 4 รูปแบบ ได้แก่ 1) รูปแบบการสงเคราะห์ช่วยเหลือด้วยหลักพุทธจริยา 2) รูปแบบสนับสนุนเกื้อกูลด้วยหลักทานบารมี 3) รูปแบบมีส่วนร่วมพัฒนาด้วยหลักสังคหวัตถุ 4) รูปแบบการบูรณาการเครือข่ายด้วยหลักกัลยาณมิตรธรรม โดยที่คณะสงฆ์มีแนวทางปฏิบัติงาน ทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่ตอบสนองความต้องการของบุคคล ชุมชน และสังคม เรียกว่า MAHATHERA MODEL</li> </ol>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/5549
ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6
2024-12-12T23:11:42+07:00
ประนอม ฉาลี
6604033200131@nmc.ac.th
ชีวิน บุญถม
6604033200122@nmc.ac.th
วิภาส ทองสุทธิ์
6604033200122@nmc.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 จำแนกตามตำแหน่ง ประสบการณ์การทำงาน และขนาดของสถานศึกษา 3) เพื่อศึกษาแนวทางในการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 302 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน และสุ่มแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.60 – 1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.97 สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) และค่าเอฟ (F-test) ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดคือ ด้านความยืดหยุ่น รองลงมา คือ ด้านวิสัยทัศน์ ด้านความไว้วางใจ และด้านการมุ่งความสำเร็จ ตามลำดับ</li> <li>ผลจากการเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 จำแนกตามตำแหน่ง ประสบการณ์การทำงาน และขนาดของสถานศึกษาโดยภาพรวมและรายด้าน พบว่า ไม่แตกต่างกัน</li> <li>แนวทางในการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 ประกอบด้วย 4 ด้าน ได้แก่ ด้านวิสัยทัศน์ ควรชัดเจนและสามารถสื่อสารได้ง่าย ด้านความยืดหยุ่น ควรฝึกฝนการตัดสินใจในสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอน ด้านความไว้วางใจ ควรมอบหมายงานที่สามารถทำได้ตามศักยภาพและประสบการณ์ของแต่ละบุคคล และด้านการมุ่งความสำเร็จ ควรมีการสื่อสารวิสัยทัศน์และเป้าหมายผ่านการประชุมหรือกิจกรรมต่าง ๆ</li> </ol>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/5646
การใช้เทคโนโลยีในการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษาในยุควิถีใหม่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5
2024-12-23T22:27:07+07:00
นพวิชญ์ คาดสนิท
nopphawit.ksn@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบและเพื่อศึกษาแนวทางในการใช้เทคโนโลยีในการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษาในยุควิถีใหม่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5 โดยจำแนกตามตำแหน่ง ประสบการณ์ทำงาน และขนาดของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอนที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษา จำนวน 333 คน กำหนดขนาดโดยใช้ตารางเครจซี่และมอร์แกน และได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (cluster random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.80 – 1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.89 สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) และค่าเอฟ (F-test)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>การใช้เทคโนโลยีในการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษาในยุควิถีใหม่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก</li> <li>ผลการเปรียบเทียบการใช้เทคโนโลยีในการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษาในยุควิถีใหม่ จำแนกตามตำแหน่ง โดยภาพรวมและรายด้านมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 จำแนกตามประสบการณ์ทำงาน และขนาดสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน</li> <li>แนวทางการพัฒนาการใช้เทคโนโลยีในการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษาในยุควิถีใหม่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5 ตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญได้เสนอแนวทาง ดังนี้ 1) ให้มีการจัดอบรมพัฒนาและให้ความรู้ด้านการใช้เทคโนโลยีในการบริหารงาน 2) สร้างความตะหนักรู้ และเข้าใจมองเห็นคุณค่าของการใช้เทคโนโลยีในการบริหารงาน 3) สร้างระบบสารสนเทศที่ตรงกับการทำงานของแต่ละกลุ่มงาน เช่น โปรแกรมสำเร็จรูป เพื่อเป็นการทำงานในทิศทางเดียวกันและลดความซับซ้อนของการทำงาน</li> </ol>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/5714
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5
2025-01-18T13:06:10+07:00
สุนารี ไทยจันอัด
sunaree.thcho@gmail.com
ภัทรฤทัย ลุนสำโรง
Sunaree.thcho@gmail.com
วิรัลพัชร วงศ์วัฒน์เกษม
Sunaree.thcho@gmail.com
<p>การวิจัยเรื่องการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5 ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษา 2) เปรียบเทียบ โดยจำแนกตามตำแหน่ง ประสบการณ์ทำงาน และขนาดของสถานศึกษา 3) ศึกษาแนวทางในการส่งเสริม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอนที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 333 คน กำหนดขนาดโดยใช้ตารางเครจซี่และมอร์แกน และได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น (stratified random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.80 – 1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.82 สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) และค่าเอฟ (F-test)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5 อยู่ในระดับมาก</li> <li>ผลการเปรียบเทียบ จำแนกตามตัวแปรตำแหน่ง โดยภาพรวมและรายด้านมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 จำแนกตามประสบการณ์ทำงานและขนาดสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน</li> <li>แนวทางการพัฒนาส่งเสริมด้านการบริหารวิชาการที่ควรดำเนินการสูงสุด คือ ผู้บริหารส่งเสริมให้ครูนำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน รวมถึงทำให้ผู้เรียนมีความพร้อม และสามารถใช้ ICT ในการเสาะแสวงหา รองลงมาคือ ผู้บริหารปรับหลักสูตรและแนวทางการจัดการเรียนการสอนที่เน้นการบูรณาการในรูปแบบการผสมผสาน เพื่อให้การจัดการเรียน การสอนมีผลสัมฤทธิ์ดีที่สุด และผู้บริหารส่งเสริมให้ครูนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการวางแผน และพัฒนาการวัดผลประเมินการเรียนการสอน ตามลำดับ</li> </ol>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/5547
การศึกษาผลสัมฤทธิ์และความพึงพอใจทางการเรียน รายวิชาคณิตศาสตร์ในชีวิตประจำวัน เรื่อง ร้อยละและดอกเบี้ย โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD ของนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย วิทยาลัยนครราชสีมา
2024-12-12T23:07:23+07:00
พิชญ์สิชา พงษ์พันแพงพงา
tanaporn_10320@nmc.ac.th
ธนภรณ์ แซ่ลิ่ม
phitzesa.bam.5145@gmail.com
พัทฐรินทร์ โลหา
looknam26loha@gmail.com
วิมาน วรรณคำ
wannakham.w@gmail.com
สมัคร ไวยขุนทด
Samak.waikhuntod2@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ในชีวิตประจำวันเรื่อง ร้อยละและดอกเบี้ยโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD ของนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย วิทยาลัยนครราชสีมา หลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 75 และ 2) ศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ในชีวิตประจำวันเรื่อง ร้อยละและดอกเบี้ยโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD ของนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย วิทยาลัยนครราชสีมา กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย วิทยาลัยนครราชสีมา ปีการศึกษา 2565 จำนวน 15 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนบริหารการสอน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ในชีวิตประจำวันเรื่อง ร้อยละและดอกเบี้ยโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD ของนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย วิทยาลัยนครราชสีมา หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75</li> <li>ความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ในชีวิตประจำวันเรื่อง ร้อยละและดอกเบี้ยโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD ของนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย วิทยาลัยนครราชสีมา อยู่ในระดับมากที่สุด</li> </ol>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/5749
ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการจัดการเรียนรู้ของครู ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 4
2025-02-06T20:18:12+07:00
ศศิญาภรณ์ นิ ติสุข
sasiyaporn18@gmail.com
บรรจบ บุญจันทร์
banjobbun21@gmail.com
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการจัดการเรียนรู้ของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 4 2) ศึกษาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 4 3) สร้างสมการพยากรณ์ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารที่ส่งผลต่อ<br />การจัดการเรียนรู้ของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 4 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครู จำนวน 322 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ โดยใช้อำเภอที่ตั้งสถานศึกษาเป็นชั้นภูมิ เครื่องมือในการวิจัย คือ แบบสอบถามที่ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p> ผลวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>การจัดการเรียนรู้ของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 4 <br />โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน</li> <li> ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมาเขต 4 โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน</li> <li> ภาวะผู้นำทางวิชาการด้านการกำหนดภารกิจของสถานศึกษา (X<sub>1</sub>) และภาวะผู้นำทางวิชาการด้านการนิเทศการศึกษา (X<sub>3</sub>) มีอิทธิพลร่วมกันต่อการจัดการเรียนรู้ของครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 4 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยปัจจัยที่มีอิทธิพลสูงสุด คือ ภาวะผู้นำทางวิชาการด้านการกำหนดภารกิจของสถานศึกษา ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณระหว่างปัจจัยเหล่านี้กับการจัดการเรียนรู้ของครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 4 เป็น 0.905 และปัจจัยเหล่านี้สามารถอธิบายความแปรปรวนการจัดการเรียนรู้ของครูในสถานศึกษาได้ร้อยละ 81.9</li> </ol>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/5715
ภาวะผู้นำเชิงศรัทธาบารมีของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการทำงานเป็นทีมของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 3
2025-01-21T15:25:39+07:00
ประทวน เรืองจาบ
prathuan.tlkschool@gmail.com
บรรจบ บุญจันทร์
Banjobbun21@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาระดับการทำงานเป็นทีมของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 3 2) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงศรัทธาบารมีของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 3 และ 3) สร้างสมการพยากรณ์ภาวะผู้นำเชิงศรัทธาบารมีของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการทำงานเป็นทีมของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 3 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 3 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 313 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการทำงานเป็นทีมของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 3 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ การมีส่วนร่วมและการมีมนุษยสัมพันธ์ ด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ เป้าหมายของทีม 2) ภาวะผู้นำเชิงศรัทธาบารมีของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 3 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ การมีความมั่นใจในตนเอง ด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ การสร้างแรงบันดาลใจ และ 3) ภาวะผู้นำเชิงศรัทธาบารมีของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 3 ที่ส่งผลต่อการทำงานเป็นทีมของครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 3 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 โดยด้านที่มีอิทธิพลสูงที่สุด คือ การมีความกล้าที่จะเสี่ยง รองลงมา คือ การสร้างแรงบันดาลใจ การมีวิสัยทัศน์ และการมีทักษะการสื่อสาร ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ เท่ากับ .706 ทั้งนี้ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 3 ควรส่งเสริมให้ผู้บริหารสถานศึกษาและครูได้รับการพัฒนาเกี่ยวกับภาวะผู้นำเชิงศรัทธาบารมีและการทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพ</p>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/5698
การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจโดยการจัดการเรียนรู้แบบ สืบเสาะหาความรู้ 5E ร่วมกับชุดกิจกรรมวิชาการบัญชีห้างหุ้นส่วน ของนักเรียนประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2
2025-01-17T16:47:49+07:00
อุทัย ชินอ่อน
630402320001@nmc.ac.th
ธิดารัตน์ สมานพันธ์
drtidarat@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการบันทึกรายการการเปิดบัญชีของห้างหุ้นส่วน ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ร่วมกับชุดกิจกรรม ส่วนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาการบัญชีห้างหุ้นส่วน เรื่องการบันทึกรายการเปิดบัญชีของห้างหุ้นส่วน โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ร่วมกับชุดกิจกรรม ของ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 หลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 80 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ร่วมกับชุดกิจกรรม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้คือนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 วิทยาลัยเทคนิคนครพนม เมือง จังหวัดนครพนม ซึ่งได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) มีจำนวนนักเรียน 26 คน เครื่องมือในการวิจัยประกอบไปด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้วิชาการบัญชีห้างหุ้นส่วน เรื่องการบันทึกรายการเปิดบัญชีของห้างหุ้นส่วน โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ร่วมกับชุดกิจกรรม จำนวน 5 แผน เวลา 4 ชั่งโมง 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาการบัญชีห้างหุ้นส่วน เรื่องการบันทึกรายการเปิดบัญชีของห้างหุ้นส่วน ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 เป็นแบบปรนัย จำนวน 30 ข้อ ชนิดเลือกตอบ 5 ตัวเลือก 3) แบบประเมินความพึงพอใจ วิชาการบัญชีห้างหุ้นส่วน เรื่องการบันทึกรายการเปิดบัญชีของห้างหุ้นส่วน ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 จำนวน 20 ข้อ ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการบันทึกรายการเปิดบัญชีของห้างหุ้นส่วน ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2 โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ร่วมกับชุดกิจกรรม หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .01 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานข้อที่ 1</p> <p>2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการบันทึกรายการเปิดบัญชีของห้างหุ้นส่วน ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ร่วมกับชุดกิจกรรม หลังเรียนสูงกว่าาเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานข้อที่ 2</p> <p> 3) ความพึงพอใจของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E ร่วมกับชุดกิจกรรมอยู่ในระดับมาก ( = 4.26 , S.D. =0.65</p>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/5536
รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงดิจิทัลของครูและบุคลากรทางการศึกษาเพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2
2024-12-11T10:56:12+07:00
ประภัสสร สรวนรัมย์
krezexus@gmail.com
<p class="03-"><a name="_Hlk157335024"></a><span lang="TH">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงดิจิทัลที่พึงประสงค์ของครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 2) เพื่อสร้างรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงดิจิทัลของครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 3) เพื่อประเมินรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงดิจิทัลของครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 4) เพื่อศึกษาสภาพการทดลองใช้รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงดิจิทัลของครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำที่พึงประสงค์ของครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 มีองค์ประกอบหลัก 8 ด้าน ได้แก่ ด้านความเป็นพลเมืองดิจิทัล ด้านวิสัยทัศน์เชิงดิจิทัล ด้านการปรับตัวต่อเทคโนโลยี ด้านการสื่อสาร ด้านการสร้างวัฒนธรรมดิจิทัล ด้านความรู้และทักษะทางด้านดิจิทัล ด้านความร่วมมือและเครือข่าย และด้านการปฏิบัติที่เป็นเลิศด้านเทคโนโลยี 2) รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำของครูและบุคลากรทางการศึกษา ครูและบุคลากรทางการศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 พบว่า ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ คือ 1) แนวคิดและหลักการกำกับรูปแบบฯ 2) วัตถุประสงค์ของร่างรูปแบบฯ 3) ภาวะผู้นำเชิงดิจิทัลของครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 ที่จำเป็นต้องพัฒนา 4) แผนการพัฒนาภาวะผู้นำของครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 จำนวน 8 แผน 5) กระบวนการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงดิจิทัล มีองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ ประเมินตนเอง ก่อนการพัฒนาภาวะผู้นำดำเนินการพัฒนาภาวะผู้นำ ตามแผนการพัฒนาภาวะผู้นำและประเมินผลหลังการพัฒนาภาวะผู้นำ</span></p>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/5525
ศึกษาภาพสะท้อนสังคมในกวีนิพนธ์ รางวัลซีไรต์ ประจำปี 2565 เรื่อง “จนกว่าโลกจะโอบกอดเราเอาไว้” ของปาลิตา ผลประดับเพ็ชร์
2024-12-07T10:40:49+07:00
พระปลัดสิทธิพงศ์ ญาณธีโร (พวงมาลัย)
64d0106113@nrru.ac.th
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. จิรัฐิพร ไทยงูเหลือม
rose19297@gmail.com
<p>บทความวิจัยศึกษาภาพสะท้อนสังคมในกวีนิพนธ์ รางวัลซีไรต์ ประจำปี 2565 เรื่อง “จนกว่าโลกจะโอบกอดเราเอาไว้” ของปาลิตา ผลประดับเพ็ชร์ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อภาพสะท้อนสังคมในกวีนิพนธ์รางวัลซีไรต์ ประจำปี 2565 เรื่อง “จนกว่าโลกจะโอบกอดเราเอาไว้” ของปาลิตา ผลประดับเพ็ชร์ ดังนี้</p> <p> ผลการศึกษาภาพสะท้อนสังคม พบว่า ผลการศึกษาภาพสะท้อนสังคมพบว่ามีมิติทางสังคม 7 ด้านสำคัญ ดังนี้ 1. ค่านิยม สะท้อนความเหลื่อมล้ำทางสังคมและการมองมนุษย์เป็นวัตถุ 2. เศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และความเสี่ยงของผู้ประกอบการรายย่อย 3. การศึกษา เน้นถึงผลกระทบจากระบบการศึกษาล้าสมัย 4. โรคระบาด สะท้อนความกังวลและผลกระทบทางเศรษฐกิจ 5. สิ่งแวดล้อม ปัญหามลพิษและการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ 6. จริยธรรมสื่อ สะท้อนการบิดเบือนความจริงในสื่อไทย 7. วัฒนธรรมและศาสนา สะท้อนการใช้ศาสนาและสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมในการกระตุ้นการช่วยเหลือ</p>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/5671
หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับการฝึกวิชาชีพด้านเกษตรกรรมแก่ผู้ต้องขังในเรือนจำชั่วคราว
2025-01-17T16:52:44+07:00
เพ็ญกวิน รักคำ
penkawin_rukkam@hotmail.com
<p class="03-"><span lang="TH">บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับความสำคัญและบทบาทของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่มีต่อการฝึกวิชาชีพด้านเกษตรกรรมแก่ผู้ต้องขังในเรือนจำชั่วคราว ซึ่งเป็นภารกิจหลักของเรือนจำชั่วคราวที่มุ่งเน้นให้ผู้ต้องขังได้รับการปรับปรุงและพัฒนาพฤตินิสัย ตลอดจนมีทักษะในการประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองหลังได้รับการปล่อยตัว การนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้กับในเรือนจำชั่วคราวดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดเป็นผลสำเร็จได้เช่นในทุกวันนี้ เนื่องด้วยปัจจัยทางภูมิศาสตร์ เช่น สภาพภูมิอากาศและสภาพภูมิประเทศ เป็นต้น และปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรม โดยเฉพาะคุณูปการจากสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อการฝึกวิชาชีพเกษตรกรรมแก่ผู้ต้องขังในรูปแบบต่าง ๆ เช่น โครงการกำลังใจ ในพระดำริพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เป็นต้น และปัจจัยด้านนโยบายของกรมราชทัณฑ์ ที่ได้นำเอานโยบายการบริหารงานราชทัณฑ์ 8 มิติ มาปรับใช้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยเหตุนี้ จึงนำไปสู่การยกระดับเรือนจำชั่วคราวสู่แหล่งท่องเที่ยวและเรียนรู้เชิงเกษตรกรรม ส่งผลให้ผู้ต้องขังได้แสดงศักยภาพด้านเกษตรกรรม รวมทั้งเป็นการเผยแพร่หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงแก่ประชาชนทั่วไป หน่วยงาน องค์กร ตลอดจนผู้ที่สนใจศึกษาข้อมูล ก่อให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ด้านเกษตรกรรมและความยั่งยืนทางสังคมในอนาคต</span></p>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/5654
การผสมผสานทางความเชื่อทางพระพุทธศาสนากับ ความเชื่อเรื่องสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาในสังคมไทย
2024-12-25T20:41:52+07:00
พระสุชิน บุตรพา
suchin.71686@gmail.com
ผศ. พิเศษ ดร. สรวิชญ์ วงษ์สะอาด
Suchin.71686@gmail.com
พระเจริญพงษ์ วิชัย
Suchin.71686@gmail.com
<p class="03-"><span lang="TH">บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการผสมผสานความเชื่อทางพระพุทธศาสนากับความเชื่อเรื่องสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาในสังคมไทย ซึ่งเป็นการผสมผสานความเชื่อที่สืบทอดมาอย่างยาวนานตั้งแต่ยุคโบราณ โดยมีพื้นฐานมาจากการนับถือธรรมชาติ ผีสาง เทวดา บรรพบุรุษ และพิธีกรรมตามศาสนาพราหมณ์ที่เข้ามาเผยแผ่ก่อนพระพุทธศาสนา เมื่อพระพุทธศาสนาเผยแผ่เข้ามาในดินแดนสุวรรณภูมิโดยพระสมณทูตที่พระเจ้าอโศกมหาราชส่งมา ทำให้เกิดการผสมผสานทางความเชื่อระหว่างศาสนาทั้งสอง โดยเฉพาะในเรื่องเคราะห์กรรม ก่อให้เกิดพิธีกรรมทางศาสนาขึ้นมากมาย</span></p> <p class="03-" style="text-indent: 34.0pt;"><span lang="TH">ในปัจจุบัน การสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาของคนไทยส่วนใหญ่มักจะอยู่ในรูปแบบของการทำบุญและพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ตามสถานที่ต่างๆ เช่น วัด หรือโบสถ์ของพราหมณ์ ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถส่งเสริมและแก้ไขดวงชะตาชีวิตให้ดีขึ้นได้ ทั้งในแง่ของการขจัดสิ่งอัปมงคล การเสริมดวงในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการงาน การเงิน ความรัก หรือสุขภาพ นอกจากนี้ การทำบุญและประกอบพิธีกรรมดังกล่าวยังถือเป็นการเสริมสร้างกำลังใจให้กับผู้ที่ปฏิบัติ ช่วยให้เกิดความมั่นใจและกล้าเผชิญกับอุปสรรคในชีวิต รวมถึงยังเป็นการปลูกฝังให้ยึดมั่นในศีลธรรมความดีงามอีกด้วย แม้ความเชื่อเหล่านี้จะมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปตามบริบททางสังคมและวัฒนธรรม แต่ก็ยังคงมีอิทธิพลและเกี่ยวข้องกับการทำบุญและประกอบพิธีกรรมของผู้คนในสังคมไทยมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างความเชื่อดั้งเดิม พระพุทธศาสนา และศาสนาพราหมณ์ ที่หล่อหลอมกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของความเชื่อและวัฒนธรรมไทย</span></p>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/5483
วิถีแห่งการสร้างความสุขตามหลักพุทธศาสนาเถรวาท
2024-12-03T10:50:30+07:00
พระมหาเสวย ปิยธมฺโม ปุยทอง
sawoei123456789@gmail.com
<p>การสร้างความสุขในทางเถรวาทเน้นที่การฝึกฝนจิตใจให้สงบ และมีปัญญารู้จักการกระทำที่ดีและเข้าใจในวิถีธรรมชาติของชีวิต ทำให้เราเข้าใจและรับมือกับความทุกข์ได้อย่างมีสติ การปฏิบัตินี้จะนำไปสู่ความสงบสุขภายในและความสุขที่ยั่งยืน การแก้ปัญหาชีวิตสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับลักษณะของปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ ที่อาจช่วยให้คุณแก้ไขปัญหาชีวิตได้ การมีชีวิตที่มีความสงบสุขทางใจ และสามารถหลุดพ้นจากทุกข์ได้นั้น พระพุทธองค์ตรัสว่า ทุกข์เกิดจากเหตุ หากเราดับต้นเหตุนั้น แก้ให้ถูกเหตุ ฝึกฝนจิตใจให้มีความเพียรพยายามในการขัดเกลาจิตใจตามคำสอนของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะการปฏิบัติตาม <strong>อริยสัจ 4</strong> (ทุกข์, สมุทัย, นิโรธ, มรรค) จะช่วยให้บรรเทาทุกข์ และเพิ่มภาวะแห่งความสุขขึ้นมาได้ วิถีแห่งการสร้างสุขตามหลักพุทธศาสนาเถรวาท เน้นที่หลักธรรมที่ปฏิบัติให้เกิดความสุข ได้แก่ ธรรมมีอุปการะมาก 2, ตัณหา 3, อิทธิบาท 4, พรหมวิหาร 4 และพละ 5</p>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/5725
หลักสัปปุริสธรรม 7: การส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมในการสอนสังคมศึกษาสำหรับในยุคปัจจุบัน
2025-01-31T19:09:18+07:00
กัญญาพร สุทธิพันธ์
kanskos@gmail.com
พระครูปลัดอภินันท์ โชติธีโร (สุนทรภักดี)
Neung_Apinun@hotmail.com
พระมหาอริยะ อริยชโย (ถิรทินรัตน์)
ariyajayo@gmail.com
วันไชย์ กิ่งแก้ว
wanchai.kin@mcu.ac.th
สุพัฒน์ ชัยวรรณ์
kensaki00000@gmail.com
<p class="03-"><span lang="TH">ปัญหาสังคมที่ส่งผลกระทบต่อเยาวชนในยุคปัจจุบัน เกิดจากสภาพแวดล้อมทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และเทคโนโลยี แม้ว่าสังคมจะมีการปรับเปลี่ยนและแก้ไขปัญหานี้ แต่ยังคงขาดแนวทางที่จะทำการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม โดยจะประยุกต์ใช้ หลักสัปปุริสธรรม 7 ได้แก่ การรู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้ประมาณ รู้กาล รู้ชุมชน และรู้บุคคล ในการสอนวิชาสังคมศึกษา เพื่อส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมแก่เยาวชนให้เหมาะสมกับบริบทของยุคปัจจุบัน การประยุกต์ใช้หลักสัปปุริสธรรม 7 ในการสอนผ่านวิธีการที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ในการทำกิจกรรม การใช้นิทาน เกม กรณีศึกษา บทบาทสมมติ สถานการณ์จำลอง และกิจกรรมกลุ่ม ช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทั้งในด้านความคิดวิเคราะห์ ความรับผิดชอบ และความสามารถในการแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ การใช้กิจกรรมจะทำให้เยาวชนมีจิตสำนึกที่ดีต่อส่วนรวม เข้าใจปัญหาสังคม และปรับตัวได้อย่างเหมาะสม ผลที่คาดหวังจากการศึกษา คือ การนำหลักสัปปุริสธรรม 7 มาประยุกต์ใช้ในการสอน ช่วยพัฒนาเยาวชนให้มีความรู้คู่คุณธรรม มีจิตสำนึกที่ดี และสามารถเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงในสังคมยุคใหม่ได้อย่างมั่นคง จากการทดลองใช้หลักสัปปุริสธรรม 7 พบว่า ผู้เรียนมีพฤติกรรมด้านคุณธรรมที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ในด้านการคิดอย่างมีเหตุผล รู้จักประมาณตน เคารพความแตกต่าง และมีความรับผิดชอบต่อชุมชนและสังคม สามารถนำไปใช้พัฒนากระบวนการเรียนการสอนในวงการศึกษา เพื่อสร้างครูผู้สอนที่มีความพร้อมในการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมแก่เยาวชน อีกทั้งช่วยให้เยาวชนสามารถพัฒนาตนเองและสร้างสังคมที่ดีในอนาคต</span></p>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/5726
การพัฒนาคุณภาพชีวิตกับการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสังคมไทยปัจจุบัน
2025-01-31T19:10:26+07:00
อุทัย อินทรักษ์
uthai29041962@gmail.com
พระมหาถนอม ฐานวโร
Mcu.mahatanom@gmail.com
สุรัตน์ พักน้อย
suwansunti@gmail.com
ปัทมาวดี แสนเขื่อนแก้ว
pattamawadee.sankheangaew@gmail.com
วีรพงศ์ พิชัยเสนาณรงค์
mcurkmail@gmail.com
<p class="03-"><span lang="TH">การพัฒนาคุณภาพชีวิตในบริบทของสังคมไทยปัจจุบันควบคู่กับการเผยแผ่พระพุทธศาสนาโดยการประยุกต์ใช้หลักธรรมสำคัญ ได้แก่ 1) สัจจธรรมตามธรรมชาติ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการดำเนินไปของสิ่งทั้งหลายตามกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติ 2) หลักพรหมวิหาร โดยนำหลักเมตตาและกรุณา ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์อันดีในสังคม และ 3) บัญญัติธรรม เป็นกรอบจริยธรรมที่มนุษย์พัฒนาขึ้นเพื่อใช้จัดระเบียบและสร้างความสมานฉันท์ในสังคม จากการศึกษาได้รับการเน้นย้ำว่าเป็นรากฐานสำคัญในการเชื่อมโยงหลักธรรมเข้ากับการพัฒนาคุณภาพชีวิตในบริบทของสังคมปัจจุบัน ผู้คนมีแนวโน้มแสวงหาความสะดวกสบายและตอบสนองต่อความต้องการส่วนตัวสูง การปรับกระบวนการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวิถีชีวิตร่วมสมัย โดยการใช้เทคโนโลยีและวิธีการสื่อสารสมัยใหม่เพื่อเข้าถึงประชากรทุกกลุ่ม ต่อการส่งเสริมการแก้ไขปัญหาด้านจิตใจ และสร้างสมดุลระหว่างความสุขทางโลกและทางธรรม จากที่ศึกษาวิเคราะห์บทบาทของสถาบันการศึกษาในฐานะกลไกสำคัญในการเผยแผ่ธรรมะและปลูกฝังคุณธรรม รวมถึงการสร้างจิตสำนึกที่ดีต่อสังคม เพื่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกในการเสริมสร้างจริยธรรมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในมิติต่าง ๆ โดยครอบคลุมถึงกระบวนการศึกษาและขอบเขตที่ชัดเจนเพื่อและการประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติ การพัฒนาคุณภาพชีวิตในปัจจุบันจะดีได้ต้องเริ่มที่จะเรียนรู้ปรับตัวให้เข้ากับบริบทสมัยใหม่</span></p>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/5482
การวิจารณ์เชิงสร้างสรรค์ในพระพุทธศาสนา: หลักการและประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและผู้อื่น
2024-12-03T10:48:40+07:00
พระครูวศิน สุตกาญจน์
win25113@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์หลักการวิจารณ์เชิงสร้างสรรค์ตามแนวทางของพระพุทธศาสนา โดยมุ่งเน้นที่หลักการสำคัญและประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและผู้อื่น การวิจารณ์เชิงสร้างสรรค์ในบริบทของพระพุทธศาสนานั้นเป็นรูปแบบการสื่อสารที่สำคัญ ซึ่งตั้งอยู่บนรากฐานแห่งความเมตตา กรุณา และปัญญา มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมให้ผู้รับและผู้ให้คำวิจารณ์เกิดการพัฒนาตนเองอย่างสมดุลและยั่งยืน</p> <p> กระบวนการวิจารณ์เชิงสร้างสรรค์ตามหลักพระพุทธศาสนานั้น เริ่มต้นจากการมีจิตใจที่บริสุทธิ์ ปราศจากอคติ มุ่งมั่นที่จะให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้ผู้รับสามารถปรับปรุงและพัฒนาตนเองได้อย่างแท้จริง นอกจากการชี้ให้เห็นข้อบกพร่องแล้ว ยังต้องเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาที่สร้างสรรค์และเป็นรูปธรรมด้วย โดยยึดหลักการสำคัญ ได้แก่ อธิษฐานธรรม อวิหิงสา สัจจะ ขันติ และสมานัตตา ซึ่งทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การวิจารณ์ด้วยจิตใจที่เปี่ยมด้วยความเมตตาและปัญญา</p> <p> การวิจารณ์เชิงสร้างสรรค์ตามหลักพุทธศาสนานั้น มีประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของทั้งผู้วิจารณ์และผู้รับวิจารณ์อย่างมาก ผู้ที่ได้รับคำวิจารณ์ที่ดีจะสามารถมองเห็นโอกาสในการพัฒนาตนเองได้อย่างชัดเจน ได้รับแรงบันดาลใจและกำลังใจในการปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ อย่างสร้างสรรค์ ส่งผลให้เกิดการเรียนรู้ การเติบโตทางปัญญา และการดำเนินชีวิตที่มีความสุขสมดุล ในขณะเดียวกัน ผู้ที่มอบคำวิจารณ์ด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ก็จะได้พัฒนาทักษะการสื่อสารที่มีคุณค่า เสริมสร้างความเข้าใจอันดีและความไว้เนื้อเชื่อใจกับผู้รับ อีกทั้งยังเป็นการฝึกฝนตนเองให้เป็นผู้มีเมตตา มีปัญญา มีความรับผิดชอบต่อการกระทำและคำพูดของตน อันจะส่งผลให้สังคมและองค์กรมีการพัฒนาไปในทิศทางที่สร้างสรรค์ เกิดความสามัคคี และมีภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็งอย่างยั่งยืนต่อไป</p>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/5446
การประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรมเป็นกลไกสร้างความสามัคคีในสังคมบนรากฐานการเกื้อกูลต่อกัน
2024-11-29T17:02:01+07:00
พระครูจิรกาญจนวงศ์ ญาณุตฺตโม
rawia19612506@gmail.com
<p>ในสังคมไทย วัดและชุมชนมีความสัมพันธ์ที่ผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้นมายาวนาน วัดมิได้เป็นเพียงสถานที่ประกอบศาสนกิจเท่านั้น หากยังทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมจิตใจ แหล่งให้การศึกษา และศูนย์กลางในการพัฒนาชุมชนในทุกมิติ ในขณะที่ชุมชนเองก็มีบทบาทสำคัญในการทำนุบำรุงวัด อุปถัมภ์พระสงฆ์ และร่วมทำกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา ความสัมพันธ์ที่เกื้อกูลกันนี้เป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้พระพุทธศาสนาและวิถีชุมชนมีความมั่นคงสืบต่อมาอย่างยาวนาน</p> <p> อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นนี้กำลังถูกท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในยุคปัจจุบัน วิถีชีวิตที่เร่งรีบ ความเจริญทางวัตถุ และกระแสโลกาภิวัตน์ ได้ส่งผลให้ความผูกพันระหว่างวัดและชุมชนเริ่มห่างเหิน การฟื้นฟูและธำรงรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างวัดกับชุมชนจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันดำเนินการ</p> <p>การประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรมในการสร้างความสามัคคีเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับบริบทของสังคมไทยเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะหลักธรรมสำคัญ เช่น สังคหวัตถุ 4 (ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา สมานัตตตา) พรหมวิหาร 4 (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) และอิทธิบาท 4 (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา) ที่เน้นการมีใจรักในสิ่งที่ทำ ความเพียรพยายาม ความเอาใจใส่ และการใช้ปัญญาไตร่ตรอง</p> <p> การนำหลักพุทธธรรมมาประยุกต์ใช้เป็นแนวทางสร้างความสามัคคีบนรากฐานของการเกื้อกูลต่อกัน จะช่วยสานสัมพันธ์อันดีระหว่างวัดและชุมชนให้กลับคืนมา ส่งเสริมให้สังคมมีศีลธรรมจริยธรรม ลดความขัดแย้ง สร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และช่วยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้มั่นคง ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาสังคมไทยให้เข้มแข็งและยั่งยืนสืบไป</p>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/5683
วิวัฒนาการงานนวกรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาท
2025-01-07T13:30:44+07:00
พศิน สินมา
siriwat.one11@hotmail.com
พระศรีวินยาภรณ์ ดร.
pasin.sinma69@gmail.com
<p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาวัดในพระพุทธศาสนาเถรวาท 2) เพื่อศึกษาวิวัฒนาการงาน<br />นวกรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาท ผลการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li>วัดเป็นสถานที่สำคัญในการประกอบพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาและเป็นที่พักอาศัยของพระสงฆ์ วัดในพระพุทธศาสนาเถรวาทสามารถจำแนกออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ วัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาและสำนักสงฆ์ ซึ่งมีการจัดพื้นที่ในวัดเป็นเขตต่างๆ ได้แก่ เขตพุทธาวาส เขตสังฆาวาส และเขตธรณีสงฆ์ โดยแต่ละเขตมีหน้าที่เฉพาะในการประกอบพิธีกรรม พักอาศัย และใช้ประโยชน์ตามลักษณะของพื้นที่ในวัด</li> <li>งานนวกรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาทมีวิวัฒนาการตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน โดยงานนวกรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาทเริ่มต้นจากการสร้างเสนาสนะสำหรับพระพุทธองค์และพระสาวก ก่อนจะพัฒนาในแต่ละยุค โดยในยุคสุโขทัยอยุธยาเน้นการสร้างพระอุโบสถและกุฏิสำหรับพระสงฆ์ ยุคธนบุรีมีการสร้างเจดีย์ทรงลังกา และยุครัตนโกสินทร์เน้นการพัฒนาศาลาการเปรียญและกุฏิพระสงฆ์ สำหรับในยุคปัจจุบัน การพัฒนาวัดมีเป้าหมายให้เป็น รมณียสถาน ด้วยการนำหลักสัปปายะ 4 อย่าง ได้แก่ อาวาสสัปปายะ อาหารสัปปายะ บุคคลสัปปายะ และธรรมสัปปายะ มาประยุกต์ใช้ เพื่อให้วัดเป็นสถานที่ที่เหมาะสมกับการปฏิบัติธรรม และการพัฒนาจิตใจของพระสงฆ์และประชาชน รวมถึงการปรับภูมิทัศน์ภายในวัดให้เป็นไปตามหลัก 5 ส. อันประกอบด้วย 1) สะสาง หมายถึง กำจัดสิ่งไม่จำเป็น 2) สะดวก หมายถึง การจัดเก็บและการเข้าถึงง่าย 3) สะอาด หมายถึง ทำความสะอาดและตรวจสอบ 4) สร้างมาตรฐาน หมายถึง กำหนดกฎระเบียบ 5) สร้างวินัย หมายถึง รักษามาตรฐานและปรับให้ทันสมัย เพื่อสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการฝึกฝนธรรมะและการดำเนินชีวิตที่มีความสุข</li> </ol>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/nsc/article/view/5615
แผนที่ชีวิตตามหลักพุทธธรรมและปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สำหรับวัยเกษียณในกรุงเทพมหานคร
2024-12-19T19:53:24+07:00
สุรฉัตร ชมบ้านแพ้ว
suramouth@gmail.com
พระมหาศุภวัฒน์ บุญทอง
suramouth@gmail.com
<p>ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ภาวะสังคมสูงอายุแบบสุดยอดในไม่ช้านี้ ทำให้ชีวิตหลังเกษียณอายุงานต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจคาดเดาในหลายๆด้าน ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม นอกจากนี้ยังมีเรื่องของความฝืดเคืองทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบถึงปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ด้วยเหตุนี้การพัฒนาคุณภาพชีวิตและสร้างความพร้อมให้ผู้เกษียณอายุจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ จากการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและการพัฒนาจิตและปัญญาแบบองค์รวมตามหลักพุทธศาสนามาใช้เป็นแม่บท สามารถบูรณาการเพื่อใช้ออกแบบแผนที่ชีวิตให้กับผู้เกษียณอายุในกรุงเทพมหานครได้ หลักพุทธธรรมเบื้องต้นได้แก่ การเข้าใจตนเองอย่างแท้จริงตนเอง การสร้างวิสัยทัศน์ด้วยความเห็นชอบอย่างถูกต้อง และการไตร่ตรองไปในทางที่สมควรเพื่อบรรลุเป้าหมาย ผลจากการบูรณาการทำให้ได้แผนที่ต้นแบบในการดำเนินชีวิตสองส่วนคือ แผนหลักจะเป็นแนวทางการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐานเพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดี และแผนเสริมจะเป็นการสร้างจิตสำนึกของความพอเพียงให้เกิดขึ้น โดยที่ทั้งสองแผนจะมีความสอดคล้อง ก่อให้เกิดความสมดุลในการดำรงชีวิตที่ไม่มุ่งเน้นการแสวงหาความสุขจากการบริโภค แต่มุ่งหวังประโยชน์สุขด้านจิตใจเป็นหลัก นอกจากนี้ยังได้นำหลักธรรมในพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ในการวางกรอบวิสัยทัศน์และเป้าหมายชีวิตของผู้เกษียณอายุ ส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรม นำไปสู่การออกแบบแผนที่ชีวิตที่ก่อให้เกิดประโยชน์ในเบื้องหน้า สามารถน้อมนำมาปฏิบัติได้จริง สู่การดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพในภาวะสังคมสูงอายุแบบสุดยอดที่กำลังจะมาถึง อย่างเต็มรูปแบบ</p>
2025-02-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเสียงธรรมจากมหายาน