แนวทางส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน กรณีศึกษาบ้านช่อนเหนือ เมืองช่อน แขวงหัวพัน สปป.ลาว
Main Article Content
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สำรวจสถานการณ์และการรับรู้คุณค่าความสำคัญของสิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรม 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรม 3) เสนอแนะแนวทางส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาชุมชน บ้านช่อนเหนือ เมืองช่อน แขวงหัวพัน สปป. ลาว เป็นการวิจัยแบบผสมผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ ผู้นำชุมชนหรือผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ของพื้นที่และประชาชน จำนวน 139 คน ที่เป็นตัวแทนครอบครัว เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม และการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ หาค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สำหรับงานวิจัยเชิงคุณภาพ เป็นการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้นำชุมชนและผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่น จำนวน 10 คน ข้อมูลที่ได้ถูกวิเคราะห์และสังเคราะห์ตามประเด็นการวิจัย และนำเสนอในรูปแบบเชิงพรรณนา
ผลการวิจัยพบว่า 1. บ้านช่อนเหนือเป็นชุมชนเก่าแก่ที่มีสิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรมหลากหลาย เช่น วัดเก่า โปดค่ายทหารฝรั่งเศส และพื้นที่ที่มีเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์และภูมิปัญญาท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ป่า พื้นที่เกษตรกรรม และแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่ชุมชนใช้ประโยชน์อย่างหลากหลาย ชาวบ้านมีการรับรู้คุณค่าความสำคัญของสิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรมในระดับมาก โดยเฉพาะบทบาทของพื้นที่ในฐานะแหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งน้ำจืด และแหล่งพลังงาน 2. ด้านปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรม พบว่ามี 7 ปัจจัยหลัก เช่น การเพิ่มขึ้นของประชากร การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ความนิยมในวัฒนธรรมสมัยใหม่ และความต้องการด้านเศรษฐกิจของชุมชน ซึ่งล้วนมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน และการพึ่งพาทรัพยากรทางวัฒนธรรมลดลง 3. แนวทางส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรมของชุมชนช่อนเหนือ จำนวน 8 แนวทางหลัก ได้แก่ 1) การจัดทำนโยบายที่สมดุลระหว่างการใช้ประโยชน์และการอนุรักษ์ 2) สร้างความตระหนักรู้ในคุณค่าของสิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรมแก่ทุกกลุ่มคน 3) ส่งเสริมการศึกษาเกี่ยวกับการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรวัฒนธรรมในชุมชน 4) ประชาสัมพันธ์ความสำคัญของพื้นที่ประวัติศาสตร์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ 5) พัฒนาแหล่งประวัติศาสตร์เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม 6) ส่งเสริมพื้นที่ธรรมชาติเป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ 7) สนับสนุนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในการปกป้องและคุ้มครองมรดกวัฒนธรรม และ 8) ส่งเสริมการปลูกต้นไม้ทดแทนเพื่อฟื้นฟูความสมดุลของระบบนิเวศในชุมชน แนวทางเหล่านี้จะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและสอดคล้องกับบริบททางวัฒนธรรมของท้องถิ่น
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เอกสารอ้างอิง
ไทยโรจน์ พวงมณี. (2567). พื้นที่ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมบ้านอาฮี ตำบลอาฮี อำเภอท่าลี่ จังหวัดเลย กับแนวทางการจัดการท่องเที่ยวชุมชนสู่ความยั่งยืน. วารสารวิชาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา, 12(1), 95–120.
บุญชม ศรีสะอาด. (2560). การวิจัยเบื้องต้น. (พิมพ์ครั้งที่ 10). กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น.
พระครูปลัดศิวภัช ภทฺรญาโณ (หน่อตุ้ย). (2563). การอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมล้านนาของเยาวชนในหมู่บ้านดงป่างิ้วตำบลมะขุนหวาน อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่. (วิทยานิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการพัฒนาสังคม). มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, พระนครศรีอยุธยา.
ไพจิด ฟองคำแดง และวาริชา วงศ์พยัต. (2564). การเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ “เซีย” ในเฮือนลาว: กรณีศึกษา บ้านหินสิ่ว เมืองโขง แขวงจำปาสัก สปป.ลาว. สาระศาสตร์.
อนันต์ คติยะจันทร์ และชนะพล ดุลยเกษม. (2563). การอนุรักษ์ชุมชนกับวิถีชีวิตชุมชนและสิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรมของชุมชนริมปากแม่น้ำห้วยหลวง จังหวัดหนองคาย. วารสารปัญญาภิวัฒน์, 12(1), 280-290.
Coccia, M. (2014). Driving forces of technological change: The relation between population growth and technological innovation: Analysis of the optimal interaction across countries. Technological Forecasting and Social Change, 82, 52-65.
Khouangvichit, D. (2010). Socio-economic transformation and gender relations in Lao PDR. (Doctoral dissertation, Kulturgeografiska institutionen). Umeå Universitet.
Lestrelin, G. (2010). Land degradation in the Lao PDR: Discourses and policy. Land use policy, 27(2), 424-439.
Ramcilovic-Suominen, S., & Kotilainen, J. (2020). Power relations in community resilience and politics of shifting cultivation in Laos. Forest Policy and Economics, 115, 102159.