การประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมความปรองดองสมานฉันท์ของประชาชนเทศบาลตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
Main Article Content
บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการส่งเสริมความปรองดองสมานฉันท์ของประชาชนเทศบาลตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา 2) เปรียบเทียบความคิดเห็นที่มีต่อการส่งเสริมความปรองดองสมานฉันท์ของประชาชนเทศบาลตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา และ 3) ประยุกต์หลักพุทธธรรมในการส่งเสริมความปรองดองสมานฉันท์ของประชาชน เทศบาลตำบลหมูสี วิธีดำเนินการวิจัยแบบผสานวิธี โดยการแจกแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่น 0.91 กับกลุ่มตัวอย่างที่ได้จากสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ จำนวน 380 คน สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์เชิงกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 9 รูป/คน วิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา ผลการวิจัย พบว่า 1) การส่งเสริมความปรองดองสมานฉันท์ของประชาชนเทศบาลตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา มีระดับความคิดเห็นโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 3.92) ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านหลักการเอาใจเขามาใส่ใจเรา (
= 3.99) รองลงมา ด้านการสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจ (
= 3.97) และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้านการการหยุดใช้ความรุนแรงเพื่อหยุดยั้งความหวาดกลัว (
= 3.80) 2) ประชาชนที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ต่อเดือน ต่างกัน มีความคิดเห็นที่มีต่อการส่งเสริมความปรองดองสมานฉันท์ของประชาชนเทศบาลตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 3) ประยุกต์หลักพุทธธรรมในการส่งเสริมความปรองดองสมานฉันท์ของประชาชน ปรารถนาดีต่อผู้อื่นทั้งต่อหน้าและลับหลัง ช่วยเหลือส่งเสริมกันด้านกำลังกาย มีความอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักสัมมาคารวะ ไม่เบียดเบียนรังแกกัน มีความเสียสละต่อผู้อื่นด้วยความเต็มอกเต็มใจ พร้อมกับประพฤติตนอย่างสุภาพ สม่ำเสมอ ให้ความเคารพ และจริงใจต่อผู้อื่นรู้จักให้โอกาสและให้อภัยต่อกันและกันอยู่เสมอ ความปรารถนาและความหวังดีต่อผู้อื่นเป็นพื้นฐานในการส่งเสริมความปรองดองสมานฉันท์
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
1. เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงพิมพ์กับวารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์ ถือเป็นข้อคิดเห็น และความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ
2. บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิจยวิชาการ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่ง ส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อการกระทำการใด ๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากวารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์ก่อนเท่านั้น
เอกสารอ้างอิง
จีรศักดิ์ โยมะบุตร. (2561). การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ หลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น. (วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการเมืองการปกครอง). บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
ฉัตรชัย เอี่ยมอ่อง. (2555). ทัศนคติของพนักงานสอบสวนประจำสถานีตำรวจสังกัดกองบังคับการตำรวจนครบาล 9 ในการนำกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์มาใช้ในชั้นพนักงานสอบสวน. (วิทยานิพนธ์ศิลปศาตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาอาชญาวิทยาและงานยุติธรรม). บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหิดล.
ชลัท ประเทืองรัตนา. (2560). 1 ทศวรรษการสร้างความปรองดองทางการเมืองไทย. กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า.
ลิขิต ธีรเวคิน. การป้องกันความขัดแย้งและการยุติความขัดแย้ง. วารสารสถาบันพระปกเกล้า, 8(1), 25-37.
ศิริพงษ์ อรุณเดชาชัย. (2559). สถานีสาราณียธรรม : พื้นที่บ่มเพระความรู้ชุมชนกรณีศึกษาชุมชนบ้านแฮด ตำบลบ้านแฮด อำเภอบ้านแฮด จังหวัดขอนแก่น. (วิทยานิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชานวัตกรรมเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น). บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม.
สถาบันพระปกเกล้า. (2555). การสร้างความปรองดองแห่งชาติ. กรุงเทพฯ : คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติสภาผู้แทนราษฎร.
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี. (2558). รายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ครบรอบ 1 ปี 12 กันยายน 2557-12 กันยายน 2558. กรุงเทพฯ : พิมพลักษณ์.
อัชฌา สุวรรณกาญจน์ และคณะ. (2558). ความสมานฉันท์อยู่เย็นเป็นสุขของชุมชนมุสลิมในเขตเทศบาลเมืองนราธิวาส. นราธิวาส : คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์.