วารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/rabij
<p><strong>วารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์ Journal of Interdisciplinary Buddhism</strong><strong> </strong> มีวัตถุประสงค์เพื่อตีพิมพ์และเผยแพร่บทความวิจัย บทความวิชาการและบทวิจารณ์หนังสือที่เป็นภาษาไทยและมีข้อค้นพบ ข้อเสนอแนะที่เป็นนวัตกรรม รวมถึงความคิดริเริ่มที่มีผลกระทบต่อชุมชน สังคม และประเทศชาติในวงกว้าง อีกทั้งยังมุ่งหมายที่จะเป็นเวทีในการนำเสนอผลงานทางวิชาการเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางสังคมศาสตร์ และสาขาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและสนับสนุนการศึกษา การสอน โดยเน้นสาขาวิชาพระพุทธศาสนา การบริหารการศึกษา รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ การจัดการชุมชน รวมถึงสหวิทยาการอื่น ๆ </p> <p>วารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์ ได้เริ่มจัดทำในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่ พ.ศ.2566 หมายเลข ISSN 2822-1222 <span style="font-size: 0.875rem;">(Online) </span></p>
th-TH
<p><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">1. <span lang="TH">เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงพิมพ์กับวารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์ ถือเป็นข้อคิดเห็น และความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ</span></span></p> <p><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">2. <span lang="TH">บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิจยวิชาการ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่ง ส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อการกระทำการใด ๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากวารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์ก่อนเท่านั้น</span></span></p>
journal.rabij@gmail.com (ผศ.ดร.อัครเดช พรหมกัลป์)
journal.rabij@gmail.com (ดร.รัตติยา เหนืออำนาจ)
Tue, 01 Jul 2025 11:45:37 +0700
OJS 3.3.0.8
http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss
60
-
แนวทางเสริมสร้างความสุขของครอบครัวตามหลักพระพุทธศาสนา
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/rabij/article/view/3288
<p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสุขของสถาบันครอบครัวเป็นสถาบันที่เล็กและเก่าแก่ที่สุด มีความสำคัญระดับต้น ๆ เป็นที่เรียนรู้ที่แรก ให้มีชีวิตอยู่รอด ครอบครัวจัดเป็นสถาบันหลักของสังคมมนุษย์ ลักษณะโดยร่วมสร้างสถาบันครอบครัวให้ทำหน้าที่สำคัญ ให้พื้นฐานความรัก ผูกพัน อบอุ่น ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน สมาชิกทำหน้าที่อบรมสั่งสอนหล่อหลอมคุณลักษณะเฉพาะโดยตรงครอบครัวเป็นสถาบันพื้นฐานในการกำหนดรูปแบบบุคลิกภาพ ความคิด ความเชื่อ ทัศนคติ และพฤติกรรมทั้งทางบวกและทางลบของมนุษย์ที่แสดงออกในการถ่ายทอดค่านิยมปลูกฝังความเชื่อ สร้างเสริมทัศนคติ กำหนดบุคลิกภาพ วิธีประพฤติปฏิบัติตน รวมทั้งการสร้างบรรทัดฐานทางสังคมให้แก่สมาชิกรุ่นใหม่ ซึ่งมีผลต่อการพัฒนาสังคมและประเทศโดยรวมครอบครัวจึงเปรียบเสมือนจักรกลชั้นแรกที่ทำหน้าที่หล่อหลอมบุคลิกภาพของบุคคลให้เป็นไปตามที่สังคมต้องการนำไปสู่การดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข ขณะเดียวกัน ยังเป็นแหล่งให้ความช่วยเหลือ ดูแล เยียวยา บำบัด ฟื้นฟู ในยามที่ต้องเผชิญกับปัญหาวิกฤตที่มากระทบต่อวิถีการดำเนินชีวิตของสมาชิกในครอบครัวอีกด้วย</p>
พระครูสมุห์สุขเกษม สุขเขโม
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/rabij/article/view/3288
Tue, 01 Jul 2025 00:00:00 +0700
-
บทวิจารณ์หนังสือ ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/rabij/article/view/3813
<p>บทวิจารณ์หนังสือ “ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี” มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการรักษาสุขภาพ นายแพทย์โยะชิโนะริ นะงุโมะ ได้กล่าวถึงทำไ มการไม่กินอาหารจึงดีต่อสุขภาพ ด้วยการลดปริมาณอาหารที่รับเข้าสู่ร่างกายอาจมีผลดีต่อการควบคุมน้ำหนัก ลดความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรง เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ การความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการดำเนินชีวิตที่เน้นการกินอาหารอย่างมีสติ และเลือกอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพในทางร่างกายและจิตใจ ผู้อ่านจะได้รับความรู้เกี่ยวกับผลกระทบทางสุขภาพที่ต่าง ๆ ของการกินอาหารวันละมื้อและความสำคัญของการรักษาสมดุลเพื่อสุขภาพที่ดี แนะนำประโยชน์ของการทำให้กิจกรรมการกินอาหารเป็นส่วนที่น่าสนุกและเป็นสิ่งที่น่าติดตามในประจำวัน การฟังเสียงภายในใจของตนเอง ผู้อ่านจะได้รับแรงบันดาลใจในการให้ความสำคัญกับการฟังเสียงภายในใจของตนเอง เพื่อสร้างชีวิตที่สอดคล้องกับความคิด ค่านิยม และความต้องการของตนเอง</p>
ณัฐริกานต์ อ่ำเจ๊ก, ศิริโรจน์ นามเสนา
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/rabij/article/view/3813
Tue, 01 Jul 2025 00:00:00 +0700
-
แนวทางพัฒนาการจัดการท่องเที่ยวยุค Next Normal ของเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ตามหลักภาวนา 4
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/rabij/article/view/5018
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวทางพัฒนาการจัดการท่องเที่ยว ยุค Next Normal ของเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรีตามหลักภาวนา 4 เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี โดยการศึกษาในเชิงเอกสาร การแจกแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่น 0.975 กับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นประชาชนอายุตั้งแต่ 18 ปี ขึ้นไปอาศัยอยู่ในเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี จำนวน 400 คน สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงตามเขตเลือกตั้งของเมืองพัทยา จำนวน 4 เขต ๆ ละ 100 คน สถิติที่ใช้ คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ เลือกแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 17 คน และการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม ใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา ผลการวิจัย พบว่า 1) ด้านการบริการที่พัก (ด้านกายภาพและสังคม: กายภาวนา ควรมีการเพิ่มเติมในเรื่องของความปลอดภัยของที่พักทั้งภายใน และภายนอกที่พักต้อง 2) ด้านกิจกรรมการท่องเที่ยว (ด้านระเบียบ ข้อบังคับ: ศีลภาวนา, ด้านการกำกับดูแลการจัดการท่องเที่ยว, จิตภาวนา และด้านนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว: ปัญญาภาวนา ควรมีการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม และต้องหนุนเสริมกันและกัน) 3) ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก (ด้านกายภาพและสังคม: กายภาวนา และด้านระเบียบ ข้อบังคับ: ศีลภาวนา) เป็นการดูแลพื้นที่ให้พร้อมรับนักท่องเที่ยว และมีกำกับในเชิงระเบียบ ข้อบังคับอย่างต่อเนื่อง และเป็นรูปธรรม) 4) ด้านสิ่งดึงดูดใจ (ด้านการกำกับดูแลการจัดการท่องเที่ยว: จิตภาวนา และด้านนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว: ปัญญาภาวนา) ควรมีการพัฒนาพื้นที่ควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ และ 5) ด้านการเดินทางมายังแหล่งท่องเที่ยว (ด้านกายภาพและสังคม: กายภาวนา) เป็นการอำนวยความสะดวก ควรมีการจัดโครงสร้างการจราจรที่เหมาะสมกับการจัดการท่องเที่ยว</p>
แอนนา รัตนะ, พระครูนิวิฐศีลขันธ์
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/rabij/article/view/5018
Tue, 01 Jul 2025 00:00:00 +0700
-
แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำตามสถานการณ์ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาในอำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เขต 1 ตามหลักสัปปุริสธรรม 7
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/rabij/article/view/4881
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพภาวะผู้นำ 2) เปรียบเทียบความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงาน และ 3) เสนอแนวทางการพัฒนาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำตามสถานการณ์ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาในอำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เขต 1 ตามหลักสัปปุริสธรรม 7 เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี โดยการแจกแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่น 0.95 กับกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 226 คน กำหนดขนาดตัวอย่างจากตารางเครซี่มอร์แกน และการจัดกลุ่มแบบสัดส่วน สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการทดสอบค่าเอฟ ด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 9 รูป/คน ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพภาวะผู้นำตามสถานการณ์ของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงานของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาในอำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />= 4.43, S.D.=0.48) 2) การเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูต่อภาวะผู้นำตามสถานการณ์ของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงาน จำแนกตามเพศ อายุ ประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน และขนาดของสถานศึกษาที่ต่างกัน โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน และ 3) แนวทางการพัฒนาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำตามสถานการณ์ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลตามหลักหลักสัปปุริสธรรม 7 พบว่า มีจำนวน 4 ด้าน ดังนี้ 1) ด้านการสั่งการ ผู้บริหารควรวางแผนและกำหนดกำหนดหน้าที่ครูตามความรู้ความสามารถและความถนัดของครูแต่ละคน 2) ด้านการขายความคิด ผู้บริหารควรมอบหมายงาน มีขอบข่ายที่ชัดเจนและเหมาะสม และควรมีพยายามทำงานให้สำเร็จ โดยท้อถอยแม้จะเจอปัญหาอุปสรรคในการทำงาน 3) ด้านการมีส่วนร่วม ผู้บริหารควรมีการวางแผนกำหนดนโยบายยุทธศาสตร์ สนับสนุนและช่วยเหลือครูอย่างเป็นระบบ และ 4) ด้านการมอบหมายงาน ผู้บริหารสถานควรกำหนดวัตถุประสงค์ของการมอบหมายงาน กำหนดมาตรฐานของงาน และกำหนดผลลัพธ์ที่ต้องการ ควรวิเคราะห์ปัญหาการทำงานกับครู</p>
ควีนณา ศรีสวัสดิ์, พระมหาอุดร อุตฺตโร, วินัย ทองมั่น
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/rabij/article/view/4881
Tue, 01 Jul 2025 00:00:00 +0700
-
การศึกษาสภาพ ปัญหาการบริหารงานบุคคลขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/rabij/article/view/819
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการบริหารงานบุคคลขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยทำการศึกษาการดำเนินงานในปัจจุบันปัญหาที่เกิดขึ้นของหน่วยงานกับกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นบุคลากรขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ รวมจำนวนทั้งสิ้น 147 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือการวิจัย ได้รับแบบสอบถามคืนมา 78 ชุด หรือร้อยละ 53.06 โดยผู้วิจัยนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ เชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวนร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคอมพิวเตอร์ ผลการวิจัย พบว่า สภาพปัญหาเกี่ยวกับการบริหารบุคคลขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ 1) ระดับผู้บริหารหน่วยงานด้านการได้มาซึ่งบุคลากรและระดับผู้รับผิดชอบงานบริหารบุคคลของหน่วยงาน ด้านการรักษาไว้ซึ่งบุคลากร ด้านการพัฒนาบุคลากรและด้านการพ้นออกจากงาน พบว่า 2) ระดับบุคลากรที่ปฏิบัติงานในหน่วยงาน พบว่า งบประมาณไม่เพียงพอในการจ้างบุคลากร ด้านการรักษาไว้ซึ่งบุคลากร พบว่า บุคลากรขาดขวัญ กำลังใจ และแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน ด้านการพัฒนาบุคลากร พบว่า บุคลากรไม่มีเวลาและไม่พร้อมเข้ารับการพัฒนาตนเอง ด้านการพ้นออกจากงาน พบว่า มีระบบอุปถัมภ์ช่วยบุคลากรที่ด้อยคุณภาพให้ยังคงปฏิบัติงานอยู่</p>
อ้อมทิพย์ เมืองจีน
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/rabij/article/view/819
Tue, 01 Jul 2025 00:00:00 +0700
-
การพัฒนาชุดการเรียนรู้ เรื่อง พัฒนาการทางภูมิภาคเอเชีย ของนักเรียนชั้นมัธยม ศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านวังชุมพร อำเภอแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/rabij/article/view/4127
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาและหาประสิทธิภาพของชุดการเรียนรู้ เรื่อง พัฒนาการทางภูมิภาคเอเชีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านวังชุมพรให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนของการใช้ชุดการเรียนรู้ เรื่อง พัฒนาการทางภูมิภาคเอเชีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านวังชุมพร และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านวังชุมพร ที่มีต่อการใช้ชุดการเรียนรู้ เรื่อง พัฒนาการทางภูมิภาคเอเชีย เป็นการวิจัยเชิงทดลอง ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านวังชุมพร ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 25 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบง่าย โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) ชุดการเรียนรู้ เรื่อง พัฒนาการทางภูมิภาคเอเชีย จำนวน 4 ชุด 2) แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง พัฒนาการทางภูมิภาคเอเชีย 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยชุดการเรียนรู้ เรื่อง พัฒนาการทางภูมิภาคเอเชีย และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ค่าเฉลี่ยร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสถิติทดสอบ ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการพัฒนาชุดการเรียนรู้ เรื่อง พัฒนาการทางภูมิภาคเอเชีย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านวังชุมพร พบว่า มีประสิทธิภาพโดยรวม (E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub>) เท่ากับ 86.28/84.13 2) ผลการทดสอบเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยชุดการเรียนรู้ เรื่อง พัฒนาการทางภูมิภาคเอเชีย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านวังชุมพร พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อ การจัดการเรียนรู้ด้วยชุดการเรียนรู้ เรื่อง พัฒนาการทางภูมิภาคเอเชีย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านวังชุมพร พบว่า ความพึงพอใจของนักเรียนโดยรวมอยู่ในระดับมาก</p>
น้ำผึ้ง แย้มศรี, พิสมัย รบชนะชัย พูลสุข, ธีรพันธ์ เชิญรัมย์
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/rabij/article/view/4127
Tue, 01 Jul 2025 00:00:00 +0700
-
การพัฒนาบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง พลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาลวัดจอมคีรีนาคพรต อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/rabij/article/view/4050
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและหาประสิทธิภาพบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง พลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วย บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง พลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตย และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง พลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตย เป็นการวิจัยเชิงทดลองแบบ One Group Pre-test Post-test Design กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาลวัดจอมคีรีนาคพรต ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่ายโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง พลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตย 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง พลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตย 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง พลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตย เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า จำนวน 10 ข้อ เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ การวิเคราะห์ข้อมูล โดยหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่า t-test ผลการวิจัย พบว่า 1) บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง พลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตย มีประสิทธิภาพเท่ากับ 90.13/87.08 สูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้คือ 80/80 2) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง พลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตย มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง พลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตย โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย 4.54)</p>
สิริกาญจน์ พรมประเสริฐ, พิสมัย รบชนะชัย พูลสุข, ทนง ทศไกร
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/rabij/article/view/4050
Tue, 01 Jul 2025 00:00:00 +0700
-
แนวทางการพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดนครสวรรค์ ตามหลักอริยสัจ 4
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/rabij/article/view/4028
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ และ 2) หาแนวทางการพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดนครสวรรค์ ตามหลักอริยสัจ 4 ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี โดยวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่น 0.98 เก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 140 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างเก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 9 รูป/คน ใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดนครสวรรค์ ตามความคิดของผู้บริหารสถานศึกษาและครู โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด และ 2) แนวทางการพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดนครสวรรค์ ตามหลักอริยสัจ 4 พบว่า ด้านการมีวิสัยทัศน์ร่วม ผู้บริหารสร้างการมีส่วนร่วมในการทำงาน การกำหนดเป้าหมายในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน และสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีในการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ ด้านทีมงานร่วมแรงร่วมใจ ผู้บริหารส่งเสริมการทำงานเป็นทีม การสอนงาน สนับสนุนการทำวิจัยในชั้นเรียน สร้างเวทีหรือพื้นที่ในการแบ่งปัน มีแผนกำกับติดตามและรายงานผล ด้านภาวะผู้นำร่วมและคิดอย่างเป็นระบบ ผู้บริหารส่งเสริมให้ครูพัฒนาความรู้และทักษะอย่างต่อเนื่อง สร้างขวัญกำลังใจ เปิดใจยอมรับการวิจารณ์ จัดทำแผนการดำเนินงานและสรุปผล ด้านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และพัฒนาวิชาชีพ ผู้บริหารสร้างการรับรู้ให้ครูเข้าใจถึงความจำเป็นของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สร้างความเข้มแข็งในการนิเทศ เสริมแรงครูและมุ่งเน้นสุนทรียสนทนา ด้านชุมชนกัลยาณมิตร ผู้บริหารเสริมสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นในกลุ่มงาน สร้างแรงจูงใจและการทำงานเป็นทีม แบ่งปันข้อมูล สนับสนุนการสื่อสารทางบวก และด้านโครงสร้างสนับสนุนชุมชน ผู้บริหารและครูมีการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ทั่วถึง โดยใช้วิธีการที่เหมาะสมและหลากหลาย</p>
วรมน วีตะเสวีระ, ธานี เกสทอง, วรกฤต เถื่อนช้าง
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/rabij/article/view/4028
Tue, 01 Jul 2025 00:00:00 +0700
-
กระบวนการเสริมสร้างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 1 ตามหลักปาปณิกธรรม 3
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/rabij/article/view/4343
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียน สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 1 และ 2) เสนอกระบวนการเสริมสร้างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียน สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 1 ตามหลักปาปณิกธรรม 3 ใช้ระเบียบวิจัยแบบผสานวิธี โดยวิธีวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน จำนวน 291 คน โดยใช้แบบสอบถามมาตราส่วนและประมาณค่า วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ยและค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสนทนากลุ่มของผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 7 รูป/คน ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 1 อยู่ในระดับมาก และ 2) กระบวนการเสริมสร้างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียน สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 1 ตามหลักปาปณิกธรรม 3 ทั้ง 4 ด้าน พบว่า 2.1) ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ ได้แก่ ผู้บริหารประพฤติตนอยู่ในจริยธรรมและศีลธรรมอันดีงาม ปฏิบัติงานด้วยความทุ่มเทเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ มีความสามารถในการแก้ปัญหาได้ดี แม้ปัญหาจะซับซ้อน 2.2) ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ ได้แก่ ผู้บริหารแสดงให้เห็นว่าสถานศึกษาเป็นของทุกคนควรให้ความรักและความผูกพัน ผู้บริหารชี้ให้เห็นว่าผู้ร่วมงานทุกคนมีคุณค่ามีความสำคัญ และผู้บริหารกล่าวถึงงานที่มอบหมายให้ผู้ร่วมงานทำว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายความสามารถของผู้ร่วมงาน 2.3) ด้านการกระตุ้นทางปัญญา ผู้บริหารให้ความมั่นใจว่าปัญหาทุกอย่างสามารถแก้ไขได้ถ้าทุกคนร่วมใจกัน ไม่ปิดกั้นแนวคิดหรือวิจารณ์การแสดงความคิดเห็นของผู้ร่วมงาน กระตุ้นให้ผู้ร่วมงานตระหนักถึงปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสถานศึกษา และ 2.4) ด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล ได้แก่ ผู้บริหารเห็นความสำคัญของผู้ร่วมงานโดยการให้โอกาสทุกคนเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ส่งเสริมผู้ร่วมงานให้มีการพัฒนาตนเอง ดูแลเอาใจใส่ต่อผู้ร่วมงานเป็นรายบุคคล</p>
อมิตา กันทะนิด, พระครูศรีสุธรรมนิวิฐ, อานนท์ เมธีวรฉัตร
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/rabij/article/view/4343
Tue, 01 Jul 2025 00:00:00 +0700
-
แนวทางในการกำกับดูแลความปลอดภัยในสถานบันเทิงของหน่วยงานภาครัฐ อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ตามหลักสัมมัปธาน 4
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/rabij/article/view/5021
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับของแนวทางในการกำกับดูแลความปลอดภัยในสถานบันเทิงของหน่วยงานภาครัฐ อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ตามหลักสัมมัปธาน 4 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหลักสัมมัปธาน 4 กับแนวทางในการกำกับดูแลความปลอดภัยในสถานบันเทิงของหน่วยงานภาครัฐ อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ และ 3) นำเสนอแนวทางในการกำกับดูแลความปลอดภัยในสถานบันเทิงของหน่วยงานภาครัฐ อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ โดยการวิจัยนี้เป็นแบบผสานวิธี ประกอบด้วยการวิจัยเชิงปริมาณจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 388 คน โดยใช้แบบสอบถามสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน Pearson Correlation การวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 18 คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์และวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับการกำกับดูแลความปลอดภัยในสถานบันเทิงของหน่วยงานภาครัฐ อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ตามหลักสัมมัปธาน 4 โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก และการกำกับดูแลความปลอดภัยในสถานบันเทิงของหน่วยงานภาครัฐ อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ทั้ง 4 ด้าน ตามทฤษฎี 2P2R โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก 2) ความสัมพันธ์ระหว่างหลักสัมมัปธาน 4 กับการกำกับดูแลความปลอดภัยในสถานบันเทิงของหน่วยงานภาครัฐ อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ตามทฤษฎี 2P2R โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์ในทางบวกหรือความสัมพันธ์กันในลักษณะที่คล้อยตามกันเป็นคู่ โดยภาพรวมอยู่ในระดับสูงมาก มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ Pearson Correlation (R = 0.846**) และ 3) แนวทางในการกำกับดูแลความปลอดภัยในสถานบันเทิงของหน่วยงานภาครัฐ อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ตามหลักสัมมัปปธาน 4 มีการตรวจสอบอุปกรณ์ทุกอย่างที่เกี่ยวกับความปลอดภัยในสถานบันเทิงให้อยู่ในสถานะพร้อมใช้ 100% และจะต้องมีการตรวจเซ็นรับทราบจากผู้ดูแลในร้านและเจ้าหน้าที่ของภาครัฐ ควรจัดให้มีการซักซ้อมถ้าหากเกิดสถานการณ์จริงพนักงานแต่ละตำแหน่งแต่ละหน้าที่ควรทำยังไง และมีการซักซ้อมร่วมกับเจ้าหน้าที่ภาครัฐ</p>
อนุวัฒน์ โพธิ์เงิน, สุกัญญาณัฐ อบสิณ, สมคิด พุ่มทุเรียน
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/rabij/article/view/5021
Tue, 01 Jul 2025 00:00:00 +0700