https://so09.tci-thaijo.org/index.php/rabij/issue/feed
วารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์
2025-10-01T09:15:33+07:00
ผศ.ดร.อัครเดช พรหมกัลป์
journal.rabij@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์ Journal of Interdisciplinary Buddhism</strong><strong> </strong> มีวัตถุประสงค์เพื่อตีพิมพ์และเผยแพร่บทความวิจัย บทความวิชาการและบทวิจารณ์หนังสือที่เป็นภาษาไทยและมีข้อค้นพบ ข้อเสนอแนะที่เป็นนวัตกรรม รวมถึงความคิดริเริ่มที่มีผลกระทบต่อชุมชน สังคม และประเทศชาติในวงกว้าง อีกทั้งยังมุ่งหมายที่จะเป็นเวทีในการนำเสนอผลงานทางวิชาการเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางสังคมศาสตร์ และสาขาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและสนับสนุนการศึกษา การสอน โดยเน้นสาขาวิชาพระพุทธศาสนา การบริหารการศึกษา รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ การจัดการชุมชน รวมถึงสหวิทยาการอื่น ๆ </p> <p>วารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์ ได้เริ่มจัดทำในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่ พ.ศ.2566 หมายเลข ISSN 2822-1222 <span style="font-size: 0.875rem;">(Online) </span></p>
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/rabij/article/view/3812
บทวิจารณ์หนังสือ (Book Review) สิ่งเกื้อกูลชีวิต
2024-03-14T13:49:09+07:00
พระเทพ ปิยสีโล (พึ่งทองคำ)
nattha915628@gmail.com
ศิริโรจน์ นามเสนา
namsena@hotmail.com
<p>บทวิจารณ์หนังสือ “สิ่งเกื้อกูลชีวิต” มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสิ่งเกื้อกูลชีวิต อาจารย์วศิน อิทสระได้พูดถึงสิ่งเกื้อกูลชีวิต 4 ประการ คือ ทรัพย์ ความไม่มีโรค ไมตรีและการงาน ทรัพย์ นั้นเป็นสิ่งจําเป็นเพราะชีวิตต้องอาศัยปัจจัย 4 มี อาหารเป็นต้น สิ่งเหล่านี้ต้องได้มาด้วยทรัพย์ ผู้มีทรัพย์สมบูรณ์ การดำเนินชีวิตก็สะดวกสบายกว่าผู้ขาดแคลน ความไม่มีโรค นั้น เป็นที่ปรารถนาอย่างยิ่งของทุกคน เพราะโรคเป็นสิ่งบั่นทอนทั้งร่างกายและจิตใจ ความไม่มีโรคจึงเป็นลาภอย่างยิ่ง ไมตรี นั้นเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตคนเพราะทำให้อบอุ่นใจและ มีความสุขสดชื่น การรู้จักเป็นผู้ให้ เป็นทางหนึ่งที่จะผูกมิตรไมตรี การงาน นั้นเป็นสิ่งจําเป็นในการดำรงชีวิต ทุกคนต้องทำงานเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต และเกื้อกูลสังคม</p>
2025-10-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/rabij/article/view/5022
แนวทางในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการอนุรักษ์ป่าชุมชน บ้านคลองสัก ตำบลน้ำรึม อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก ตามหลักสังคหวัตถุธรรม
2024-12-16T22:06:08+07:00
พระมนตรี รตนรํสี (พึ่งทองคำ)
x13montree@gmail.com
พระราชรัตนเวที
p.siththixinth@gmail.com
พระครูนิวิฐศีลขันธ์
phrakhruniwit2500@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการอนุรักษ์ป่าชุมชนบ้านคลองสัก 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหลักสังคหวัตถุธรรมกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการอนุรักษ์ป่าชุมชนบ้านคลองสัก 3) เสนอแนวทางในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการอนุรักษ์ป่าชุมชนบ้านคลองสัก ตามหลักสังคหวัตถุธรรม โดยการวิจัยนี้เป็นแบบผสานวิธี โดยการวิจัยเชิงปริมาณจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 358 คน โดยใช้แบบสอบถามสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ Pearson Correlation และวิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่าง ใช้หลักการสุ่มแบบเจาะจง โดยพิจารณาจากจำนวนประชานชนในแต่ละหมู่บ้านตอบแบบสอบถาม การกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง เพื่อให้ได้ข้อมูลมีลักษณะกระจาย ให้สัมพันธ์กับสัดส่วนของประชากร โดยทำแบบสุ่มแบบแบ่งชั้น การวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 21 รูป/คน ผลการวิจัย พบว่า 1) การมีส่วนร่วมของประชาชนในการอนุรักษ์ป่าชุมชนบ้านคลองสัก ตามหลักสังคหวัตถุธรรม อยู่ในระดับมาก และการมีส่วนร่วมของประชาชนในการอนุรักษ์ป่าชุมชนบ้านคลองสัก ตามทฤษฎีการมีส่วนร่วม อยู่ในระดับมาก 2) ความสัมพันธ์ระหว่างหลักสังคหวัตถุธรรม กับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการอนุรักษ์ป่าชุมชนบ้านคลองสัก โดยรวมมีความสัมพันธ์ในทางบวก มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (r) เท่ากับ (0.889**) 3) แนวทางในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการอนุรักษ์ป่าชุมชนบ้านคลองสัก ตามหลักสังคหวัตถุธรรม ดังนี้ ประชาชน ผู้นำชุมชน ผู้นำท้องถิ่น ควรเข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมให้ประชาชนในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการลงประชามติออกกฎระเบียบ เกี่ยวกับการใช้ป่าชุมชน เพื่อสงวนไว้เฉพาะคนในชุมชน การสนับสนุนเงินจัดซื้ออุปกรณ์ที่จำเป็น การเข้ามามีส่วนร่วมในการรักษาป่าชุมชนเพราะจะทำให้เกิดความสามัคคีในชุมชน และการเข้าร่วมประชุมติดตาม ประเมินผลการดำเนินการรักษาป่าชุมชนอย่างสม่ำเสมอ</p>
2025-10-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/rabij/article/view/5023
การป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลสมอโคน อำเภอบ้านตาก จังหวัดตาก ตามหลักอิทธิบาทธรรม
2025-09-12T10:07:39+07:00
พระทิวา ฐิตวายาโม (หนูมั่น)
thiwahnuman@gmail.com
พระมหานคร วชิรเมธี (แก้วบุตรดี)
nakhorn.kae@mcu.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า 2. ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหลักอิทธิบาทธรรม กับการป้องกันและแก้ไขไฟป่า 3. เสนอแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า ตามหลักอิทธิบาทธรรม ซึ่งเป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ประกอบด้วยการวิจัยเชิงปริมาณจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 360 คน โดยใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลจำนวน 25 รูป/คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์และวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า1)ระดับการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า ภาพรวมอยู่ในระดับมาก และระดับการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า ตามหลักอิทธิบาทธรรม ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหลักอิทธิบาทธรรม กับการป้องกันและแก้ไขไฟป่า มีความสัมพันธ์ในทางบวกหรือความสัมพันธ์กันในลักษณะที่คล้อยตามกันเป็นคู่ โดยภาพรวมอยู่ในระดับสูงมาก Pearson Correlation (r) (0.934) 3) แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลสมอโคน อำเภอบ้านตาก จังหวัดตาก ตามหลักอิทธิบาทธรรม (1) ปลูกจิตสำนึกให้ประชาชนรักษ์ ห่วงแหนป่าไม้ และให้รู้ถึงความสำคัญของป่าไม้ (2) อบรมให้ความรู้กับเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขไฟป่า และผลกระทบของการเกิดไฟป่า (3) ผู้นำหมู่บ้านและผู้นำท้องถิ่นจัดให้ชาวบ้านเข้าไปมีส่วนร่วมในการดูแลพื้นป่าเพื่อป้องกันการบุกรุกเผาทำลายป่า (4) ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้และบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังต่อผู้กระทำผิด ทำลายป่าและเผาป่า มีมาตรการเด็ดขาดในการลงโทษผู้ที่บุกรุกทำลายป่า (5) ส่งเสริมอาชีพในด้านต่าง ๆ ให้หลากหลายเพื่อให้ประชาชนอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างยั่งยืน โดยไม่ส่งผลกระทบกับป่าไม้และสัตว์ป่า (6) จัดงบประมาณสนับสนุนในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า</p>
2025-10-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/rabij/article/view/5028
การสร้างรายได้เสริมตามแนวทางปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้กับกลุ่มเกษตรกรขององค์การบริหารส่วนตำบลวังหิน อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก ตามหลักอิทธิบาทธรรม
2024-12-17T17:31:17+07:00
พระสมชาย คุณากโร (แสนฟ้างำ)
smchaysaenfanga214@gmail.com
สุกัญญาณัฐ อบสิณ
Namtan.ka081@gmail.com
สมคิด พุ่มทุเรียน
somkidpumturian@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการสร้างรายได้เสริมตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้กับกลุ่มเกษตรกรขององค์การบริหารส่วนตำบลวังหิน อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก ตามหลักอิทธิบาทธรรม เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Method Research) ประชากร คือ ประชาชนในเขตพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลวังหิน จำนวน 382 คน โดยใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน Pearson Correlation การวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 15 รูปหรือคน วิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา พบว่า หลักอิทธิบาทธรรมสนับสนุนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในแง่ที่ว่า ฉันทะ สนับสนุนการพอใจในสิ่งที่มีอยู่ ไม่ดิ้นรนไปตามความโลภ หรือการแสวงหาความสุขจากสิ่งที่เกินความจำเป็น สอดคล้องกับเศรษฐกิจพอเพียงที่เน้นความพอเพียงในระดับที่เหมาะสมกับทรัพยากรและความสามารถของแต่ละบุคคล วิริยะ สะท้อนถึงการพัฒนาและการทำงานหนักเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต สอดคล้องกับแนวคิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและไม่สิ้นเปลือง จิตตะ มีความมุ่งมั่นในการทำตามเป้าหมายและสร้างเสถียรภาพในชีวิต ซึ่งเป็นหลักสำคัญของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่เน้นการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและยั่งยืน วิมังสา ช่วยให้เราพิจารณาและวิเคราะห์การทำงานและการตัดสินใจต่างๆ ที่ไม่เกินกำลัง เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม เพื่อให้ชีวิตมีความมั่นคงและยั่งยืน การประยุกต์ใช้หลักอิทธิบาทธรรมในชีวิตประจำวันทำให้สามารถดำเนินชีวิตอย่างมีสติ และปรับตัวตามสถานการณ์ได้อย่างยั่งยืน สอดคล้องกับหลักเศรษฐกิจพอเพียงที่เน้นความสมดุลและการพึ่งพาตนเองในทุกด้าน แนวทางการสร้างรายได้เสริมตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจ ควรกระตุ้นให้ประชาชนได้มีความรู้ ความเข้าใจในปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงอย่างถ่องแท้ นำไปประยุกต์ใช้กับการสร้างรายได้เสริมได้อย่างเหมาะสม การให้ความรู้เรื่องการขายสินค้าออนไลน์ มีแผนส่งเสริมพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงในชุมชน</p>
2025-10-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/rabij/article/view/6216
การบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมคุณลักษณะผู้นำของนักการเมืองท้องถิ่นตำบลท่าขุนราม อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร
2025-09-10T11:24:58+07:00
พระมีชัย ชยสีโล (ศรีกลชาญ)
meechai772530m@gmail.com
สุกัญญาณัฐ อบสิณ
namtan.ka081@gmail.com
สยาม ดำปรีดา
Sayam.dd@gmil.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อศึกษาระดับการบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมคุณลักษณะผู้นำของนักการเมืองท้องถิ่น 2.ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างของหลักปาปณิกธรรมกับการบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมคุณลักษณะผู้นำ 3. เพื่อเสนอแนวทางการบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมคุณลักษณะผู้นำของนักการเมืองท้องถิ่นตำบลท่าขุนราม อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร ตามหลักปาปณิกธรรมเป็นการวิจัยวิธีแบบผสานวิธี โดยการวิจัยเชิงปริมาณ แจกแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.954 กับกลุ่มตัวอย่างได้จากการสุ่ม ตัวอย่างจากสูตรของ Taro Yamane จำนวน 384 คน สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 17 รูป/คน เครื่องมือในการรวบรวมข้อมูล แบบสัมภาษณ์ ใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหา ประกอบบริบท ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับการบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมคุณลักษณะผู้นำของนักการเมืองท้องถิ่น ตามหลักปาปณิกธรรม อยู่ในระดับสูงมาก ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation" />= 4.71, S.D. = 0.34) และระดับการบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมคุณลักษณะผู้นำของนักการเมืองท้องถิ่น อยู่ในระดับสูงมาก ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation" />= 4.65, S.D. = 0.34) 2) ความสัมพันธ์ระหว่างของหลักปาปณิกธรรมกับการบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมคุณลักษณะผู้นำของนักการเมืองท้องถิ่นตำบลท่าขุนราม อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์เชิงบวกอยู่ในระดับค่อนข้างสูง (r= 0.691**) และ 3) เสนอแนวทางการบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมคุณลักษณะผู้นำของนักการเมืองท้องถิ่นตำบลท่าขุนราม อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร พบว่า (1) การมีวิสัยทัศน์ด้านการพัฒนาชุมชน (2) ความสามารถในการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ (3) การมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีเข้าถึงประชาชน (4) บุคลิกภาพที่น่าเชื่อถือ (5) ความสามารถในการกำหนดนโยบาย (6) คุณธรรมและจริยธรรมในการบริหาร และ (7) การยึดหลักธรรมาภิบาลเพื่อสร้างความโปร่งใสการบริหารงานที่ดี</p>
2025-10-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/rabij/article/view/4735
แนวทางการพัฒนาครูของผู้บริหารสถานศึกษาในอำเภอศรีเทพ เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 3 ตามหลักธรรมบุพนิมิตแห่งมรรค 7
2025-09-01T10:37:13+07:00
สุนทรี สอนสวรรค์
suntari797@gmail.com
อานนท์ เมธีวรฉัตร
anond7949@gmail.com
วินัย ทองมั่น
wtongmun@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการพัฒนาครูของผู้บริหารสถานศึกษาในอำเภอศรีเทพ เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 3 และ 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาครูของผู้บริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมบุพนิมิตแห่งมรรค 7 โดยใช้การวิจัยแบบผสานวิธี ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถาม จากกลุ่มตัวอย่าง 209 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสนทนากลุ่มเพื่อร่างแนวทางการพัฒนาครู และเก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 7 คน โดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหาผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการพัฒนาครูของผู้บริหารสถานศึกษาในอำเภอศรีเทพอยู่ในระดับมาก (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation" />= 4.27, SD = 0.71) 2) แนวทางการพัฒนาครูตามหลักธรรมบุพนิมิตแห่งมรรค 7 มุ่งเน้นการหาความต้องการ การวางแผน การดำเนินการ และการติดตามและประเมินผล โดยผู้บริหารควรสร้างบรรยากาศที่น่าเชื่อถือ สื่อสารอย่างเปิดเผย จัดทำแบบสำรวจ วิเคราะห์ผลลัพธ์และสรุปข้อมูล กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน รวมทั้งส่งเสริมแรงจูงใจและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง</p>
2025-10-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/rabij/article/view/5892
ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของบุคลากร องค์การบริหารส่วนตำบลในอำเภอแม่จริม จังหวัดน่าน
2025-09-13T13:01:32+07:00
ประติภา จันต๊ะสอน
pratipa.j@gmail.com
พระครูสุตนันทบัณฑิต
Watcharapong-2006@hotmail.com
วรปรัชญ์ คำพงษ์
tkhompong@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของบุคลากรองค์การบริหารส่วนตำบลในอำเภอแม่จริม จังหวัดน่าน 2) เปรียบเทียบประสิทธิภาพการปฏิบัติงานโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของบุคลากรองค์การบริหารส่วนตำบล ในอำเภอแม่จริม โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3. เพื่อนำเสนอการพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของบุคลากรองค์การบริหารส่วนตำบลในอำเภอแม่จริม ดำเนินการวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ กรอบแนวคิดการวิจัย ใช้แนวคิดทฤษฎีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของ Peterson and Plowman 4 ด้าน ประกอบด้วย 1) ด้านปริมาณงาน 2) ด้านคุณภาพของงาน 3) ด้านความประหยัดคุ้มค่า 4 ) ด้านความรวดเร็ว ประชากรที่ศึกษาได้แก่บุคลากรในองค์การบริหารส่วนตำบล ในอำเภอแม่จริม จำนวน 165 คน นำมาคำนวณกลุ่มตัวอย่างด้วยสูตรของ Taro Yamane ได้จำนวน 117 คน มีค่าความเชื่อมั่นที่ 0.962 ในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าร้อยละ การแจกแจงความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 10 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้และการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา ผลการวิจัย พบว่า 1) ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศโดยรวมอยู่ในระดับมาก (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation" />= 4.42) ทุกด้าน ได้แก่ ปริมาณงาน คุณภาพ ความประหยัดคุ้มค่า และความรวดเร็ว 2) การเปรียบเทียบความคิดเห็นของบุคลากรตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า เพศ อายุ การศึกษา และตำแหน่งต่างกันไม่มีผลต่อความคิดเห็นเกี่ยวกับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานแตกต่างกัน ขณะที่รายได้และระยะเวลาการทำงานมีผลให้ความคิดเห็นแตกต่างกันมีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานแตกต่างกัน 3) แนวทางพัฒนาประสิทธิภาพโดยใช้หลักอิทธิบาทธรรม ควรใช้เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยเพิ่มความเร็ว ความถูกต้อง และลดข้อผิดพลาดในการทำงาน ควรเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับงาน การเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับงาน จะทำให้เกิดความพึงพอใจในการทำงานและมีแรงจูงใจในการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ ฝึกฝน มีความเพียรพยายามและพัฒนาตนเองให้มีความเชี่ยวชาญพัฒนาความรู้และทักษะการใช้งานอย่างต่อเนื่อง ติดตามผลการดำเนินงาน และคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูลเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการขององค์กรและนำไปสู่ความสำเร็จได้</p>
2025-10-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/rabij/article/view/5900
ประสิทธิผลการบริหารจัดการน้ำชลประทานของโครงการศูนย์ภูฟ้าพัฒนา อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดน่าน
2025-09-13T10:21:01+07:00
วรชัย ธนกันต์ธัช
Worachaiirrinew@gmail.com
วรปรัชญ์ คำพงษ์
tkhompong@gmail.com
พระครูสุตนันทบัณฑิต
Watcharapong-2006@hotmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับประสิทธิผลการบริหารจัดการน้ำชลประทานของโครงการศูนย์ภูฟ้าพัฒนาฯ 2) เปรียบเทียบประสิทธิผลการบริหารจัดการน้ำชลประทานแบบมีส่วนร่วมของกลุ่มผู้ใช้น้ำในเขตโครงการศูนย์ภูฟ้าพัฒนาฯ จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3) นำเสนอการประยุกต์หลักอิทธิบาท 4 ส่งเสริมประสิทธิผลการบริหารจัดการน้ำชลประทานของโครงการศูนย์ภูฟ้าพัฒนาฯ ดำเนินการวิธีวิจัยแบบผสานวิธีใช้กรอบแนวคิดการวิจัยตามพันธกิจของกรมชลประทาน ประชากรที่ศึกษาได้แก่ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการทำการเกษตรในพื้นที่โครงการศูนย์ภูฟ้าพัฒนาฯ อ.บ่อเกลือ และพื้นที่ขยายผล อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.น่าน จำนวน 149 ราย คำนวณด้วยสูตรของทาโร ยามาเน ได้กลุ่มตัวอย่าง 110 คน มีค่าความเชื่อมั่น 0.931 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน และสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 10 คน ใช้การวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับประสิทธิผลการบริหารจัดการน้ำชลประทานของโครงการศูนย์ภูฟ้าพัฒนาฯ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation" />= 4.02) 2) ผลการเปรียบเทียบประสิทธิผลการบริหารจัดการน้ำชลประทานของโครงการศูนย์ภูฟ้าพัฒนาฯ โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า เพศ ต่างกัน มีความคิดเห็นต่อประสิทธิผลการบริหารจัดการน้ำชลประทานของโครงการศูนย์ภูฟ้าพัฒนาฯ ไม่แตกต่างกัน จึงปฏิเสธสมมติฐานที่ตั้งไว้ ส่วนอายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ต่างกัน มีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 ดังนั้น จึงยอมรับสมมติฐานที่ตั้งไว้ 3) การประยุกต์หลักอิทธิบาท 4 เพื่อส่งเสริมการพัฒนาประสิทธิผลการบริหารจัดการน้ำชลประทานของโครงการศูนย์ภูฟ้าพัฒนาฯ พบว่า ผู้ปฏิบัติงานมีความเต็มใจที่จะช่วยเหลือราษฎรด้วยความใจจริง ภูมิใจในงานที่รับผิดชอบอยู่ และยอมรับกฎระเบียบ ทำให้สมาชิกกลุ่มผู้ใช้น้ำมีระเบียบวินัย <br />มีความรับผิดชอบร่วมกัน ตรงเวลา มีความสามัคคี ช่วยเหลือเกื้อกูล รู้จักการวางแผนการใช้น้ำ พัฒนารูปแบบการบริหารจัดการน้ำ มีความเพียรพยายาม อดทนอดกลั้น มีความรับผิดชอบ รอบคอบในการปฏิบัติงาน ท่ามกลางสังคมที่แข่งขันสูง มีเป้าหมายชัดเจน แก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน ใช้ปัญญาในการวิเคราะห์ไตร่ตรอง เพื่อรับมือกับปัญหา เข้าใจในเหตุปัจจัย เพื่อดำเนินการเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้</p>
2025-10-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/rabij/article/view/6219
การถอดบทเรียนความสำเร็จการบริหารจัดการวัดพัฒนาตัวอย่างที่มีผลงาน ดีเด่นต้นแบบของคณะสงฆ์ในจังหวัดนครสวรรค์
2025-08-06T10:04:54+07:00
วิภารัตน์ ทองเที่ยง
tt84.2303@gmail.com
พระครูนิวิฐศีลขันธ์
phrakhruniwit2500@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ถอดบทเรียนความสำเร็จการบริหารจัดการวัดพัฒนาตัวอย่างที่มีผลงานดีเด่นต้นแบบของคณะสงฆ์ในจังหวัดนครสวรรค์ และ 2) พัฒนาข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการบริหารจัดการวัดพัฒนาตัวอย่างที่มีผลงานดีเด่นต้นแบบของ<br />คณะสงฆ์ในจังหวัดนครสวรรค์ โดยระเบียบวิธีวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 17 รูป/คน และการสนทนากลุ่มเฉพาะ จำนวน 9 รูป/คน กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ เจ้าอาวาสหรือผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดที่ได้รับคัดเลือกเป็นวัดพัฒนาตัวอย่างที่มีผลงานดีเด่น กรรมการพิจารณาคัดเลือกวัดพัฒนาตัวอย่างระดับจังหวัดนักวิชาการ และผู้นำชุมชนในพื้นที่ โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา ผลการวิจัย พบว่า 1) บทเรียนความสำเร็จการบริหารจัดการวัดพัฒนาตัวอย่างที่มีผลงานดีเด่นต้นแบบของคณะสงฆ์ในจังหวัดนครสวรรค์ ประกอบด้วย 1.1) การเตรียมความพร้อม คือ การเตรียมความพร้อมด้านเจ้าอาวาส ด้านการสร้างภาคีเครือข่ายความร่วมมือระหว่างวัด ประชาชน ส่วนราชการในพื้นที่ และด้านการศึกษาหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกวัดและการปฏิบัติตามภารกิจ 6 ด้านของคณะสงฆ์ 1.2) ทรัพยากร คือ การมีทรัพยากรบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ การมีทรัพยากรสิ่งแวดล้อมที่สะอาด ร่มรื่น มีการกำหนดพื้นที่ใช้ประโยชน์เป็นสัดส่วน ประชาชนและส่วนราชการในพื้นที่มีความสามัคคี มีการทำงานแบบมีส่วนร่วม ทำให้การพัฒนาวัดเกิดความยั่งยืน 1.3) การบริหารจัดการ คือ การนำหลักการบริหารงานมาใช้ในการบริหารจัดการวัด และการนำหลักอริยสัจ 4 มาใช้ในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เพื่อพัฒนาวัดให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ และมีการดำเนินงานร่วมกับชุมชน โดยการร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ และร่วมปฏิบัติ 2) ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการบริหารจัดการวัดพัฒนาตัวอย่างที่มีผลงานดีเด่นต้นแบบของคณะสงฆ์ในจังหวัดนครสวรรค์ ประกอบด้วย 2.1) ข้อเสนอแนะเชิงรุก 9 ข้อที่ควรทำ 2.2) ข้อเสนอแนะเชิงรับ 5 ข้อที่ควรเตรียมความพร้อม 2.3) ข้อเสนอแนะเชิงป้องกัน 6 ข้อที่ควรระวัง และ 2.4) ข้อเสนอแนะเชิงแก้ไข 5 ข้อที่ควรปรับให้ดียิ่งขึ้น</p>
2025-10-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/rabij/article/view/6357
การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในการเลือกตั้งทั่วไป เขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดพิจิตร
2025-09-10T11:00:06+07:00
จตุรงค์ ขุนชัย
sadsadee360@gmail.com
สยาม ดำปรีดา
sayam.dd@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในการเลือกตั้งทั่วไปเขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดพิจิตร 2) วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของหลักสาราณียธรรมกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในการเลือกตั้งทั่วไปเขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดพิจิตร 3) เสนอแนวทางการพัฒนาการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในการเลือกตั้งทั่วไปเขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดพิจิตร ตามหลักสาราณียธรรม ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธีการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้วิธีวิจัยเชิงสำรวจกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดพิจิตร จำนวน 399 คน สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 17 รูป/คน และใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนาประกอบบริบท ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมือง โดยภาพรวมอยู่ในระดับ ปานกลาง มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation" />= 2.29, S.D. = 0.70) ในขณะที่การมีส่วนร่วมตามหลักสาราณียธรรม อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation" />= 3.64, S.D. = 0.76) 2) ความสัมพันธ์ระหว่างหลักสาราณีธรรมกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองในการเลือกตั้ง ทั้ง 4 ด้าน มีความสัมพันธ์ในทางบวก โดยภาพรวม มีความสัมพันธ์เชิงบวก อยู่ในระดับสูง (0.607<sup>**</sup>) 3) แนวทางการพัฒนา พบว่าการรณรงค์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการเลือกตั้งเป็นสิ่งจำเป็น ควรใช้กิจกรรมที่หลากหลายและสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนตื่นตัว รวมถึงให้ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการ กฎหมาย และข้อมูลของผู้สมัครรับเลือกตั้ง นอกจากนี้ควรปรับปรุงกระบวนการลงทะเบียนและจัดเตรียมสถานที่เลือกตั้งให้สะดวกเข้าถึงง่าย ส่งเสริมบรรยากาศเชิงบวกและความโปร่งใส สนับสนุนการมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการเลือกตั้ง และรณรงค์ให้เห็นความสำคัญของการเลือกตั้งในทุกระดับ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิอย่างมีคุณภาพและตระหนักถึงความรับผิดชอบในฐานะพลเมือง</p>
2025-10-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์