การประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยของเทศบาลเมืองสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา
Main Article Content
บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพทั่วไปที่มีต่อวัฒนธรรมการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยของเทศบาลเมืองสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา 2) เปรียบเทียบระดับความคิดเห็นที่มีต่อวัฒนธรรมการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย ของเทศบาลเมืองสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3) ประยุกต์หลักพุทธธรรมส่งเสริมวัฒนธรรมการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย ของเทศบาลเมืองสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา วิธีดำเนินการวิจัยแบบผสานวิธีทั้งการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 385 คน ผู้ให้ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ จำนวน 9 รูป/คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพทั่วไปที่มีต่อวัฒนธรรมการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยของเทศบาลเมืองสีคิ้ว ประชาชนร่วมมือกันสอดส่องดูแลตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ เพื่อไม่ให้ใช้อำนาจไปในทางที่ไม่ถูกต้อง เป็นแกนนำปลุกจิตสำนึกให้แก่ผู้อื่นในการร่วมกิจกรรมทางการเมืองการปกครอง การใช้สิทธิเลือกตั้งและการมีส่วนร่วมในการตรวจสอบอำนาจของรัฐ ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองภายใต้กรอบกฎหมายกำหนด 2) เปรียบเทียบระดับความคิดเห็นที่มีต่อวัฒนธรรมการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล ประชาชนที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ต่อเดือน ต่างกัน มีระดับความคิดเห็นที่มีต่อการส่งเสริมวัฒนธรรมการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยของเทศบาลเมืองสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 3) ประยุกต์หลักพุทธธรรมส่งเสริมวัฒนธรรมการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย เจ้าหน้าที่จะต้องมีการแสดงกิริยาอาการสุภาพในการปฏิบัติงานต่อประชาชน มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แสดงไมตรีต่อผู้เข้ามาขอรับบริการ มีความเสียสละ เมื่อเข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้นำแล้วก็ต้องมีการแสดงออกต่อผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยเมตตา พูดด้วยความอ่อนโยนชี้แจงให้ผู้อื่นได้เข้าใจจะทำให้เกิดความสามัคคีในชุมชน บริหารงานด้วยความเสียสละ
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
1. เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงพิมพ์กับวารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์ ถือเป็นข้อคิดเห็น และความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ
2. บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิจยวิชาการ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่ง ส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อการกระทำการใด ๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากวารสารวิจัยและวิชาการบวรพัฒน์ก่อนเท่านั้น
เอกสารอ้างอิง
ณัฐกฤตา ชัยชิตาทร. (2557). วัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยในวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลทับน้ำ อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา. (วิทยานิพนธ์รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์). บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา.
นิติธร กล่าคุ้ม และเชี่ยวชาญ อาศุวัฒนกูล. (2561). วัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตศาลายา. วารสารเทคโนโลยีภาคใต้, 11(1), 125-130.
พระครูวินัยธรสุดใจ ชิตมโน (ฆารประเดิม). (2560). การใช้หลักสาราณีียธรรมในการบริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์. วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม, 4(1), 189-200.
พระปิยวัฒน์ ปิยสีโส. (2554). การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาล ของเทศบาลเมืองแพร่ จังหวัดแพร่. (วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์). บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
สมปอง รักษาธรรม. (2552). ความตื่นตัวทางการเมืองของเยาวชนในพื้นที่กับการพัฒนาวัฒนธรรมการเมืองแบบประชาธิปไตยในประเทศไทยช่วงปี พ.ศ. 2549-2552 : ศึกษากรณีเปรียบเทียบนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา. กรุงเทพฯ : วิทยาลัยสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก.
อมร พิกุลงามโชติ และณฐมน หมวกฉิม. (2564). การศึกษาวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยของประชาชน ในกรุงเทพมหานคร กรณีศึกษาประชาชนในเขตบางกะปิ. วารสารรัชต์ภาคย์, 15(39), 124-136.
อมร รักษาสัตย์ และคณะ. (2543). ประชาธิปไตย อุดมการณ์ หลักการและแบบอย่างการปกครองหลายประเทศ. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.