https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/issue/feed พัฒนาเทคนิคศึกษา 2025-02-14T13:51:53+07:00 ดร.จินตนา ถ้ำแก้ว jintana.t@ited.kmutnb.ac.th Open Journal Systems <p><strong>About the Journal</strong><br /><strong>วารสารพัฒนาเทคนิคศึกษา (Journal of Technical Education Development)</strong><br /><strong>ISSN 0857-5452 ฉบับตีพิมพ์</strong><br /><strong>ISSN 2651-2238 ฉบับออนไลน์</strong><br /> วารสารพัฒนาเทคนิคศึกษา เป็นวารสารเพื่อเผยแพร่ บทความวิชาการ บทความวิจัยที่เกี่ยวกับสหวิทยาการด้านมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ สหวิทยาการด้านการศึกษา การพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรม การจัดการทรัพยากรมนุษย์ การจัดการอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ และเทคโนโลยีการศึกษา</p> <p> วารสารพัฒนาเทคนิคศึกษา ตีพิมพ์ทั้งรูปเล่มและออนไลน์ โดยกำหนดจัดทำปีละ 4 ฉบับ คือ<br /> • ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม–มีนาคม<br /> • ฉบับที่ 2 เดือนเมษายน–มิถุนายน<br /> • ฉบับที่ 3 เดือนกรกฎาคม–กันยายน<br /> • ฉบับที่ 4 เดือนตุลาคม–ธันวาคม</p> <p> <strong>เกณฑ์การพิจารณาบทความเพื่อตีพิมพ์ในวารสารพัฒนาเทคนิคศึกษา</strong> <br /> วารสารพัฒนาเทคนิคศึกษา มีการประเมินบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชานั้นหรือสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 3 คน ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจากหลากหลายสาขาอาชีพ โดยผู้ประเมิน (Reviewer) ทราบชื่อผู้นิพนธ์(Author แต่ผู้นิพนธ์ (Author) จะไม่ทราบข้อมูลรายชื่อผู้ประเมิน(Reviewer) เป็นการประเมินแบบ Single blind review โดยที่ผู้ประเมินจะพิจารณาประเด็นที่สำคัญของแต่ละบทความดังต่อไปนี้<br /> 1. ผลการวิจัยที่แสดงในบทความจะต้องเป็นผลงานที่แท้จริงของผู้นิพนธ์เอง และต้องหลีกเลี่ยงการคัดลอกผลงาน (Plagiarism)<br /> 2. บทความต้นฉบับมีความยาวไม่เกิน 10 หน้ากระดาษ ต้องเขียนด้วยภาษาไทยและมีการแปลคำศัพท์เทคนิคเป็นภาษาไทยอย่างเหมาะสม และถูกต้องตามหลักไวยากรณ์<br /> 3. บทความวิจัยต้องดำเนินการตามได้มาตรฐานโดยทั่วไปของหลักจริยธรรมการวิจัยที่เกี่ยวข้อง หากมีการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ ผู้นิพนธ์ควรบ่งชี้ว่า ได้ดำเนินการวิจัยตามกระบวนการที่เป็นไปตามมาตรฐานคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์<br /> 4. บรรณาธิการสามารถยุติการประเมินบทความของผู้ประเมิน หากพบว่าไม่สามารถปฏิบัติตามวัตถุประสงค์หรือเงื่อนไข หรือเมื่อผู้ประเมินได้ตกลงที่จะประเมินบทความแล้ว ต่อมาพบว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน สามารถแจ้งบรรณาธิการโดยทันที เพื่อที่จะปฏิเสธการประเมินบทความนั้นต่อไป</p> https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/5783 การเรียนรู้รูปแบบใหม่ที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคต 2025-02-10T15:03:28+07:00 บุญญลักษม์ ตำนานจิตร boonyalaks@gmail.com จิรัฐ ชวนชม jchuanchom01@gmail.com ตระกูล รัมมะฉัตร trakool_r@hotmail.com <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การเรียนรู้รูปแบบใหม่ในโลกอนาคตช่วงเวลาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 ถึง ค.ศ. 2100 (พ.ศ. 2544 ถึง พ.ศ. 2643) เป็นช่วงที่โลกแห่งการศึกษามุ่งเน้นการสร้างความรู้ ความสามารถ และพัฒนาศักยภาพของคนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยปราศจากข้อจำกัด สร้างโอกาสที่จะประยุกต์ทักษะเชิงบูรณาการข้ามสาระเนื้อหา และสร้างระบบการเรียนรู้ที่เน้นสมรรถนะเป็นฐาน ความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นในโลกแห่งการศึกษายุค 2030 คือ สถาบันการศึกษาจะยังคงเป็นแหล่งหลัก ในการเรียนรู้เหมือนดังเช่นทุกวันนี้ แต่ก็ต้องเผชิญความท้าทายเรื่องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรเข้าสู่สังคมสูงวัย ในการศึกษา AI จะเข้ามามีบทบาทอย่างมากเช่นกัน แต่แบบที่ได้ผลดีที่สุดยังคงต้องเป็นการผสมผสานระหว่างระบบอัตโนมัติกับความใส่ใจของผู้สอน เพราะการเรียนรู้ของคน ไม่ใช่การเขียนโค้ดระบบสั่งการเหมือนหุ่นยนต์ คาดการณ์ว่าการเรียนรู้จะเป็นแบบส่วนบุคคล (personalized) ปรับให้เหมาะกับผู้เรียนแต่ละคนมากที่สุดโดยเรียนผ่านระบบ ทุกคนสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ที่มีคุณภาพเท่าเทียมกัน ผู้เรียนแต่ละคนจะได้เรียนบทเรียนที่ต่างกันตามระดับความรู้ความเข้าใจแต่ละคน ผู้สอนอาจต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้สอนมาเป็นผู้ดูแลให้คำแนะนำ สอดคล้องกับที่สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาร่วมกับคณะครุศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยดำเนินงานโครงการศึกษาการออกแบบนโยบายการพลิกโฉมระบบการเรียนรู้ที่ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและออกแบบวิสัยทัศน์การศึกษาไทยในปี 2040 ซึ่งก็คือ ระบบการศึกษาไทย เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้เรียนให้มีความสุขอย่างมีคุณค่า สามารถสร้างสรรค์สังคมและเศรษฐกิจใหม่ที่พึงประสงค์ได้</p> 2025-02-10T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/5784 ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารอาชีวศึกษา ตามแนวคิดเสาหลัก 7 ประการของเอริค เชนนิเกอร์ 2025-02-10T15:29:27+07:00 ปานรดา บุษรารัตน์ prbkk@up.ac.th ศักดิ์ชัย นิรัญทวี prbkk@up.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้บริหารอาชีวศึกษาได้เห็นความสำคัญของภาวะผู้นำดิจิทัล ในบริบทของการบริหารสถานศึกษา ตามแนวคิดเสาหลัก 7 ประการของเอริค เชนนิเกอร์ ซึ่งองค์ประกอบที่สำคัญของภาวะผู้นำดิจิทัล คือ การสื่อสาร การประชาสัมพันธ์ การสร้างภาพลักษณ์ การมีส่วนร่วมของนักเรียน/การเรียนรู้ การเติบโตอย่างมืออาชีพและการพัฒนา การมีพื้นที่การเรียนรู้และการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ การสร้างโอกาส โดยผู้บริหารอาชีวศึกษาจำเป็นต้องใช้เครื่องมือดิจิทัลที่หลากหลาย แพลตฟอร์มดิจิทัลในรูปแบบต่างๆ และการใช้โซเชียลมีเดียในหลายๆช่องทาง เพื่อการบริหารอาชีวศึกษาในยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2025-02-10T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/5785 ความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะของผู้สอนออนไลน์กับความพึงพอใจของผู้เรียนในหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณทิต มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 2025-02-10T15:57:30+07:00 กัญญ์ปภัส ว่องเจริญโชควรการ Supassara_dear@hotmail.co.th เชฐธิดา กุศลาไสยานนท์ chedthida.k@bid.kmutnb.ac.th จุฑารัตน์ ปิณฑะแพทย์ jSupassara_dear@hotmail.co.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณลักษณะของผู้สอนออนไลน์และระดับความพึงพอใจของผู้เรียน 2) เปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลจำแนกตามเพศ และชั้นปีที่แตกต่างกันกับความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณลักษณะของผู้สอนออนไลน์และความพึงพอใจของผู้เรียน และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะของผู้สอนออนไลน์กับความพึงพอใจของผู้เรียนในหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณทิต มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักศึกษาระดับปริญญาตรีหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ที่กำลังศึกษาอยู่ในคณะพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรม วิทยาเขตกรุงเทพ คณะบริหารธุรกิจ วิทยาเขตระยอง และคณะบริหารธุรกิจและอุตสาหกรรมบริการ วิทยาเขตปราจีนบุรี จำนวน 334 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม และใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแตกต่างด้วยสถิติ t-test วิเคราะห์ความแปรปรวนด้วย F-test และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน <br>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณลักษณะของผู้สอนออนไลน์ และระดับความพึงพอใจของผู้เรียนในระดับอุดมศึกษาของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) ผลการเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกันกับความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณลักษณะของผู้สอนออนไลน์ พบว่าผู้เรียนกำลังศึกษาอยู่ในชั้นปีที่ 2 มีระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณลักษณะของผู้สอนออนไลน์ โดยรวม และด้านการสอน สูงกว่าผู้เรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นปีที่ 3 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะของผู้สอนออนไลน์กับความพึงพอใจของผู้เรียนในระดับอุดมศึกษาของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ มีความสัมพันธ์ทางบวกอยู่ในระดับสูงมาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> 2025-02-10T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/5791 การพัฒนาหลักสูตรแบบออนไลน์และระบบให้คำปรึกษาด้านการสร้างเสริมสมรรถนะการวิจัยในชั้นเรียนสำหรับครูใหม่สู่การเป็นนักวิจัยมืออาชีพในยุคดิจิทัล 2025-02-11T14:46:46+07:00 บุษราคัม ทองเพชร Bussarakam.t@rmutsv.ac.th ไชยยะ ธนพัฒน์ศิริ Bussarakam.t@rmutsv.ac.th ปิยะ ประสงค์จันทร์ Bussarakam.t@rmutsv.ac.th วาสณา บุญส่ง Bussarakam.t@rmutsv.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและหาคุณภาพของหลักสูตรแบบออนไลน์และระบบให้คำปรึกษาด้านการสร้างเสริมสมรรถนะการวิจัยในชั้นเรียนสำหรับครูใหม่สู่การเป็นนักวิจัยมืออาชีพในยุคดิจิทัล กลุ่มตัวอย่างสำหรับงานวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด 5 คน ซึ่งคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงเพื่อประเมินคุณภาพของหลักสูตรแบบออนไลน์และระบบให้คำปรึกษาด้านการสร้างเสริมสมรรถนะการวิจัยในชั้นเรียนสำหรับครูใหม่ เครื่องมือที่ใช้สำหรับการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ แบบประเมินคุณภาพด้านเนื้อหาและด้านเทคนิคของหลักสูตรแบบออนไลน์และระบบให้คำปรึกษาด้านการสร้างเสริมสมรรถนะการวิจัยในชั้นเรียนสำหรับผู้เชี่ยวชาญ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผลการวิจัยสรุปได้ว่าหลักสูตรแบบออนไลน์และระบบให้คำปรึกษาด้านการสร้างเสริมสมรรถนะการวิจัยในชั้นเรียนสำหรับครูใหม่สู่การเป็นนักวิจัยมืออาชีพในยุคดิจิทัล โดยภาพรวมมีคุณภาพด้านเนื้อหาอยู่ในระดับมากที่สุด และมีคุณภาพด้านเทคนิคอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-02-11T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/5793 การพัฒนาสื่อเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2025-02-11T15:06:29+07:00 ปิติสัณห์ อินทพิชัย pitisan.i@archd.kmutnb.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาสื่อเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยรวมหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยสื่อเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน 3) ศึกษาความพึงพอใจของครูและนักเรียนที่มีต่อสื่อเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา 2567 คือ โรงเรียนขนาดใหญ่ โรงเรียนขนาดกลาง และโรงเรียนขนาดเล็ก ขนาดละ 6 แห่ง รวมทั้งหมด 18 แห่ง ซึ่งได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ สื่อเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่องพืชและประเภทของพืช เนื้อหาย่อย ประกอบด้วย 1) โครงสร้างภายนอกของพืช 2) การดูดน้ำของรากและการลำเลียงน้ำของลำต้น และ 3) การสร้างอาหารของพืช ประกอบด้วย เนื้อหา แบบฝึกหัด แบบทดสอบ และสื่อเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบสอบถามความพึงพอใจของครูผู้สอนและนักเรียนที่มีต่อสื่อเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติ t- test (Dependent variable) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว F - test (One Way ANOVA)<br>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผลการวิจัยพบว่า สื่อเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือนที่พัฒนามีประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ 86.67/81.33 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 75/75 ที่กำหนดไว้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือนของนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และโรงเรียนที่มีขนาดต่างกันมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยนักเรียนที่เรียนในโรงเรียนขนาดใหญ่ และโรงเรียนขนาดเล็ก มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่านักเรียนที่เรียนในโรงเรียนขนาดกลาง ความพึงพอใจของครูผู้สอนต่อสื่อเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน โดยรวมอยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อสื่อเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือนคิดเป็นร้อยละ 95.63</p> 2025-02-11T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/5820 การพัฒนาสื่อการสอนออนไลน์ เรื่อง รายการอาหารแลกเปลี่ยนของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา 2025-02-13T15:21:17+07:00 วรวลัญช์ วงค์ชมภู worawaran30@gmail.com ชญาภัทร์ กี่อาริโย chayapat.s@rmutp.ac.th <div>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การศึกษาวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิภาพของสื่อการสอนออนไลน์ เรื่อง รายการอาหารแลกเปลี่ยนของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา 2) ประเมินความเหมาะสม และความเป็นประโยชน์ของสื่อการสอนออนไลน์ และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อสื่อการสอนออนไลน์ โดยมีประชากรเป็นนักเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 แผนกอาหารและโภชนาการ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา จำนวน 30 คน และดำเนินการสุ่มแบบเจาะจง ซึ่งเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ สื่อการสอนออนไลน์ แบบประเมินความเหมาะสม และความเป็นประโยชน์ของสื่อการสอนออนไลน์ และแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อสื่อการสอนออนไลน์ และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าE1/E2 ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน&nbsp;</div> <div>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผลการวิจัย พบว่า 1) สื่อการสอนออนไลน์ เรื่อง รายการอาหารแลกเปลี่ยนของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา มีประสิทธิภาพเท่ากับ 80.11/ 89.78 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 2) ผู้เชี่ยวชาญมีความคิดเห็นว่าสื่อการสอนออนไลน์มีความเหมาะสมโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และมีประโยชน์โดยรวมอยู่ในระดับมาก และ&nbsp; 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อสื่อการสอนออนไลน์อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านเรียงจากมากไปหาน้อย พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านประโยชน์ต่อผู้ใช้สื่อออนไลน์ รองลงมาคือ ด้านการออกแบบสื่อออนไลน์ และน้อยที่สุดคือด้านเนื้อหาของบทเรียน สรุปได้ว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อสื่อการสอนออนไลน์โดยรวมอยู่ในระดับมาก ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ฐานตั้งไว้&nbsp;</div> 2025-02-13T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/5830 การตัดสินใจเลือกเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงประเภทวิชาคหกรรม ของนักเรียนวิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา 2025-02-14T09:48:16+07:00 อดิศักดิ์ อะมุตะคุ adisak-a@rmutp.ac.th ชญาภัทร์ กี่อาริโย chayapat.s@rmutp.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การศึกษาวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยส่วนบุคลลของนักเรียนวิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา 2) ศึกษาปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมของนักเรียนวิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา 3) ศึกษาการตัดสินใจเลือกเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ประเภทวิชา คหกรรมของนักเรียนวิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา 4) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลของนักเรียนกับการตัดสินใจเลือกเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ประเภทวิชาคหกรรม วิทยาลัยอาชีวศึกษา เสาวภา และ 5) เปรียบเทียบระดับความสำคัญต่อการตัดสินใจเลือกเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ประเภทวิชาคหกรรมของนักเรียนวิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา จำแนกตามปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคม ประชากรที่ใช้ในการวิจัยคือ นักเรียนที่กำลังศึกษาในหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ประเภทวิชาคหกรรมของวิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา จำนวน 107 คน โดยใช้แบบสอบถามเป๋ยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์การทดสอบค่าไคสแควร์ และวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว<br>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผลการวิจัย พบว่า 1) นักเรียนส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง โดยมีเกรดเฉลี่ยสะสมในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) หรือระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายประมาณ 3.01 - 3.50 ทั้งนี้นักเรียนมีวุฒิศึกษาเดิมเป็นระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ และกำลังศึกษาอยู่ในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส. 2) สาขาวิชาอาหารและโภชนาการ 2) ผู้ปกครองของนักเรียนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพรับจ้าง โดยมีการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือเทียบเท่า ซึ่งมีรายได้ประมาณ 10,001 - 15,000 บาท ทั้งนี้นักเรียนตัดสินใจเรียนด้วยตนเอง 3) นักเรียนให้ความสำคัญต่อการตัดสินใจเลือกเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ประเภทวิชาคหกรรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภาโดยรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านเรียงจากมากไปหาน้อย พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านผู้สอน รองลงมา คือ ด้านสื่อการเรียนการสอน และด้านกิจกรรมการพัฒนานักเรียน และน้อยที่สุดคือ ด้านสภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวก 4) ปัจจัยส่วนบุคคลของนักเรียน มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจเลือกเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ประเภทวิชาคหกรรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 5) อาชีพของผู้ปกครองที่ต่างกัน ให้ความสำคัญต่อการตัดสินใจเลือกเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ประเภทวิชาคหกรรม วิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภาแตกต่างกัน นอกนั้นไม่มีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2025-02-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/5832 การพัฒนาระบบสารสนเทศสำหรับจัดการต้นทุนโครงการก่อสร้าง: กรณีศึกษา บริษัท ดี อี เอส จำกัด 2025-02-14T10:01:35+07:00 ชัยพิพัฒน์ ศรีมณีชัย chaipiput@ited.kmutnb.ac.th ฐิติมา ช่วงชัย chaipiput@ited.kmutnb.ac.th <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการวิเคราะห์ปัญหาและประเมินแนวทางการจัดการต้นทุนโครงการก่อสร้างและพัฒนาระบบสารสนเทศสำหรับจัดการต้นทุนโครงการก่อสร้าง โดยดำเนินการศึกษาใน บริษัท ดี อี เอส จำกัด ที่พบปัญหาในการประเมินและสรุปต้นทุนโครงการก่อสร้างจากโครงสร้างข้อมูลที่ซับซ้อน มีขั้นตอนการวิจัยคือ 1) การสัมภาษณ์และวินิจฉัย 2) การศึกษาข้อมูลและวิเคราะห์ระบบงานเดิม การวางระบบงานใหม่ 3) การออกแบบระบบจัดการฐานข้อมูล 4) การออกแบบการทำงานของระบบ 5) การพัฒนาระบบฯ และ 6) การประเมินความพึงพอใจ โดยกลุ่มผู้ใช้งานจำนวน 7 ราย รายงานเป็นค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br /> ผลการพัฒนาระบบสารสนเทศสำหรับจัดการต้นทุนโครงการก่อสร้าง เว็บแอปพลิเคชันสร้างจากโปรแกรม Visual Studio Code ร่วมกับภาษา PHP มีจัดการฐานข้อมูลด้วย MySQL โดยแบ่งการทำงานของระบบเป็น 12 ส่วนย่อย คือ 1) จัดการข้อมูลผู้ใช้งาน 2) จัดการข้อมูลโครงการ 3) จัดการข้อมูลคนงาน 4) จัดการข้อมูลวัสดุอุปกรณ์ 5) จัดการข้อมูลผู้จัดจำหน่าย 6) สั่งซื้อวัสดุอุปกรณ์ 7) ตรวจรับการสั่งซื้อ 8) เบิกจ่ายวัสดุอุปกรณ์ 9) บันทึกเวลาเข้า-ออกคนงาน 10) คำนวณเงินเดือน 11) คำนวณต้นทุนโครงการ 12) การออกรายงาน ผลการใช้งานระบบฯ จากการประเมินความพึงพอใจการใช้งานระบบฯ พบว่า 1) ด้านรูปลักษณ์และความง่ายต่อการใช้งาน 2) ด้านความสามารถของเว็บแอปพลิเคชันอยู่ และ 3) ด้านความตรงความต้องการของผู้ใช้งาน ทั้ง 3 ด้านมีพึงพอใจในระดับมากที่สุด อีกทั้งระบบฯ มีการจัดการข้อมูลที่รวดเร็ว ถูกต้อง และสรุปผลต้นทุนได้ชัดเจน</p> 2025-02-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/5833 การสร้างโปรแกรมคำนวณปริมาณสารทำความเย็นติดไฟที่ใช้ภายในห้องสำหรับสภาวะสบายและความปลอดภัยของมนุษย์ 2025-02-14T10:19:40+07:00 กรวิก บัวคำ koravik.b@cit.kmutnb.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;สารทำความเย็นธรรมชาติที่มีคุณสมบัติติดไฟได้ เป็นสารทำความเย็นทางเลือกที่กำลังเข้ามาแทนที่สารทำความเย็นโดยทั่วไป เนื่องจากเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่มีค่าศักยภาพการทำให้เกิดสภาวะโลกร้อน (GWP) ไม่มีค่าศักยภาพการทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน (ODP) และมีประสิทธิภาพการทำความเย็นสูง ในสภาวะการเติมที่ลดลง แต่ด้วยความปลอดภัยของมนุษย์ในการใช้สารทำความเย็นนี้ ต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย ผู้วิจัยได้รวบรวมปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง มาสร้างเป็นโปรแกรมการคำนวณปริมาณสารทำความเย็นที่ติดไฟ สำหรับสภาวะสบายและความปลอดภัยของมนุษย์ โดยโปรแกรมครอบคลุม ค่าจำกัดการลุกไหม้ด้านล่าง (LFL)ของสารทำความเย็นติดไฟแต่ละชนิด ประเภทที่อยู่อาศัย ประเภทเครื่องปรับอากาศ เมื่อมีข้อมูลของผู้ใช้งานครบถ้วนแล้ว ระบบจะทำการคำนวณอัตโนมัติ และแสดงผลลัพธ์ทันที เมื่อสร้างโปรแกรมนี้ขึ้นมาแล้วผู้ใช้งานสามารถใช้งานด้านการออกแบบปริมาณการเติมสารทำความเย็นติดไฟได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ โดยอ้างอิงจาก Institute of Refrigeration Safety Code of Practice for A2 and A3[1]</p> 2025-02-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/5835 ประโยชน์ทางเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและการมีส่วนร่วมของนักศึกษาในการจัดการแข่งขันกีฬารักบี้ฟุตบอลนานาชาติเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวสงขลา 2025-02-14T10:51:05+07:00 สุฐิพัศ แก้วมณี sunsanee.won@sru.ac.th ปิโยรส ปุยชุมพล sunsanee.won@sru.ac.th คัชชา ศิริรัตนพันธ์ sunsanee.won@sru.ac.th ชนินันท์ แย้มขวัญยืน sunsanee.won@sru.ac.th ศันสนีย์ วงศ์สวัสดิ์ sunsanee.won@sru.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;งานวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ(1)ศึกษาความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมงานการแข่งขันกีฬารักบี้ (2)วิเคราะห์ความต้องการด้านการท่องเที่ยวและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจการท่องเที่ยว และ(3)ศึกษา ความคิดเห็นและระดับการมีส่วนร่วมของนักศึกษาในการจัดการแข่งขันกีฬารักบี้ จากกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม คือ ผู้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬารักบี้ฟุตบอลในระหว่างวันที่ 19-21 สิงหาคม 2565 จำนวน 225 คนและนักศึกษาจำนวน 68 คน ใช้แบบสอบถามสำหรับผู้เข้าร่วมงาน และนักศึกษาที่มีส่วนร่วมในการจัดงานในการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการทดสอบ t - test <br>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผลการศึกษาพบว่าผู้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬารักบี้ฟุตบอล พึงพอใจต่อการจัดงานในภาพรวมในระดับมากที่สุด ในด้านความต้องการด้านการท่องเที่ยวและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจการท่องเที่ยว พบว่าระดับความต้องการส่วนใหญ่ของผู้ตอบแบบสอบถามเป็นประเภทชายหาด ชายทะเลมากที่สุด รองลงไปคือย่านเมืองเก่า และถนนคนเดินตามลำดับ ด้านประโยชน์ทางเศรษฐกิจพบว่ามีค่าใช้จ่ายต่อคนเฉลี่ยเท่ากับ 5,366 บาท ส่วนด้านความคิดเห็นและระดับการมีส่วนร่วมของนักศึกษาในการจัดการแข่งขันกีฬารักบี้ นักศึกษามี ความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการแข่งขันกีฬารักบี้ฟุตบอลในภาพรวมในระดับมากที่สุด โดยเฉพาะเกี่ยวกับการบูรณาการการทำงานร่วมกันของนักศึกษาระหว่างสาขา และมีความคิดเห็นเกี่ยวกับระดับการมีส่วนร่วมในการจัดการแข่งขันกีฬารักบี้ฟุตบอลในภาพรวมในระดับมาก โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมในด้านการดำเนินงานการจัดการแข่งขัน เปรียบเทียบพฤติกรรมความต้องการการท่องเที่ยวสงขลาของนักท่องเที่ยว จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า เพศแตกต่างกัน มีความต้องการการท่องเที่ยวสงขลาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> 2025-02-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/5836 ผลกระทบของข้อมูลทางบัญชีที่แสดงบนงบการเงินต่อมูลค่าตลาดของธุรกิจหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 2025-02-14T11:09:55+07:00 นันทพร ธานีกุล 65109660001@pru.ac.th พรรณเพ็ญ สิทธิพัฒนา panpen1@hotmail.com <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาผลกระทบของข้อมูลทางบัญชีที่แสดงบนงบการเงินต่อมูลค่าตลาดของธุรกิจหมวดพลังงานและสาธารณูปโภคในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่าส่งผลกระทบต่อกันหรือไม่ อย่างไร โดยข้อมูลทางบัญชีที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ โครงสร้างเงินทุน ขนาดของบริษัท อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน และอัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้ ซึ่งทำการรวบรวมข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เฉพาะบริษัทที่มีข้อมูลครบถ้วน ในปี 2561-2565 จำนวน 47 บริษัท โดยนำไปวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณ ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% <br>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผลการศึกษาพบว่า ข้อมูลทางบัญชีที่มีความสัมพันธ์ทางบวกที่ส่งผลกระทบต่อมูลค่าตลาดของธุรกิจหมวดพลักงานและสาธารณูปโภค ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามตัวแบบ ค่า Sig. เท่ากับ 0.000 แสดงว่ามีตัวแปรอิสระอย่างน้อย 1 ตัว คือ อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ โครงสร้างเงินทุน ขนาดของบริษัท อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน และอัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้ ที่สามารถอธิบายการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าตลาด ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 มีค่าสัมประสิทธิ์ในการตัดสินใจ (Adjusted R2) เท่ากับ 0.043 แสดงให้เห็นว่าโครงสร้างเงินทุน ขนาดของบริษัท อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน และอัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้ สามารถอธิบายการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าตลาดได้ร้อยละ 4.30 เมื่อพิจารณาจากตัวแบบ แสดงว่า อัตราผลตอลแทนจากสินทรัพย์ โครงสร้างเงินทุน ขนาดของบริษัท และอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน ส่งผลต่อมูลค่าตลาดทิศทางเดียวกันในเชิงบวก ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 กล่าวคือ โครงสร้างเงินทุน ขนาดของบริษัท และอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้มูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นเช่นกัน ส่วนอัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้ ส่งผลต่อมูลค่าตลาดทิศทางตรงกันข้ามในเชิงบวก ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 กล่าวคือ อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้ เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้มูลค่าตลาดลดลง</p> 2025-02-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/5837 แนวทางการปรับตัวในวิถีถัดไปของผู้ประกอบการธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแห้ง จังหวัดสมุทรสาคร 2025-02-14T11:27:48+07:00 อดิศร ศรีงามผ่อง adisorn-sr@rmutp.ac.th ชญาภัทร์ กี่อาริโย chayapat.s@rmutp.ac.th อมรรัตน์ เจริญชัย amorn125@yahoo.com <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การศึกษาวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการดำเนินงานของผู้ประกอบการธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแห้ง จังหวัดสมุทรสาคร 2) ศึกษาแนวทางการปรับตัวในวิถีถัดไปของผู้ประกอบการธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแห้ง จังหวัดสมุทรสาคร และ 3) เปรียบเทียบแนวทางการปรับตัวในวิถีถัดไปของผู้ประกอบการธุรกิจอาหารทะเลแห้ง จังหวัดสมุทรสาคร จำแนกตามสภาพการดำเนินงานของผู้ประกอบการธุรกิจ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ประกอบการของร้านขายผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแห้งในจังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 184 ราย โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือวิจัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว <br>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพการดำเนินงานของผู้ประกอบการธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแห้ง จังหวัดสมุทรสาคร พบว่า ธุรกิจส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในตลาดประจำอำเภอและจังหวัด โดยดำเนินธุรกิจมาแล้วเป็นระยะเวลาไม่เกิน 10 ปี มีรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแห้งต่อเดือนต่ำกว่า 100,000 บาท โดยมีลูกค้าเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยว ซึ่งธุรกิจได้รับการสนับสนุนทางนโยบายการส่งเสริมการขายและกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการ คนล่ะครึ่ง โครงการเราเที่ยวด้วยกัน โครงการทัวร์ทั่วไทย ที่จำหน่ายหรือขายปลาหมึก เช่น ปลาหมึกแห้ง/ปลาหมึกฉีก/หมึกหยอง/หมึกยืด/หมึกเต่าทอง/หมึกแพไข่/หมึกอ้วนกลม/หนวดหมึก/หมึกแกะตา/หมึกฉาบ มากที่สุด 2) แนวทางการปรับตัวในวิถีใหม่ของผู้ประกอบการธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแห้ง จังหวัดสมุทรสาครโดยรวม พบว่า ผู้ประกอบการให้ความสำคัญอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านเรียงจากมากไปหาน้อย พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแห้ง รองลงมาคือ ด้านการขายและช่องทางการจัดจำหน่าย และน้อยที่สุดคือ ด้านเทคโนโลยี และ 3) เปรียบเทียบแนวทางการปรับตัวในวิถีถัดไปของผู้ประกอบการธุรกิจอาหารทะเลแห้ง จังหวัดสมุทรสาคร จำแนกตามสภาพการดำเนินงานของผู้ประกอบการธุรกิจ พบว่า ผู้ประกอบการที่มีทำเลที่ตั้งของธุรกิจ ระยะเวลาในการดำเนินธุรกิจ รายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแห้งต่อเดือน การสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐ และประเภทผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแห้งที่จำหน่ายและขายดีมากที่สุดแตกต่างกัน ให้ความสำคัญต่อแนวทางการปรับตัววิถีใหม่ในการประกอบธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแห้ง จังหวัดสมุทรสาครแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2025-02-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/5839 การตัดสินใจซื้ออาหารฮาลาลแปรรูปของผู้บริโภคชาวไทยมุสลิมในเขตกรุงเทพมหานคร 2025-02-14T13:16:04+07:00 เอนก ศรฟ้า Patan_rsl@hotmail.com ณภัทร นาคสวัสดิ์ Dusit_chef@yahoo.com สุทธิพรรณ ชิตินทร Suttipan.chi@sru.ac.th วัชรีญา ธรรมสอน WatchareeyaSRU@gmail.com ศักดิ์อรุณ แก้วเถื่อน Pusmith@gmail.com <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การศึกษาวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมการตัดสินใจซื้ออาหารฮาลาลแปรรูปของผู้บริโภคชาวไทยมุสลิมในเขตกรุงเทพมหานคร 2) ศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ใช้ในการตัดสินใจซื้ออาหารฮาลาลแปรรูปของผู้บริโภคชาวไทยมุสลิม ในเขตกรุงเทพมหานคร และ 3) เปรียบเทียบความแตกต่างของระดับความสำคัญต่อปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด จำแนกตามพฤติกรรมการตัดสินใจซื้ออาหารฮาลาลแปรรูปของผู้บริโภค กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริโภคชาวไทยมุสลิมที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร และตัดสินใจซื้ออาหารฮาลาลแปรรูป จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือการวิจัย สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าความแปรปรวนแบบทางเดียว <br>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผลการวิจัย พบว่า 1) ผู้บริโภคชาวไทยมุสลิมในเขตกรุงเทพมหานคร ส่วนใหญ่ร้อยละ 25.25 เลือกซื้ออาหารสำเร็จรูปเดือนละครั้ง ร้อยละ 34.00 โดยซื้อครั้งละ 1-2 ชิ้น ร้อยละ 39.26 ซึ่งมีค่าใช้จ่ายครั้งละไม่เกิน 500 บาท ร้อยละ 42.25 ส่วนใหญ่เลือกซื้อในซุปเปอร์มาร์เก็ต เช่น Tops Supermarket, Gourmet Marmet ร้อยละ 38.00 ทั้งนี้มีเหตุผลในการซื้อคือ รสชาติร่อย ร้อยละ 22.75 2) ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับระดับความสำคัญต่อปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ใช้ในการตัดสินใจซื้ออาหารฮาลาลแปรรูปของผู้บริโภคชาวไทยมุสลิมในเขตกรุงเทพมหานคร โดยรวม พบว่า ผู้บริโภคให้ความสำคัญอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านเรียงจากมากไปหาน้อย พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านผลิตภัณฑ์) รองลงมาคือ ด้านราคา และน้อยที่สุดคือ ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย และ 3) ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของระดับความสำคัญต่อปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด จำแนกตามพฤติกรรมการตัดสินใจซื้ออาหารฮาลาลแปรรูปของผู้บริโภค พบว่า ผู้บริโภคที่มีความถี่ในการซื้อ สถานที่ในการเลือกซื้อ และเหตุผลในการเลือกซื้อแตกต่างกัน ให้ความสำคัญต่อปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นอกนั้นไม่มีความแตกต่างกัน</p> 2025-02-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/5840 ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดในการใช้บริการร้านอาหารคาเฟ่แนวธรรมชาติในวิถีถัดไปของผู้บริโภค จังหวัดสมุทรสงคราม 2025-02-14T13:30:23+07:00 พรรณิการ์ เพชรอุดม pannika-p@rmutp.ac.th ชญาภัทร์ กี่อาริโย chayapat.s@rmutp.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การศึกษาวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยส่วนบุคคลของผู้บริโภคในการใช้บริการร้านอาหารคาเฟ่แนวธรรมชาติในวิถีถัดไปของผู้บริโภค จังหวัดสมุทรสงคราม 2) การใช้บริการร้านอาหารคาเฟ่แนวธรรมชาติ 3) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดในการใช้บริการร้านอาหารคาเฟ่แนวธรรมชาติ 4) เปรียบเทียบระดับความสำคัญของปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดในการใช้บริการร้านอาหารคาเฟ่แนวธรรมชาติ จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลของผู้บริโภค และ 5) เปรียบเทียบระดับความสำคัญของปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดในการใช้บริการร้านอาหารคาเฟ่แนวธรรมชาติ จำแนกตามการใช้บริการร้านอาหารคาเฟ่แนวธรรมชาติ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริโภคที่เข้ามาใช้บริการร้านอาหารคาเฟ่แนวธรรมชาติในวิถีถัดไปของผู้บริโภค จังหวัดสมุทรสงคราม จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือการวิจัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว <br>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผลการวิจัย พบว่า 1) ผู้บริโภคส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงที่มีอายุอยู่ในช่วง 25 - 35 ปี โดยมีการศึกษาระดับปริญญาตรี ซึ่งมีอาชีพเป็นลูกจ้าง/พนักงานบริษัท มีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 30,001 บาทขึ้นไป และผู้บริโภคส่วนใหญ่มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดอื่น ๆ ได้แก่ เพชรบุรี, ราชบุรี, นครปฐม, นนทบุรี เป็นต้น 2) ผู้บริโภคเลือกใช้บริการเพราะบรรยากาศและสถานที่ตั้งดี อากาศถ่ายเทสะดวก ใกล้ชิดธรรมชาติ โดยเป็นการเลือกซื้ออาหารว่าง ประเภทปีกไก่ทอดเกลือมากที่สุด ทั้งนี้เลือกใช้บริการเดือนละ 1 ครั้งๆ ละ 201 - 300 บาท ซึ่งมีการสวมหน้ากากอนามัยให้ถูกต้องตลอดเวลา ยกเว้นเฉพาะตอนรับประทานอาหาร รวมทั้งผู้บริโภคเป็นลูกค้ามาแล้วเป็นระยะเวลา 1 ปี เพราะเพื่อนชวนมาใช้บริการครั้งละ 3-5 คน ในช่วงเสาร์-อาทิตย์ เวลาประมาณ 12.01 - 18.00 น. และผู้บริโภครู้จักร้านคาเฟ่แนวธรรมชาติจากสื่อสังคมออนไลน์ เช่น Line, Facebook 3) ผู้บริโภคให้ความสำคัญต่อส่วนประสมทางการตลาดในการใช้บริการร้านอาหารคาเฟ่แนวธรรมชาติในวิถีถัดไปอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านเรียงจากมากไปหาน้อย พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านผลิตภัณฑ์ รองลงมาคือ ด้านพนักงานบริการ และน้อยที่สุดคือ ด้านการส่งเสริมการขาย 4) เปรียบเทียบระดับความสำคัญของปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดในการใช้บริการร้านอาหารคาเฟ่แนวธรรมชาติ จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลของผู้บริโภค พบว่า ทุกด้านมีความแตกต่างกัน ยกเว้นด้านอายุไม่มีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 5) เปรียบเทียบระดับความสำคัญของปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดในการใช้บริการร้านอาหารคาเฟ่แนวธรรมชาติ จำแนกตามการใช้บริการร้านอาหารคาเฟ่แนวธรรมชาติ พบว่า ทุกด้านมีความแตกต่างกัน ยกเว้นด้านแนวปฏิบัติการบริโภคอาหารในวิถีถัดไป จำนวนคนที่มาใช้บริการ และช่วงวันที่ไปใช้บริการ ไม่มีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2025-02-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/5841 ผลิตภัณฑ์เค้กช็อกโกแลตหน้านิ่มโปรตีนสูงจากผงจิ้งหรีด 2025-02-14T13:42:58+07:00 อทิตยา รัตนจินดา atitaya-ra@rmutp.ac.th ธนภพ โสตรโยม thanapop.s@rmutp.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสูตรพื้นฐานผลิตภัณฑ์เค้กช็อกโกแลตหน้านิ่ม 2) ศึกษาปริมาณผงจิ้งหรีดที่เหมาะสมสำหรับผลิตภัณฑ์เค้กช็อกโกแลตหน้านิ่ม 3) ศึกษาคุณค่าทางโภชนาการในผลิตภัณฑ์เค้กช็อกแลตหน้านิ่มโปรตีนสูงจากผงจิ้งหรีด และ4) ศึกษาการยอมรับของผู้บริโภคที่มีต่อเค้กช็อกโกแลตหน้านิ่มโปรตีนสูงจากผงจิ้งหรีด วางแผนการทดลองแบบสุ่มในบล็อคสมบูรณ์ (Randomized Complete Block Design, RCBD) และนำข้อมูลค่าเฉลี่ย ( ) วิเคราะห์ความแปรปรวน (Analysis of Variance, ANOVA) และเปรียบเทียบความแตกต่างทางสถิติแบบ (Least Significant Difference, LSD) <br>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผลการวิจัยพบว่า การคัดเลือกสูตรพื้นฐานผลิตภัณฑ์เค้กช็อกโกแลตหน้านิ่ม 3 สูตร พบว่า ผู้ทดสอบให้การยอมรับสูตรที่ 1 ในด้านความชอบโดยรวม ลักษณะปรากฏ สี กลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส ในระดับความชอบมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.60 ผลการศึกษาปริมาณการเสริมผงจิ้งหรีดที่เหมาะสมในผลิตภัณฑ์เค้กช็อกโกแลตหน้านิ่ม ในระดับที่ต่างกัน 3 ระดับ คือ ร้อยละ 5, 10, และ 15 ของน้ำหนักส่วนผสมทั้งหมด พบว่าผู้ทดสอบให้การยอมรับการเสริมผงจิ้งหรีด ร้อยละ 10 ในด้านความชอบโดยรวม ลักษณะปรากฏ สี กลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส ในระดับความชอบมากที่สุด และการเสริมผงจิ้งหรีด มีผลต่อสีของเค้กช็อกโกแลตหน้านิ่ม ผลการศึกษาคุณค่าทางโภชนาการของผลิตภัณฑ์เค้กช็อกโกแลตหน้านิ่มโปรตีนสูงจากผงจิ้งหรีด พบว่า เค้กช็อกโกแลตหน้านิ่มโปรตีนสูงจากผงจิ้งหรีด 100 กรัม มีพลังงาน 275.65 กิโลแคลอรี่ ไขมัน 7.69 กรัม โปรตีน 10.91 กรัม โคเลสเตอรอล 5.7 มิลลิกรัม คาร์โบไฮเดรต 40.70 กรัม วิตามินบี 12 0.89 ไมโคกรัม และเถ้า 1.98 กรัม มากกว่าเค้กช็อกโกแลตหน้านิ่มสูตรพื้นฐาน ผลศึกษาการยอมรับของผู้บริโภคที่มีต่อเค้กช็อกโกแลตหน้านิ่มโปรตีนสูงจากผงจิ้งหรีด ผู้บริโภคทั่วไป ร้อยละ 90.83 ให้การยอมรับเพราะผลิตภัณฑ์มีความแปลกใหม่น่าสนใจ มีรสชาติดี อร่อย และมีคุณค่าทางโภชนาการ ผู้บริโภคสนใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เค้กช็อกโกแลตหน้านิ่มโปรตีนสูงจากผงจิ้งหรีด ราคาต่อชิ้น ชิ้นละ 30 บาท</p> 2025-02-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/5843 การใช้น้ำมันพืชพรีอิมัลซิฟายด์ในผลิตภัณฑ์ไส้กรอกเนื้อเทียมจากพืช 2025-02-14T13:51:53+07:00 ศุภักษร หินแก้ว supaksorn-h@rmutp.ac.th น้อมจิตต์ สุธีบุตร Nomjit.s@rmutp.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสูตรพื้นฐานผลิตภัณฑ์ไส้กรอกเนื้อเทียมจากพืชโดยใช้กลูเตน 2) ศึกษาปริมาณน้ำมันพืชพรีอิมัลซิฟายด์ที่เหมาะสมในผลิตภัณฑ์ไส้กรอกเนื้อเทียมจากพืช 3) ศึกษาคุณลักษณะทางกายภาพและเคมีของผลิตภัณฑ์ไส้กรอกเนื้อเทียมจากพืชที่ใช้น้ำมันพืชพรีอิมัลซิฟายด์ 4) ศึกษาคุณค่าทางโภชนาการของผลิตภัณฑ์ไส้กรอกเนื้อเทียมจากพืชที่ใช้น้ำมันพืชพรีอิมัลซิฟายด์ และ 5) ศึกษาเปรียบเทียบต้นทุนการผลิตผลิตภัณฑ์ไส้กรอก <br>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผลการวิจัยพบว่า ผู้ทดสอบการชิมได้ให้คะแนนความชอบผลิตภัณฑ์ไส้กรอกเนื้อเทียมจากพืชที่ใช้กลูเตนทดแทนเนื้อไก่ในสูตรพื้นฐานไส้กรอกเวียนนาไก่ทั้ง 3 สูตรแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยสูตรที่ 3 มีคะแนนความชอบด้านเนื้อสัมผัส (ความแน่นเนื้อ) สี และรสชาติสูงกว่าสูตรที่ 1 และสูตรที่ 2 ผลการศึกษาปริมาณน้ำมันพืชพรีอิมัลซิฟายด์ที่เหมาะสมในผลิตภัณฑ์ไส้กรอกเนื้อเทียมจากพืชสูตรที่ 3 พบว่าการใช้น้ำมันพืชพรีอิมัลซิฟายด์ร้อยละ 75 ของปริมาณน้ำมันพืชที่ใช้ในส่วนผสมไส้กรอกได้รับคะแนนความชอบมากกว่าร้อยละ 50 และร้อยละ 100 การใช้น้ำมันพืชพรีอิมัลซิฟายด์ในส่วนผสมมีผลให้ค่าความคงตัวของอิมัลชันดิบ ค่าการสูญเสียน้ำหนักขณะทำให้สุกและค่าปริมาณผลผลิตที่ได้ของไส้กรอกสูงขึ้น (p≤0.05) และมีผลให้ไส้กรอกมีสีเข้มขึ้น โดยค่า L* ลดลง ค่า a* และ b* เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 แต่ไม่มีผลต่อค่ากิจกรรมของน้ำ (aw) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ปริมาณน้ำมันพืชพรีอิมัลซิฟายด์ที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 100 มีผลให้ไส้กรอกมีค่าความแน่นเนื้อ ค่าความคงทนเมื่อถูกเคี้ยว ค่าความเหนียวยึดติด ค่าความยืดหยุ่นและค่าความสามารถในการยึดเกาะลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 เมื่อนำผลิตภัณฑ์ไส้กรอกเนื้อเทียมจากพืชที่ใช้น้ำมันพืชพรีอิมัลซิฟายด์ ไปวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีในปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงาน 189.54 กิโลแคลอรี่ ไขมัน 10.10 กรัม โปรตีน 15.90 กรัม คาร์โบไฮเดรต 8.76 กรัม เถ้า 2.13 กรัม และความชื้น 63.08 กรัม ซึ่งให้ค่าพลังงานและไขมันที่ต่ำกว่าแต่มีปริมาณโปรตีนมากกว่าไส้กรอกเวียนนาไก่สูตรพื้นฐาน จากการเปรียบเทียบต้นทุนของการผลิตพบว่าผลิตภัณฑ์ไส้กรอกเนื้อเทียมจากพืชที่ใช้น้ำมันพืชพรีอิมัลซิฟายด์มีราคาต้นทุนที่ต่ำกว่าผลิตภัณฑ์ไส้กรอกเวียนนาไก่สูตรพื้นฐานร้อยละ 21</p> 2025-02-14T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025