https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/issue/feed
วารสารพัฒนาเทคนิคศึกษา
2025-05-20T14:18:32+07:00
ดร.จินตนา ถ้ำแก้ว
jintana.t@ited.kmutnb.ac.th
Open Journal Systems
<p><strong>About the Journal</strong><br /><strong>วารสารพัฒนาเทคนิคศึกษา (Journal of Technical Education Development)</strong><br /><strong>ISSN 3057-1510 (PRINT)</strong><br /><strong>ISSN 3057-1618 (ONLINE)</strong><br /> วารสารพัฒนาเทคนิคศึกษา เป็นวารสารเพื่อเผยแพร่ บทความวิชาการ บทความวิจัยที่เกี่ยวกับสหวิทยาการด้านมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ สหวิทยาการด้านการศึกษา การพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรม การจัดการทรัพยากรมนุษย์ การจัดการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมบริการ และ<br />เทคโนโลยีการศึกษา</p> <p> วารสารพัฒนาเทคนิคศึกษา ตีพิมพ์ทั้งรูปเล่มและออนไลน์ โดยกำหนดจัดทำปีละ 4 ฉบับ คือ<br /> • ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม–มีนาคม<br /> • ฉบับที่ 2 เดือนเมษายน–มิถุนายน<br /> • ฉบับที่ 3 เดือนกรกฎาคม–กันยายน<br /> • ฉบับที่ 4 เดือนตุลาคม–ธันวาคม</p> <p> <strong>เกณฑ์การพิจารณาบทความเพื่อตีพิมพ์ในวารสารพัฒนาเทคนิคศึกษา</strong> <br /> วารสารพัฒนาเทคนิคศึกษา มีการประเมินบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชานั้นหรือสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 3 คน ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจากหลากหลายสาขาอาชีพ โดยผู้ประเมิน (Reviewer) ทราบชื่อผู้นิพนธ์(Author แต่ผู้นิพนธ์ (Author) จะไม่ทราบข้อมูลรายชื่อผู้ประเมิน(Reviewer) เป็นการประเมินแบบ Single blind review โดยที่ผู้ประเมินจะพิจารณาประเด็นที่สำคัญของแต่ละบทความดังต่อไปนี้<br /> 1. ผลการวิจัยที่แสดงในบทความจะต้องเป็นผลงานที่แท้จริงของผู้นิพนธ์เอง และต้องหลีกเลี่ยงการคัดลอกผลงาน (Plagiarism)<br /> 2. บทความต้นฉบับมีความยาวไม่เกิน 10 หน้ากระดาษ ต้องเขียนด้วยภาษาไทยและมีการแปลคำศัพท์เทคนิคเป็นภาษาไทยอย่างเหมาะสม และถูกต้องตามหลักไวยากรณ์<br /> 3. บทความวิจัยต้องดำเนินการตามได้มาตรฐานโดยทั่วไปของหลักจริยธรรมการวิจัยที่เกี่ยวข้อง หากมีการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ ผู้นิพนธ์ควรบ่งชี้ว่า ได้ดำเนินการวิจัยตามกระบวนการที่เป็นไปตามมาตรฐานคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์<br /> 4. บรรณาธิการสามารถยุติการประเมินบทความของผู้ประเมิน หากพบว่าไม่สามารถปฏิบัติตามวัตถุประสงค์หรือเงื่อนไข หรือเมื่อผู้ประเมินได้ตกลงที่จะประเมินบทความแล้ว ต่อมาพบว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน สามารถแจ้งบรรณาธิการโดยทันที เพื่อที่จะปฏิเสธการประเมินบทความนั้นต่อไป</p>
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/6430
การพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ของผู้เรียนที่ลงทะเบียนในรายวิชาการจัดการเชิงกลยุทธ์ ด้วยการเรียนการสอนโดยใช้กรณีศึกษาการบริหารโรงพยาบาล
2025-05-19T13:38:02+07:00
จิรัฐ ชวนชม
jchuanchom03@gmail.com
นิธิพัฒน์ สุทธิธรรม
jchuanchom03@gmail.com
<p>บทความวิชาการนี้ต้องการนําเสนอรูปแบบจัดการจัดการสอนของผู้เรียนเพื่อการพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ของนักศึกษาที่ลงทะเบียนในรายวิชาการจัดการเชิงกลยุทธ์ด้วยการเรียนการสอนโดยใช้กรณีศึกษาการบริหารโรงพยาบาลซึ่งทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ถือเป็นทักษะหนึ่งที่มีความสําคัญต่อผู้เรียนและการที่ผู้เรียนจะสามารถพัฒนาทักษะได้นั้นในกระบวนการจัดการศึกษาในรายวิชาให้ผู้เรียนได้มีการมอบหมายให้ผู้เรียนศึกษาจากรายงานการประชุมของการบริหารโรงพยาบาลหลายแห่งที่มีการเผยแพร่จากแหล่งข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความรู้จากตํารา เอกสารหรือจากสื่อต่างๆ ที่เป็นฐานข้อมูลระบบออนไลน์ทางเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ประเภทอื่นๆแล้วนําความรู้การบริหารโรงพยาบาลไปคิดวิเคราะห์อย่างเป็นขั้นตอนแล้วนําไปสู่การสังเคราะห์และตัดสินประเมินการบริหารงานจากกรณีศึกษาดังกล่าวเป็นองค์ความรู้ของผู้เรียนแล้วถ่ายทอดความรู้ออกมาด้วยการนำเสนอหน้าชั้นเรียนหรือการเขียนรายงาน.</p> <p> การจัดการเรียนการสอนในรายวิชาการจัดการเชิงกลยุทธ์ด้วยการเรียนการสอนโดยใช้กรณีศึกษาเพื่อมุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนมีความรู้ตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่ได้กําหนดสมรรถนะการเรียนรู้ที่ทางด้านการคิดที่มีการแบ่งออกเป็น 5 ลักษณะ ได้แก่ คิดสังเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ และคิดอย่างเป็นระบบ โดยการจัดการเรียนการสอนด้วยการวิเคราะห์กรณีศึกษามีองค์ประกอบที่สำคัญ 4 ประการ คือ ผู้สอน ผู้เรียน กรณีศึกษา และบรรยากาศในการเรียน ดังนั้นการจัดการเรียนต้องให้ครบทุกองค์ประกอบเพื่อนําไปใช้สร้างองค์ความรู้ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้ ดังนั้น ด้วยการจัดการเรียนการสอนด้วยการวิเคราะห์กรณีศึกษามุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้รับได้ฝึกการทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ</p>
2025-05-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/6431
การออกแบบการเรียนรู้แบบผสมผสานบนสภาพแวดล้อมเสมือนจริงแบบปฏิสัมพันธ์ ผ่านจักรวาลนฤมิตเพื่อเสริมสร้างทักษะการสื่อสารทางด้านภาษาอังกฤษ
2025-05-19T14:13:59+07:00
บัวลา หมื่นโสพา
bmuensopha@gmail.com
พินันทา ฉัตรวัฒนา
bmuensopha@gmail.com
<p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1)เพื่อสังเคราะห์กรอบแนวคิดการเรียนรู้แบบผสมผสานบนสภาพแวดล้อมเสมือนจริงแบบปฏิสัมพันธ์ผ่านจักรวาลนฤมิตเพื่อเสริมสร้างทักษะการสื่อสารทางด้านภาษาอังกฤษ2)เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนรู้แบบผสมผสานบนสภาพแวดล้อมเสมือนจริงแบบปฏิสัมพันธ์ผ่านจักรวาลนฤมิตเพื่อเสริมสร้างทักษะการสื่อสารทางด้านภาษาอังกฤษและ 3)เพื่อศึกษาผลการพัฒนารูปแบบการเรียนรู้แบบผสมผสานบนสภาพแวดล้อมเสมือนจริงแบบปฏิสัมพันธ์ผ่านจักรวาลนฤมิตเพื่อเสริมสร้างทักษะการสื่อสารทางด้านภาษาอังกฤษ กลุ่มตัวอย่าง เป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ในการออกแบบและพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนรวมทั้งระบบการเรียนการสอนที่มาจากหลากหลายสถาบันในระดับอุดมศึกษาที่คัดเลือกแบบเจาะจงเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย(1)รูปแบบการเรียนรู้แบบผสมผสานบนสภาพแวดล้อมเสมือนจริงแบบปฏิสัมพันธ์ผ่านจักรวาลนฤมิต และ (2)แบบประเมินความเหมาะสมรูปแบบการเรียนรู้แบบผสมผสานบนสภาพแวดล้อมเสมือนจริงแบบปฏิสัมพันธ์ผ่านจักรวาลนฤมิต</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า ความเหมาะสมในการพัฒนารูปแบบการเรียนรู้แบบผสมผสานบนสภาพแวดล้อมเสมือนจริงแบบปฏิสัมพันธ์ผ่านจักรวาลนฤมิตมีค่าเฉลี่ยทุกด้านในระดับมากแสดงให้เห็นว่ารูปแบบการเรียนรู้แบบผสมผสานบนสภาพแวดล้อมเสมือนจริงแบบปฏิสัมพันธ์ผ่านจักรวาลนฤมิตเพื่อเสริมสร้างทักษะการสื่อสารทางด้านภาษาอังกฤษ มีองค์ประกอบที่เหมาะสมสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาต่อยอดเป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างทักษะการสื่อสารทางด้านภาษาอังกฤษด้วยการเรียนรู้บนสภาพแวดล้อมเสมือนจริงแบบปฏิสัมพันธ์ผ่านจักรวาลนฤมิตได้เป็นอย่างดี</p>
2025-05-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/6433
ผลการใช้ภาพยนต์สั้นเพื่อส่งเสริมทักษะชีวิตของนักศึกษาช่างอุตสาหกรรมในยุคดิจิทัล สำหรับสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ภาคใต้
2025-05-19T14:28:42+07:00
บุษราคัม ทองเพชร
Bussarakam.t@rmutsv.ac.th
ไชยยะ ธนพัฒน์ศิริ
Bussarakam.t@rmutsv.ac.th
จักรกฤษฎ์ แก้วประเสริฐ
Bussarakam.t@rmutsv.ac.th
ปิยะ ประสงค์จันทร์
Bussarakam.t@rmutsv.ac.th
วาสณา บุญส่ง
Bussarakam.t@rmutsv.ac.th
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาช่างอุตสาหกรรมของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา หลังจากทดลองใช้ภาพยนต์สั้นเพื่อส่งเสริมทักษะชีวิตในยุคดิจิทัลโดยบูรณาการกับการเรียนการสอนและ 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาช่างอุตสาหกรรมที่เรียนด้วยภาพยนต์สั้นเพื่อส่งเสริมทักษะชีวิตในยุคดิจิทัลกลุ่มตัวอย่างสำหรับการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ นักศึกษาช่างอุตสาหกรรม ชั้นปีที่ 2 จำนวน 30 คน ที่เรียนในรายวิชาเครื่องรับวิทยุ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ ประเภทวิชาอุตสาหกรรม สาขาวิชาอิเล็กทรอนิกส์ ประจำปีการศึกษา 1/2565 วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ซึ่งเป็นการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงและเครื่องมือวิจัยที่ใช้สำหรับการวิจัยในครั้งนี้ได้แก่แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์(แบบออนไลน์)และแบบสอบถามความพึงพอใจ(แบบออนไลน์) </p> <p> ผลการวิจัยสรุปได้ว่า 1) ภาพยนต์สั้นเพื่อส่งเสริมทักษะชีวิตในยุคดิจิทัล ทำให้นักศึกษาช่างอุตสาหกรรม วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ.05 และ2) นักศึกษาช่างอุตสาหกรรมมีความพึงพอใจต่อการเรียนการสอนด้วยภาพยนต์สั้นเพื่อส่งเสริมทักษะชีวิตในยุคดิจิทัล โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก </p>
2025-05-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/6435
การพัฒนารูปแบบวัฒนธรรมองค์กรในธุรกิจก่อสร้างขนาดใหญ่เพื่อการแข่งขันอย่างยั่งยืน
2025-05-19T14:42:17+07:00
ณัฐฐพันธ์ ทัศนนิพันธ์
nutthapan@seafco.co.th
สมนึก วิสุทธิแพทย์
somnoek.w@itdi.kmutnb.ac.th
ธีรวุฒิ บุณยโสภณ
Teravutib.9220@gmail.com
สุชาติ เซี่ยงฉิน
president@op.kmutnb.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1)ศึกษาองค์ประกอบของการพัฒนารูปแบบวัฒนธรรมองค์กรในธุรกิจก่อสร้างขนาดใหญ่เพื่อการแข่งขันอย่างยั่งยืน2)พัฒนารูปแบบวัฒนธรรมองค์กรในธุรกิจก่อสร้างขนาดใหญ่เพื่อการแข่งขันอย่างยั่งยืนและ3)จัดทำคู่มือแนวทางการพัฒนาวัฒนธรรมองค์กรในธุรกิจก่อสร้างขนาดใหญ่เพื่อการแข่งขันอย่างยั่งยืน ใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพด้วยเทคนิควิจัยแบบ EDFR (Ethnographic Delphi Futures Research)กลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญในการสัมภาษณ์เชิงลึก และตอบแบบสอบถามเดลฟาย จำนวน 21 คน กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิในการประชุมสนทนากลุ่ม จำนวน 14 คน และกลุ่มผู้เชี่ยวชาญให้ข้อเสนอแนะและประเมินคู่มือแนวทางการพัฒนาวัฒนธรรมองค์กรฯ จำนวน 5 คน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์เชิงลึกแบบกึ่งโครงสร้าง แบบสอบถามปลายปิด และแบบประเมินรูปแบบและคู่มือ การประชุมสนทนากลุ่ม ใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ใช้วิธีการวิเคราะห์ด้วยสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ได้แก่ ค่ามัธยฐาน และค่าพิสัยระหว่างควอไทล์</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบวัฒนธรรมองค์กรในธุรกิจก่อสร้างขนาดใหญ่เพื่อการแข่งขันอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1) ด้านการจัดการองค์กรมี 4 องค์ประกอบย่อย 2) ด้านการจัดการทรัพยากรมนุษย์มี 4 องค์ประกอบย่อย และ 3) ด้านวัฒนธรรมองค์กรเพื่อการแข่งขันที่ยั่งยืน มี 4 องค์ประกอบย่อยส่วนผลการประเมินคู่มือแนวทางการพัฒนาวัฒนธรรมองค์กรในธุรกิจก่อสร้างขนาดใหญ่เพื่อการแข่งขันอย่างยั่งยืนพบว่าผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่ามีความเหมาะสมและผลการประเมินคู่มือทุกหัวข้อมีความสอดคล้องเหมาะสมสามารถนำไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางการพัฒนาวัฒนธรรมองค์กรในธุรกิจก่อสร้างขนาดใหญ่เพื่อการแข่งขันอย่างยั่งยืนได้</p>
2025-05-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/6436
การศึกษาการรับรู้เกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล การรับรู้คุณค่าและ การรับรู้ความเสี่ยงจากการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล
2025-05-19T14:55:18+07:00
อัจฉราพรรณ ลีฬพันธ์
al_lean@yahoo.com
เสาวนิตย์ จันทนโรจน์
al_lean@yahoo.com
วิษณุ เหลืองลออ
al_lean@yahoo.com
สวรส ศรีสุตโต
al_lean@yahoo.com
<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณประชากรคือผู้ที่ได้ลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) ซึ่งไม่ทราบจำนวนประชากร การรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์กับกลุ่มตัวอย่าง โดยมีขนาดตัวอย่างเท่ากับ 221 ราย สถิตที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และทดสอบความแตกต่างรายคู่ด้วยวิธี Bonferroni test ผลการวิจัยพบว่าผู้ลงทุนเป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิง ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 21-37 ปี รายได้ 15,000-25,000 บาทต่อเดือน อาชีพพนักงานบริษัทเอกชน การศึกษามีระดับการศึกษา ปวช/ปวสระดับการรับรู้เกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลจากการลงทุนของผู้ลงทุนอยู่ในระดับที่ 2 คือ รู้บ้าง เข้าใจบ้างแต่ไม่ชัดเจนแต่ไม่สามารถวิเคราะห์ได้ด้วยตนเอง การรับรู้คุณค่าของผู้ลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลอยู่ในระดับปานกลางทุกด้าน ได้แก่ด้านหน้าที่ด้านอารมณ์ ด้านความรู้ ด้านเงื่อนไข และด้านสังคม ส่วนระดับการรับรู้ความเสี่ยงจากการลงทุนอยู่ในระดับปานกลางเช่นกัน ได้แก่ความเสี่ยงด้านหน้าที ด้านกายภาพ ด้านสังคม ด้านการเงิน ด้านจิตวิทยาและด้านเวลา ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่าปัจจัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกันมีระดับการรับรู้เกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล มีระดับการรับรู้คุณค่า จากการลงทุนและการรับรู้ระดับความเสี่ยงในการลงทุนที่แตกต่างกัน</p>
2025-05-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/6437
ประสิทธิภาพและปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโรงไฟฟ้าโคเจนเนอร์เรชั่น
2025-05-19T15:05:01+07:00
ธรรมนูญ หนูฤทธิ์
chantima.r@rmutp.ac.th
ศิริพล ทองอ่อน
chantima.r@rmutp.ac.th
จันทิมา ริ้วลายเงิน
chantima.r@rmutp.ac.th
เสกสรร พาป้อง
chantima.r@rmutp.ac.th
<p> โรงไฟฟ้าแบบโคเจนเนอร์เรชั่นใช้กังหันก๊าซเป็นเครื่องต้นกำลังในการผลิตไฟฟ้าและพลังงานความร้อนโดยใช้ประโยชน์จากไอเสียหรือความร้อนเหลือทิ้งในการผลิตไอน้ำ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ประสิทธิภาพทางความร้อน และประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโรงไฟฟ้าแบบโคเจนเนอร์เรชั่นที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงโดยโรงไฟฟ้าในการศึกษาครั้งนี้มีการนำระบบทำความเย็นแบบอัดไอมาใช้เพื่อลดอุณหภูมิของอากาศขาเข้าที่กังหันก๊าซ ผลการศึกษาพบว่าปริมาณไฟฟ้าทั้งหมดที่ผลิตได้ (Gross Generation)เพิ่มขึ้น7.09%เมื่อเทียบกับการไม่ใช้ระบบทำความเย็นแบบอัดไอซึ่งประสิทธิภาพทางความร้อนของโรงไฟฟ้าแบบโคเจนเนอร์เรชั่นชนิดใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติมีค่า อยู่ระหว่าง 49.64% - 49.90% ขึ้นอยู่กับการใช้งานระบบทำความเย็น</p> <p> การประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใช้หลักการประเมินวัฏจักรชีวิตตามมาตรฐาน ISO 14040-44 โดยกำหนดหน่วยการทำงานเป็นพลังงานไฟฟ้าสุทธิ 1 MJ และพลังงานความร้อนสุทธิ 1 MJ ขอบเขตการประเมินครอบคลุมตั้งแต่การได้มาซึ่งก๊าซธรรมชาติ การขนส่งก๊าซธรรมชาติผ่านท่อ การแยกก๊าซธรรมชาติ และการผลิตไฟฟ้าและความร้อน โดยใช้โปรแกรม SimaPro 8.3.3 วิธี ReCiPe (H) ผลการประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของการผลิตไฟฟ้าและความร้อน คิดเป็น 0.092 kgCO<sub>2</sub>eq<sub>. </sub> และ 0.0876 kgCO<sub>2</sub>eq. ตามลำดับ โดบผลกระทบหลักมาจากการเผาไหม้ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งผลการศึกษาสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลฐานในการหาแนวทางการปรับปรุงสมรรถนะด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมได้ในอนาคต</p>
2025-05-19T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/6441
ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานที่มีต่อการรู้เท่าทันสื่อใน ศตวรรษที่ 21 ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย
2025-05-20T10:40:55+07:00
ภูษณิษา งามพลกรัง
boonrat.p@ku.ac.th
ภัทรวรินทร์ เครือโสม
boonrat.p@ku.ac.th
บุญรัตน์ แผลงศร
boonrat.p@ku.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานที่มีต่อการรู้เท่าทันสื่อในศตวรรษที่ 21 ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย และ 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีผลต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน ประชากร คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนวัดหนองสุทธะ จำนวน 31 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน เรื่อง การรู้เท่าทันสื่อในศตวรรษที่ 21 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การรู้เท่าทันสื่อในศตวรรษที่ 21 ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่มีผลต่อการจัดการเรียนการสอนโดยใช้โครงงานเป็นฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และโดยรวมอยู่ในระดับดีมาก โดยนักเรียนมีความรู้เกี่ยวกับการรู้เท่าทันสื่อในศตวรรษที่ 21 อันดับแรกคือ การสร้างสรรค์ รองลงมา คือ การมีส่วนร่วม การประเมิน การเข้าถึง และการวิเคราะห์ ตามลำดับ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยร้อยละ 89.24 ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 ที่กำหนดไว้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ประสิทธิภาพของการเรียน (E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub>) มีค่าเท่ากับ 80.52/89.24 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 80/80 และ 4) นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลายมีระดับความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนโดยใช้โครงงานเป็นฐาน โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2025-05-20T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/6442
ปัจจัยการจัดการค่าตอบแทนและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ส่งผลต่อด้านแรงงาน ในภาพรวมของประสิทธิภาพการทำงานและความผูกพันในองค์การ : อุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์
2025-05-20T10:49:32+07:00
พิพรรธน์ พิเชฐศิรประภา
pichetsiraprapa_nui@hotmail.com
วัฒนา พิลาจันทร์
pichetsiraprapa_nui@hotmail.com
ธนัชชา คงสง
pichetsiraprapa_nui@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยการจัดการค่าตอบแทนที่ส่งผลต่อด้านแรงงานในภาพรวมของอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ส่งผลต่อที่ส่งผลต่อด้านแรงงานในภาพรวมของอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ปัจจัยการจัดการค่าตอบแทนและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ส่งผลต่อด้านแรงงานในภาพรวมของประสิทธิภาพการทำงานและความผูกพันในองค์การ : อุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสม ได้แก่ การวิจัยเชิงปริมาณ จำนวน 300 ชุด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และการวิจัยเชิงคุณภาพจำนวน 15 ราย การรวบรวมข้อมูลโดยจากการสัมภาษณ์เชิงลึก</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยการจัดการค่าตอบแทน อยู่ในระดับมาก การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ อยู่ในระดับมาก และความสัมพันธ์ที่ส่งผลต่อด้านแรงงานในภาพรวมของประสิทธิภาพการทำงานและความผูกพันในองค์การ อยู่ในระดับมาก 2) ผลการวิเคราะห์สถิติถดถอยพหุคูณ พบว่า ปัจจัยการจัดการค่าตอบแทนและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ส่งผลต่อด้านแรงงานในภาพรวมของประสิทธิภาพการทำงานและความผูกพันในองค์การ ได้ร้อยละ 79 และมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ พบว่า การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ r=0.789 สูงสุด รองลงมาคือ การจัดการค่าตอบแทน r=0.670 ตามลำดับ และ 3) การจ่ายค่าตอบแทน เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานทั้งทางตรงและทางอ้อมตามข้อตกลงระหว่างนายจ้างและลูกจ้างและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นกระบวนการที่จะกระตุ้นให้บุคลากรทุกส่วนมีการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องให้เกิดความรู้ ความเชี่ยวชาญชำนาญเพิ่มมากขึ้นส่งผลต่อคุณภาพของงานและเป็นการสร้างขวัญกำลังใจในการทำงานได้อีกทางส่งผลต่อผลการดำเนินงานขององค์การที่ก้าวหน้าต่อไป</p>
2025-05-20T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/6443
การศึกษาผลของการปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 15 เรื่อง รายได้จากสัญญาที่ทำกับลูกค้า ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงการรับรู้รายได้รอตัดบัญชี และมูลค่าตามบัญชีของลูกหนี้การค้า : กรณีศึกษากลุ่มธุรกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
2025-05-20T11:05:36+07:00
ขวัญภิรมณ์ สัจจสุจริตกุล
65109660014@rpu.ac.th
จักรพันธ์ พงษ์เภตรา
65109660001@pru.ac.th
<p> การวิจัยครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบและผลของการปฏิบัติของการนำมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 15 เรื่องรายได้จากสัญญาที่ทำกับลูกค้า ส่งผลกระทบต่อการรับรู้รายได้รอตัดบัญชี และการรับรู้มูลค่าตามบัญชีของลูกหนี้ของกิจการในกลุ่มธุรกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2562-2565 โดยได้นำข้อมูลจากงบการเงิน ได้แก่ สินทรัพย์รวม รายได้จากการขาย กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน รายได้รอตัดบัญชี และมูลค่าตามบัญชีของลูกหนี้การค้า</p> <p> จากการวิจัยพบว่า สินทรัพย์รวม รายได้จากการขาย และกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ส่งผลกระทบต่อรายได้รอตัดบัญชีของกิจการ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และพบว่า สินทรัพย์รวมการเปลี่ยนแปลงรายได้จากการขาย และการเปลี่ยนแปลงกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ส่งผลกระทบต่อรายได้รอตัดบัญชีของกิจการที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าหลักการรับรู้รายได้ของมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 15 กิจการจะรับรู้รายได้ช้าลง จึงส่งผลกระทบทำให้การรับรู้รายการรายได้รายได้รอตัดบัญชี และมูลค่าทางบัญชีลูกหนี้การค้าเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ</p>
2025-05-20T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/6445
การพัฒนารูปแบบการจัดการองค์ความรู้ในระบบการศึกษา เพื่อส่งเสริมธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารสู่ครัวโลก
2025-05-20T13:24:47+07:00
เอกนารี สวัสดิ์นที
eknaree7335@gmail.com
สุภัททา ปิณฑะแพทย์
supattapin@yahoo.com
ภาวิณี บุณยโสภณ
pawinee.b@archd.kmutnb.ac.th
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบที่ส่งผลต่อการพัฒนารูปแบบการจัดการองค์ความรู้ในระบบการศึกษาเพื่อส่งเสริมธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารสู่ครัวโลก 2)เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการองค์ความรู้ในระบบการศึกษาเพื่อส่งเสริมธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารสู่ครัวโลก และ 3) เพื่อจัดทำคู่มือแนวทางการพัฒนาการจัดการองค์ความรู้ในระบบการศึกษาเพื่อส่งเสริมธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารสู่ครัวโลกการวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณโดยประยุกต์ใช้เทคนิคเดลฟาย ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้ ส่วนที่ 1 วิธีการศึกษาเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกและการประชุมสนทนากลุ่มย่อย โดยเก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์จากผู้ให้ข้อมูลซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ ความรู้ความเข้าใจด้านอาหาร จำนวน 21 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารในโรงงานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร ผู้บริหารในสถานศึกษา และผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความสามารถและมีประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารโรงงานการผลิตอาหาร การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ส่วนที่ 2 วิธีการศึกษาเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามแบบประมาณค่า 5 ระดับจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเดิม และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติ ค่าร้อยละ ค่ามัธยฐาน ค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ และค่าฐานนิยม</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า การศึกษาองค์ประกอบที่ส่งผลต่อการพัฒนารูปแบบการจัดการองค์ความรู้ในระบบการศึกษาเพื่อส่งเสริมธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารสู่ครัวโลกมีองค์ประกอบทั้งสิ้น 9 องค์ประกอบ แบ่งออกเป็น 3 ด้าน ดังนี้ ด้านที่ 1: ศักยภาพผู้สอน มี 3 องค์ประกอบ คือ 1) การเตรียมการสอน 2) การถ่ายทอดความรู้ และ 3) กิจกรรม ด้านที่ 2: นโยบายองค์กร คือ 1) จัดเตรียมองค์ความรู้ 2) ส่งเสริมผู้เรียน และ 3) ส่งเสริมผู้สอน ด้านที่ 3: การจัดการองค์ความรู้ คือ 1) เกษตรและเทคโนโลยี 2) ธุรกิจ และ 3) กฎหมาย ผู้ทรงคุณวุฒิในการประชุมสนทนากลุ่มย่อยลงมติเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ต่อรูปแบบการจัดการองค์ความรู้ในระบบการศึกษาเพื่อส่งเสริมธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารสู่ครัวโลก นอกจากนี้ได้จัดทำคู่มือการจัดการองค์ความรู้ซึ่งได้รับผลการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 คนว่าคู่มือมีความเหมาะสมมากที่สุดและสามารถนำไปใช้จัดการองค์ความรู้ในระบบการศึกษาได้</p>
2025-05-20T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/6446
การพัฒนาสื่อมัลติมีเดีย เรื่อง การสร้างสรรค์งานประดิษฐ์การพับเหรียญโปรยทานจากต้นแห้วเพื่อสร้างอาชีพในชุมชนจังหวัดสุพรรณบุรี
2025-05-20T13:38:28+07:00
อิทธิพล อเนกธนทรัพย์
ittipon_ane@dusit.ac.th
อัครพล ไวเชียงค้า
ittipon_ane@dusit.ac.th
<p> การศึกษาวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) หาประสิทธิภาพของสื่อการสอนมัลติมีเดีย 2) ประเมินความเหมาะสม และประโยชน์ของสื่อการสอนมัลติมีเดีย และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่มีต่อสื่อการสอนมัลติมีเดีย เรื่อง การสร้างสรรค์งานประดิษฐ์การพับเหรียญโปรยทานจากต้นแห้วเพื่อสร้างอาชีพในชุมชนจังหวัดสุพรรณบุรีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยี่ยมชมนาแห้วในตำบลวังยาง อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี จำนวน 100 คน โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบสะดวก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ สื่อมัลติมีเดีย แบบทดสอบ แบบประเมินความเหมาะสม ความเป็นประโยชน์ของสื่อมัลติมีเดีย และแบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) สื่อการสอนมัลติมีเดียมีประสิทธิภาพเท่ากับ 80.70/ 89.70 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ จึงสามารถนำไปใช้ในการเรียนการสอนได้ 2) ผู้เชี่ยวชาญมีความคิดเห็นว่าสื่อมัลติมีเดีย เรื่อง การสร้างสรรค์งานประดิษฐ์การพับเหรียญโปรยทานจากต้นแห้วเพื่อสร้างอาชีพในชุมชนจังหวัดสุพรรณบุรี มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก และมีความเป็นประโยชน์อยู่ในระดับมากที่สุด และ 3) นักท่องเที่ยวมีความพึงพอใจต่อสื่อมัลติมีเดีย เรื่อง การสร้างสรรค์งานประดิษฐ์การพับเหรียญโปรยทานจากต้นแห้วเพื่อสร้างอาชีพในชุมชนจังหวัดสุพรรณบุรีโดยรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านเรียงจากมากไปหาน้อย พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านประโยชน์ต่อผู้ใช้สื่อ รองลงมาคือ ด้านเนื้อหาของบทเรียน และน้อยที่สุดคือ ด้านการออกแบบการเรียนการสอน สรุปได้ว่า นักท่องเที่ยวมีความพึงพอใจต่อสื่อมัลติมีเดีย เรื่อง การสร้างสรรค์งานประดิษฐ์การพับเหรียญโปรยทานจากต้นแห้วเพื่อสร้างอาชีพในชุมชนจังหวัดสุพรรณบุรีอยู่ในระดับมาก</p>
2025-05-20T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/6447
การศึกษากระบวนการเตรียมการประดิษฐ์งานบายศรีสู่ขวัญ เพื่อเข้าร่วมแข่งขันทักษะด้านการงานอาชีพในระดับชาติ
2025-05-20T13:48:03+07:00
อัครพล ไวเชียงค้า
ittipon_ane@dusit.ac.th
กาญจนา เฟื่องศรี
ittipon_ane@dusit.ac.th
อิทธิพล อเนกธนทรัพย์
ittipon_ane@dusit.ac.th
<p> การศึกษาวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการจัดเตรียมการประดิษฐ์งานบายศรีสู่ขวัญ เพื่อเข้าร่วมแข่งขันทักษะด้านการงานอาชีพระดับชาติ และ 2) ศึกษาแนวทางในการจัดเตรียมการประดิษฐ์งานบายศรีสู่ขวัญให้ประสบความสำเร็จในการเข้าร่วมแข่งขันทักษะด้านการงานอาชีพระดับชาติกลุ่มตัวอย่างคือ กลุ่มครูผู้ฝึกซ้อมโรงเรียนที่ได้รับรางวัลเหรียญทอง ลำดับที่ 1-10 การแข่งขันประดิษฐ์บายศรีสู่ขวัญ ม.4 - ม.6 งานศิลปหัตถกรรมนักเรียน ระดับชาติ ครั้งที่ 70 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 128 ราย โดยใช้แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือวิจัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) กลุ่มครูผู้ฝึกซ้อมให้ความเห็นว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการจัดเตรียมการประดิษฐ์งานบายศรีสู่ขวัญเพื่อเข้าร่วมแข่งขันทักษะด้านการงานอาชีพระดับชาติ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านเรียงจากมากไปหาน้อย พบว่า ด้านที่ส่งผลต่อความสำเร็จมากที่สุดคือ ด้านกระบวนการทำงานประดิษฐ์ รองลงมาคือด้านการดำเนินงานเพื่อเตรียมการแข่งขันและน้อยที่สุดคือ ด้านงบประมาณ และ 2) แนวทางในการจัดเตรียมการประดิษฐ์งานบายศรีสู่ขวัญให้ประสบความสำเร็จในการเข้าร่วมแข่งขันทักษะด้านการงานอาชีพระดับชาติ ประกอบด้วย 5 ด้าน ดังนี้ 2.1) ด้านการวางแผนงานและการบริหารบุคลากร ผู้บริหารโรงเรียนควรวางแผนการบริหารด้วยการจัดตั้งโครงการเพื่อสนับสนุนการแข่งขันในแต่ละปี 2.2) ด้านงบประมาณ ควรจะเป็นงบประมาณที่โรงเรียนจัดสรรในรูปแบบของโครงการ 2.3)ด้านการดำเนินงานเพื่อเตรียมการแข่งขันควรมีการประชาสัมพันธ์เพื่อเชิญชวนนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขัน 2.4) ด้านกระบวนการทำงานประดิษฐ์ควรกำหนดตารางเวลาในการฝึกซ้อมในแต่ละวันอย่างชัดเจน และ 2.5) ด้านการประเมินผลงาน ควรพิจารณาความประณีตของชิ้นงานที่เกิดจากการฝึกซ้อม และทำซ้ำๆ จนเกิดเป็นความเชี่ยวชาญ และพิจารณารายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับการประดิษฐ์งานบายศรีสู่ขวัญ</p>
2025-05-20T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/6448
การพัฒนาระบบฐานข้อมูลทรัพยากรพืชโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง
2025-05-20T13:56:55+07:00
ปิยะวดี พงษ์สวัสดิ์
piyawadeepho@mcru.ac.th
เมตตา คงคากูล
kongkakul@hotmail.com
นาวิน คงรักษา
nawin30@hotmail.com
ชนัญชิดา จันทร์ผึ้งสุข
aoraee_6908@msn.com
กาญจน์ นาลาด
n.karn50@gmail.com
<p> งานวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการและความคาดหวังในระบบฐานข้อมูลทรัพยากรพืชฯ และ 2) พัฒนาระบบฐานข้อมูลทรัพยากรพืชฯ วิธีดำเนินการวิจัยใช้รูปแบบการวิจัยและพัฒนา ประกอบด้วย 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ระยะที่ 2 การสร้างและทดลองใช้ และ ระยะที่ 3 การประเมินผลการใช้งานระบบ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์ ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรพืชฯ แบบประเมินคุณภาพ และแบบสอบถามความพึงพอใจ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ประกอบด้วย 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มที่ใช้ในศึกษาความต้องการและความคาดหวัง จำนวน 6 คน และ 2) กลุ่มที่ใช้ในการทดลองระบบ ได้แก่ ผู้ดูแลระบบ, ผู้พัฒนาองค์ความรู้ และผู้ใช้ทั่วไป จำนวน 120 คน สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า ได้ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรพืชฯ ที่แบ่งตามสิทธิในการใช้งานของผู้ใช้ออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้ (1) ส่วนของผู้ดูแลระบบ สามารถบริหารจัดการข้อมูลทุกส่วนภายในระบบฐานข้อมูลได้ (2) ส่วนของผู้พัฒนาองค์ความรู้ สามารถเพิ่มข้อมูลทรัพยากรพืช และเอกสารที่ต้องการเผยแพร่ได้ และ (3) ส่วนของผู้ใช้ทั่วไป สามารถสืบค้นข้อมูลทรัพยากรพืช ข้อมูลโครงการ และดาวน์โหลดเอกสารเผยแพร่ของโครงการได้ ผลการประเมินคุณภาพระบบ พบว่า ภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก และผลการประเมินความพึงพอใจ พบว่าภาพรวมอยู่ในระดับมาก</p>
2025-05-20T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/6449
ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความล่าช้าของการก่อสร้างฐานรากอาคารเพื่ออยู่อาศัย ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
2025-05-20T14:08:27+07:00
กฤศภณ ทองประสิทธิ์
t.kritsaphon@gmail.com
<p> งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความล่าช้าของการก่อสร้างฐานรากอาคารเพื่ออยู่อาศัยในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล2)เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความล่าช้าของการก่อสร้างฐานรากอาคารเพื่ออยู่อาศัยในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และ 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางป้องกันความล่าช้าของการก่อสร้างฐานรากอาคารเพื่ออยู่อาศัยในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลกลุ่มตัวอย่างเป็นบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้าง ได้แก่ ช่างควบคุมงาน วิศวกรโครงการ ผู้จัดการโครงการ และผู้บริหารโครงการ จำนวนทั้งสิ้น 376 คน โดยใช้เครื่องมือแบบสอบถามในการรวบรวมข้อมูลวิจัยเชิงปริมาณ และวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าระดับความสำคัญ ค่าร้อยละความเสี่ยง ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อความล่าช้ามากที่สุด คือ ปัจจัยด้านการก่อสร้างเสาเข็มฐานรากรองลงมา ได้แก่ ปัจจัยด้านการเตรียมสถานที่ก่อสร้าง ปัจจัยด้านการหล่อคอนกรีตฐานรากปัจจัยด้านการปรับระดับพื้นที่ก้นหลุมฐานราก ปัจจัยด้านการขุดดินหลุมฐานราก และปัจจัยด้านการถมดินกลบหลุมฐานราก ตามลำดับ 2) ความสัมพันธ์ของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความล่าช้า พบว่า สามารถวิเคราะห์องค์ประกอบและวิเคราะห์เส้นทางความสัมพันธ์ และสร้างโมเดลชี้วัดปัจจัยได้ ประกอบด้วย 6 ปัจจัย 21 ตัวบ่งชี้ และปัจจัยที่มีค่าน้ำหนักความสำคัญมากที่สุด คือ ปัจจัยด้านการหล่อคอนกรีตฐานราก ประกอบด้วย 4 ตัวบ่งชี้ ได้แก่ การเข้าถึงพื้นที่ก่อสร้าง การติดตั้งไม้แบบ ปัญหาจากสภาพภูมิอากาศ และการวางเหล็กเสริมฐานราก และ 3) แนวทางป้องกันปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความล่าช้า จากทัศนะของบุคลากรในโครงการก่อสร้าง พบว่าควรมุ่งเน้นในเรื่องความพร้อม ความเอาใจใส่ และความละเอียดในการทำงานของช่างผู้ควบคุมงานก่อสร้างเป็นหลักรวมถึงการวางแผนการเตรียมความพร้อมของวัสดุอุปกรณ์เครื่องมือ และการตรวจสอบสภาพอากาศ ในแต่ละกิจกรรมก่อนเริ่มทำงาน เพื่อช่วยลดข้อผิดพลาดที่ส่งผลต่อความล่าช้าในอนาคตได้</p>
2025-05-20T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/6450
การออกแบบการเรียนรู้แบบไฮบริดผ่านจักรวาลนฤมิตบนชุมชนการเรียนรู้บนโลกเสมือนผสานไมโครเลิร์นนิงเพื่อส่งเสริมทักษะการรู้ดิจิทัลและเทคโนโลยี
2025-05-20T14:18:32+07:00
อะพินัน สุวันดี
aphinanh1717@gmail.com
พินันทา ฉัตรวัฒนา
pinanta.c@cit.kmutnb.ac.th
<p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสังเคราะห์กรอบแนวคิดการเรียนรู้แบบไฮบริดผ่านจักรวาลนฤมิตบนชุมชนการเรียนรู้บนโลกเสมือนผสานไมโครเลิร์นนิงเพื่อส่งเสริมทักษะการรู้ดิจิทัลและเทคโนโลยี 2) เพื่อออกแบบการเรียนรู้แบบไฮบริดผ่านจักรวาลนฤมิตบนชุมชนการเรียนรู้บนโลกเสมือนผสานไมโครเลิร์นนิงเพื่อส่งเสริมทักษะการรู้ดิจิทัลและเทคโนโลยี 3) เพื่อประเมินความเหมาะสมของการออกแบบการเรียนรู้แบบไฮบริดผ่านจักรวาลนฤมิตบนชุมชนการเรียนรู้บนโลกเสมือนผสานไมโครเลิร์นนิงเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) รูปแบบการเรียนรู้แบบไฮบริดผ่านจักรวาลนฤมิตบนชุมชนการเรียนรู้บนโลกเสมือนผสานไมโครเลิร์นนิงเพื่อส่งเสริมทักษะการรู้ดิจิทัลและเทคโนโลยี และ 2) แบบประเมินความเหมาะสมของการออกแบบการเรียนรู้แบบไฮบริดผ่านจักรวาลนฤมิตบนชุมชนการเรียนรู้บนโลกเสมือนผสานไมโครเลิร์นนิงเพื่อส่งเสริมทักษะการรู้ดิจิทัลและเทคโนโลยี</p> <p> จากผลการวิจัย พบว่า 1) องค์ประกอบรวมของการออกแบบการเรียนรู้แบบไฮบริดผ่านจักรวาลนฤมิตบนชุมชนการเรียนรู้บนโลกเสมือนผสานไมโครเลิร์นนิงเพื่อส่งเสริมทักษะการรู้ดิจิทัลและเทคโนโลยี มีค่าเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับมากที่สุดและ 2) ความเหมาะสมในการออกแบบรูปแบบการเรียนรู้แบบไฮบริดผ่านจักรวาลนฤมิตบนชุมชนการเรียนรู้บนโลกเสมือนผสานไมโครเลิร์นนิงเพื่อส่งเสริมทักษะการรู้ดิจิทัลและเทคโนโลยีมีค่าเฉลี่ยทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุดตามลำดับ</p>
2025-05-20T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025