https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/issue/feed
วารสารพัฒนาเทคนิคศึกษา
2025-10-03T10:05:21+07:00
ดร.จินตนา ถ้ำแก้ว
jintana.t@ited.kmutnb.ac.th
Open Journal Systems
<p><strong>About the Journal</strong><br /><strong>วารสารพัฒนาเทคนิคศึกษา (Journal of Technical Education Development)</strong><br /><strong>ISSN 3057-1510 (PRINT)</strong><br /><strong>ISSN 3057-1618 (ONLINE)</strong><br /> วารสารพัฒนาเทคนิคศึกษา เป็นวารสารเพื่อเผยแพร่ บทความวิชาการ บทความวิจัยที่เกี่ยวกับสหวิทยาการด้านมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ สหวิทยาการด้านการศึกษา การพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรม การจัดการทรัพยากรมนุษย์ การจัดการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมบริการ และ<br />เทคโนโลยีการศึกษา</p> <p> วารสารพัฒนาเทคนิคศึกษา ตีพิมพ์ทั้งรูปเล่มและออนไลน์ โดยกำหนดจัดทำปีละ 4 ฉบับ คือ<br /> • ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม–มีนาคม<br /> • ฉบับที่ 2 เดือนเมษายน–มิถุนายน<br /> • ฉบับที่ 3 เดือนกรกฎาคม–กันยายน<br /> • ฉบับที่ 4 เดือนตุลาคม–ธันวาคม</p> <p> <strong>เกณฑ์การพิจารณาบทความเพื่อตีพิมพ์ในวารสารพัฒนาเทคนิคศึกษา</strong> <br /> วารสารพัฒนาเทคนิคศึกษา มีการประเมินบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชานั้นหรือสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 3 คน ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจากหลากหลายสาขาอาชีพ โดยผู้ประเมิน (Reviewer) ทราบชื่อผู้นิพนธ์(Author แต่ผู้นิพนธ์ (Author) จะไม่ทราบข้อมูลรายชื่อผู้ประเมิน(Reviewer) เป็นการประเมินแบบ Single blind review โดยที่ผู้ประเมินจะพิจารณาประเด็นที่สำคัญของแต่ละบทความดังต่อไปนี้<br /> 1. ผลการวิจัยที่แสดงในบทความจะต้องเป็นผลงานที่แท้จริงของผู้นิพนธ์เอง และต้องหลีกเลี่ยงการคัดลอกผลงาน (Plagiarism)<br /> 2. บทความต้นฉบับมีความยาวไม่เกิน 10 หน้ากระดาษ ต้องเขียนด้วยภาษาไทยและมีการแปลคำศัพท์เทคนิคเป็นภาษาไทยอย่างเหมาะสม และถูกต้องตามหลักไวยากรณ์<br /> 3. บทความวิจัยต้องดำเนินการตามได้มาตรฐานโดยทั่วไปของหลักจริยธรรมการวิจัยที่เกี่ยวข้อง หากมีการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ ผู้นิพนธ์ควรบ่งชี้ว่า ได้ดำเนินการวิจัยตามกระบวนการที่เป็นไปตามมาตรฐานคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์<br /> 4. บรรณาธิการสามารถยุติการประเมินบทความของผู้ประเมิน หากพบว่าไม่สามารถปฏิบัติตามวัตถุประสงค์หรือเงื่อนไข หรือเมื่อผู้ประเมินได้ตกลงที่จะประเมินบทความแล้ว ต่อมาพบว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน สามารถแจ้งบรรณาธิการโดยทันที เพื่อที่จะปฏิเสธการประเมินบทความนั้นต่อไป</p>
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/7434
จริยธรรมกับการบูรณาการปัญญาประดิษฐ์ในระบบการศึกษาไทย: การสร้างสมดุลระหว่างเทคโนโลยีกับคุณค่าทางการเรียนรู้
2025-09-16T10:33:39+07:00
สายสุดา ปั้นตระกูล
saisuda_pan@dusit.ac.th
<p>บทความนี้ศึกษาการวิเคราะห์การบูรณาการปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในระบบการศึกษาไทย โดยให้ความสำคัญกับประเด็นจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับการนำ AI มาใช้ในด้านต่าง ๆ เช่น การประเมินผลรายบุคคล การพัฒนาหลักสูตรที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคลและการส่งเสริมการเรียนรู้แบบโต้ตอบ แม้ว่า AI จะมีศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพการศึกษา แต่ยังมีความท้าทายสำคัญ เช่น การคุ้มครองความเป็นส่วนตัว การจัดการอคติเชิงอัลกอริทึม และการป้องกันการพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไป นอกจากนี้ยังกล่าวถึงกรอบการกำกับดูแลจริยธรรม AI ในประเทศไทยและการปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล มีเป้าหมายเพื่อแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นของการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนานวัตกรรมและการยึดมั่นในหลักจริยธรรม เพื่อให้ AI เป็นเครื่องมือที่ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาทักษะที่สำคัญของเยาวชนในยุคดิจิทัล</p>
2025-09-16T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/7435
การพัฒนารูปแบบศักยภาพผู้จัดการฝ่ายผลิตด้านการบริหารจัดการในโรงงานอุตสาหกรรม ยานยนต์ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์
2025-09-16T11:02:26+07:00
ธนะโรจน์ พงศ์กิตติอิสรา
Tanaroj278@gmail.com
สุชาติ เซี่ยงฉิน
Tanaroj278@gmail.com
ธีรวุฒิ บุณยโสภณ
Tanaroj278@gmail.com
สมนึก วิสุทธิแพทย์
Tanaroj278@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบศักยภาพผู้จัดการฝ่ายผลิตด้านการบริหารจัดการในโรงงานอุตสาหกรรมยานยนต์ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ 2) พัฒนารูปแบบศักยภาพผู้จัดการฝ่ายผลิตด้านการบริหารจัดการในโรงงานอุตสาหกรรมยานยนต์ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ และ3) สร้างคู่มือแนวทางการพัฒนาศักยภาพผู้จัดการฝ่ายผลิตด้านการบริหารจัดการในโรงงานอุตสาหกรรมยานยนต์ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ โดยกลุ่มตัวอย่างที่ทำการศึกษาคือ ผู้บริหารโรงงานอุตสาหกรรมยานยนต์ในเขตพื้นที่ภาคตะวันออก จังหวัดชลบุรี ฉะเชิงเทรา และระยอง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสัมภาษณ์เชิงลึกผู้บริหาร จำนวน 14 คน การกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างจำนวนประชากรโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย ผู้ให้ข้อมูลตอบแบบสอบถาม จำนวน 416 คน และผู้ทรงคุณวุฒิในการประชุมสนทนากลุ่ม จำนวน 16 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ</p> <p>สรุปผลการวิจัยได้ดังนี้ องค์ประกอบการพัฒนาศักยภาพผู้จัดการฝ่ายผลิตด้านการบริหารจัดการในโรงงานอุตสาหกรรมยานยนต์ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ มี 3 องค์ประกอบหลัก ดังนี้ 1) ด้านความรู้ มี 6 องค์ประกอบย่อย ในการพัฒนารูปแบบศักยภาพผู้จัดการฝ่ายผลิต ได้แก่ 1.1) เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ 1.2) นวัตกรรมใหม่ ๆ ในการเชื่อมต่อข้อมูลการผลิต 1.3) การพัฒนาบุคลากรร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ 1.4) การวางแผนการผลิต 1.5) การออกแบบกระบวนการผลิตสอดคล้องกับปัญญาประดิษฐ์ 1.6) การประเมินความเสี่ยง และค่าเฉลี่ยความสำคัญด้านความรู้ อยู่ในระดับมาก ด้านทักษะ มี 7 องค์ประกอบย่อย ได้แก่ 2.1) การบริหารจัดการข้อมูลด้วยปัญญาประดิษฐ์ 2.2) การบริหารการเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิต 2.3) การประสานงานสร้างความเข้าใจในการเปลี่ยนแปลง 2.4) การบังคับบัญชาและสั่งการ 2.5) การควบคุมกระบวนการผลิต 2.6) การประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในกิจกรรมการผลิต 2.7) การปรับปรุงและพัฒนางานด้วยปัญญาประดิษฐ์ และ ค่าเฉลี่ยความสำคัญด้านทักษะ อยู่ในระดับมาก และ 3) ด้านคุณลักษณะที่พึงประสงค์ มี 5 องค์ประกอบย่อย ได้แก่ 3.1) ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงสู่ความสำเร็จ 3.2) ประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดี 3.3) มีคุณธรรมรับฟังความคิดเห็น 3.4) การสร้างความสัมพันธ์ทำงานเป็นทีม 3.5) สำนึกรับผิดชอบต่อหน้าที่ และ ค่าเฉลี่ยความสำคัญด้านคุณลักษณะที่พึงประสงค์ อยู่ในระดับมาก.</p> <p>ผลการประเมินรูปแบบ พบว่าผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 16 คน เห็นว่ารูปแบบมีความเหมาะสม คิดเป็นร้อยละ 100 เปอร์เซ็นต์ และผลการประเมินคู่มือจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ คิดเป็นร้อยละ 100 เปอร์เซ็นต์ ว่ามีความเหมาะและความเป็นไปได้ในการนำไปประยุกต์ใช้</p>
2025-09-16T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/7437
การพัฒนาชุดฝึกอบรมแบบผสมผสานเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะอาชีพนักติดตั้งระบบอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะในงานเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
2025-09-16T11:49:54+07:00
ไชยยะ ธนพัฒน์ศิริ
chaiya.t@rmutsv.ac.th
สุกัญญา ช่วยรักษ์
chaiya.t@rmutsv.ac.th
บุษราคัม ทองเพชร
chaiya.t@rmutsv.ac.th
ปิยะ ประสงค์จันทร์
chaiya.t@rmutsv.ac.th
วาสณา บุญส่ง
chaiya.t@rmutsv.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสมรรถนะอาชีพนักติดตั้งระบบอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะในงานเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำสำหรับผู้เรียนทางด้านอาชีวศึกษา 2) เพื่อพัฒนาชุดฝึกอบรมแบบผสมผสานเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะอาชีพนักติดตั้งระบบอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะในงานเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และ 3) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังจากการใช้ชุดฝึกอบรมแบบผสมผสานที่พัฒนาขึ้น โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง แผนกวิชาไฟฟ้ากำลัง วิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรมการต่อเรือ นครศรีธรรมราช จำนวน 30 คน ซึ่งใช้วิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้วิจัย คือ แบบประเมินความเหมาะสมของแผนการฝึกปฏิบัติการฐานสมรรถนะอาชีพซึ่งใช้เทคนิคการวิเคราะห์สมรรถนะอาชีพแบบการวิเคราะห์เชิงหน้าที่ แบบประเมินคุณภาพของชุดฝึกอบรมแบบผสมผสานสำหรับเสริมสร้างสมรรถนะอาชีพ และ แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนแบบออนไลน์ โดยใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงประมาณ ได้แก่ การแจกแจงความถี่และการหาค่าร้อยละ การวิเคราะห์โดยหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้การทดสอบทีสำหรับกลุ่มตัวอย่างที่เกี่ยวข้องกัน (Paired Samples t-test )</p> <p>ผลจากการวิจัยพบว่า สมรรถนะอาชีพนักติดตั้งระบบอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะในงานเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำสำหรับผู้เรียนทางด้านอาชีวศึกษาประกอบด้วย 2 หน่วยสมรรถนะหลัก 7 สมรรถนะย่อย ความเหมาะสมของแผนการฝึกปฏิบัติการฐานสมรรถนะอาชีพจากผู้เชี่ยวชาญอยู่ในระดับมาก คุณภาพของชุดฝึกอบรมแบบผสมผสานสำหรับเสริมสร้างสมรรถนะอาชีพจากผู้เชี่ยวชาญอยู่ในระดับมาก และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังจากการใช้ชุดฝึกอบรมแบบผสมผสานเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะอาชีพนักติดตั้งระบบอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะในงานเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ผู้เรียนมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าคะแนนก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> สรุปได้ว่าชุดฝึกอบรมแบบผสมผสานที่พัฒนาขึ้นสามารถใช้ในการเสริมสร้างสมรรถนะของผู้เรียนในระดับอาชีวศึกษาบนรูปแบบการเรียนรู้รายบุคคลให้มีสมรรถนะเพียงพอสำหรับรองรับการติดตั้งและดูแลฟาร์มอัจฉริยะทางด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของเกษตรกรในอนาคตได้เป็นอย่างดี</p>
2025-09-16T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/7438
ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการจัดการอาชีวศึกษารูปแบบนอกระบบ แบบมีชั้นเรียน (ภาคสมทบ) ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร
2025-09-16T12:41:02+07:00
นวรัตน์ อนันตภักดิ์
s6402061811561@email.kmutnb.ac.th
สราวุฒิ สืบแย้ม
s6402061811561@email.kmutnb.ac.th
<p>การค้นคว้าอิสระนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับปัจจัย และปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการจัดการอาชีวศึกษารูปแบบนอกระบบ แบบมีชั้นเรียน (ภาคสมทบ) ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร โดยมีกลุ่มเป้าหมายในการเก็บข้อมูลจากสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ในจังหวัดกรุงเทพมหานครที่มีจัดการอาชีวศึกษารูปแบบนอกระบบ แบบมีชั้นเรียน (ภาคสมทบ) จำนวน 8 แห่ง รวมทั้งสิ้น 100 คนโดยเลือกใช้วิธีการเก็บข้อมูลแบบสอบถาม ดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2566 – เดือนมีนาคม 2567สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ</p> <p>ผลการค้นคว้าอิสระพบว่า จากทั้งหมด 6 ปัจจัย ได้แก่ 1) ปัจจัยด้านครูผู้สอน 2) ปัจจัยด้านทรัพยากรในการเรียนการสอน 3) ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม 4) ปัจจัยด้านการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย/ชุมชน5) ปัจจัยด้านหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน และ 6) ปัจจัยด้านผู้เรียน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากส่วนปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการจัดการอาชีวศึกษารูปแบบนอกระบบแบบมีชั้นเรียน (ภาคสมทบ)ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร มากที่สุดคือ ปัจจัยด้านผู้เรียน</p>
2025-09-16T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/7499
การพัฒนารูปแบบศักยภาพหัวหน้าฝ่ายผลิตของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ในยุคประเทศไทย 4.0
2025-09-26T13:33:40+07:00
พลธร พุดกลั่น
Phonlathon.Putklan@seagate.com
สุชาติ เซี่ยงฉิน
Phonlathon.Putklan@seagate.com
ธีรวุฒิ บุณยโสภณ
Phonlathon.Putklan@seagate.com
สมนึก วิสุทธิแพทย์
Phonlathon.Putklan@seagate.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบศักยภาพหัวหน้าฝ่ายผลิต 2) เพื่อพัฒนารูปแบบศักยภาพหัวหน้าฝ่ายผลิต และ 3) เพื่อสร้างคู่มือแนวทางการพัฒนาศักยภาพหัวหน้าฝ่ายผลิตของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในยุคประเทศไทย 4.0 ผู้ให้ข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพ ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้บริหาร และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องด้านการพัฒนาศักยภาพหัวหน้าฝ่ายผลิตในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ทั้งภาครัฐและเอกชน จำนวน 10 ท่าน และหัวหน้างานฝ่ายผลิตในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม และการสนทนากลุ่ม สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ โดยวิธีการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ ผลการวิจัยสรุปว่า องค์ประกอบของรูปแบบศักยภาพหัวหน้าฝ่ายผลิตของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ มี 3 ด้าน และ 14 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ด้านความรู้ มี 5 องค์ประกอบ คือ (1) ความรู้ในด้านเป้าหมาย กลยุทธ์ และจัดการคน (2) ความรู้ในด้านการสอนงานและสร้างทีม (3) ความรู้ในด้านเป้าหมายและการตรวจสอบ (4) ความรู้ในด้านข้อมูลการผลิต และ (5) ความรู้ในด้านการจัดการองค์กรและบริหารคน 2) ด้านทักษะ มี 4 องค์ประกอบ คือ (1) ทักษะด้านการสื่อสารกับทีมงาน (2) ทักษะด้านการพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (3) ทักษะด้านการใช้เทคโนโลยีและจัดเก็บข้อมูล และ (4) ทักษะด้านการบริหารจัดการและการวางแผน และ 3) ด้านคุณลักษณะที่พึงประสงค์ มี 5 องค์ประกอบ คือ (1) คุณลักษณะทางด้านการทำงานร่วมกับผู้อื่น (2) คุณลักษณะทางด้านการเรียนรู้และทักษะการเป็นผู้นำ (3) คุณลักษณะทางด้านความกระตือรือร้นและความอดทน (4) คุณลักษณะทางด้านจริยธรรมและความซื้อสัตย์ และ (5) คุณลักษณะทางด้านลักษณะทางความคิด</p> <p>ทั้งนี้การประเมินรูปแบบและคู่มือฯ พบว่า ผู้ทรงคุณวุฒิมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า รูปแบบที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสมและสามารถนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพหัวหน้าฝ่ายผลิตของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนคู่มือฯ พบว่า ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่ามีความเหมาะสมของเนื้อหาทุกหัวข้อ แสดงให้เห็นว่ารายละเอียดของคู่มือแนวการพัฒนาศักยภาพหัวหน้าฝ่ายผลิตของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ มีเนื้อหาสมบูรณ์เหมาะสม สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้</p>
2025-09-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/7500
ความต้องการจำเป็นในการบริหารจัดการโรงเรียนดนตรีเอกชนในจังหวัดเชียงใหม่
2025-09-26T13:49:24+07:00
พิฎชา รอดอนันต์
jaranyat@gmail.com
จรัญญา เทพพรบัญชากิจ
jaranyat@gmail.com
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ในการบริหารจัดการโรงเรียนดนตรีเอกชนในจังหวัดเชียงใหม่ และ 2) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นในการบริหารจัดการโรงเรียนดนตรีเอกชนในจังหวัดเชียงใหม่ ประชากร ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา 4 คน เจ้าของโรงเรียน 4 คน ครูผู้สอน 43 คน เจ้าหน้าที่ 6 คนจากโรงเรียนดนตรีเอกชนในจังหวัดเชียงใหม่ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวมรวมข้อมูลคือ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และคำถามปลายเปิด ข้อเสนอแนะ 6 ด้าน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ การแจกแจงความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และดัชนีความต้องการ จำเป็น Modified Priority Needs index (PNI Modified Index)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันของการบริหารจัดการโรงเรียนดนตรีเอกชนในจังหวัดเชียงใหม่ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือด้านภาวะผู้นำองค์กร รองลงมา คือ ด้านวัฒนธรรมองค์กร ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการจัดการความรู้ และสภาพที่พึงประสงค์ในการบริหารจัดการโรงเรียนดนตรีเอกชนในจังหวัดเชียงใหม่ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุดเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือด้านภาวะผู้นำองค์กร รองลงมาด้านกระบวนการปฏิบัติงาน ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการจัดการความรู้ 2) ความต้องการจำเป็นในการบริหารจัดการโรงเรียนดนตรีเอกชนในจังหวัดเชียงใหม่โดยเรียงตามลำดับความสำคัญดังนี้ 2.1) ด้านการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ 2.2)ด้านกระบวนการปฏิบัติงาน 2.3) ด้านการจัดการความรู้ 2.4)ด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ 2.5)ด้านวัฒนธรรมองค์กร 2.6)ด้านภาวะผู้นำองค์กร</p>
2025-09-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/7501
รูปแบบการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารสู่อุตสาหกรรมสีเขียวอย่างยั่งยืน
2025-09-26T13:57:08+07:00
ปิยะศิริ ก้องวิริยะไพศาล
piyasiri.rua@stou.ac.th
สมนึก วิสุทธิแพทย์
somnoek.w@itdi.kmutnb.ac.th
ธีรวุฒิ บุณยโสภณ
vhd@kmutnb.ac.th
สุชาติ เซี่ยงฉิน
president@op.kmutnb.ac.th
<p> การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารสู่อุตสาหกรรม<br>สีเขียวอย่างยั่งยืน 2) สร้างรูปแบบการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารสู่อุตสาหกรรมสีเขียวอย่างยั่งยืน และ 3) จัดทำคู่มือแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารสู่อุตสาหกรรมสีเขียวอย่างยั่งยืน การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบเดลฟาย ผู้เชี่ยวชาญ มี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 เป็นผู้เชี่ยวชาญที่ให้ข้อมูลในการสัมภาษณ์เชิงลึกและตอบแบบสอบถาม จำนวน 20 คน กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิในการประชุมสนทนากลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึกแบบกึ่งโครงสร้าง แบบสอบถามเดลฟาย และแบบประเมินรูปแบบและคู่มือ</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า องค์ประกอบการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารสู่อุตสาหกรรมสีเขียวอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลัก คือ 1. ด้านการวางแผน (Plan) มี 4 องค์ประกอบย่อย คือ P1 บริบทองค์กรและความมุ่งมั่น P2 การวางแผนงานด้านกฎหมายและมาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อม P3 การวางแผนการปฏิบัติงานสู่อุตสาหกรรมสีเขียว และ P4 การวางแผนด้านการสนับสนุนการดำเนินงาน 2. ด้านการปฏิบัติการ (Do) มี 5 องค์ประกอบย่อย คือ D1 การปฏิบัติการเตรียมความพร้อมทรัพยากรดำเนินงาน <br>D2 การกำหนดระเบียบปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อม D3 การดำเนินงานตามแผนงาน D4 การปฏิบัติการส่งเสริมสนับสนุน และ D5 การปฏิบัติตามกฎหมายและข้อกำหนด 3. ด้านการติดตามประเมินผล (Check) มี <br>4 องค์ประกอบย่อย คือ C1 การตรวจสอบการจัดทำขั้นตอนการติดตามประเมินผล C2 การปฏิบัติการแก้ไขและมาตรการป้องกัน C3 การตรวจสอบผลการดำเนินงาน และ C4 การทบทวนประเมินผล และ 4. ด้านการปรับปรุงพัฒนา (Act) มี 4 องค์ประกอบย่อย คือ A1 การจัดทำขั้นตอนดำเนินการปรับปรุงพัฒนา A2 การปรับปรุงพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อม A3 การพัฒนาให้ได้ตามมาตรฐานและเป้าหมาย และ A4 การส่งเสริมสู่ความยั่งยืน โดยผลการประเมินความเหมาะสมของรูปแบบและคู่มือแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารสู่อุตสาหกรรมสีเขียวอย่างยั่งยืน โดยผู้เชี่ยวชาญ พบว่า มีความเห็นชอบด้วยมติเอกฉันท์ว่ามีความเหมาะสม สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารและอุตสาหกรรมอื่น ๆ สู่อุตสาหกรรม<br>สีเขียวอย่างยั่งยืนได้</p>
2025-09-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/7502
ชุดฝึกอบรมการวัดและควบคุมอุณหภูมิผ่านแอพพลิเคชั่นจักรวาลนฤมิต
2025-09-26T14:32:26+07:00
ธัญญาลักษณ์ โยมา
thanyalak.yoma@gmail.com
ขรรค์ชัย ตุลละสกุล
thanyalak.yoma@gmail.com
<p> การวิจัยเรื่อง ชุดฝึกอบรมการวัดและควบคุมอุณหภูมิผ่านแอพพลิเคชั่นจักรวาลนฤมิต มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) สร้างสื่อการเรียนการสอนชุดฝึกอบรมการวัดและควบคุมอุณหภูมิในรูปแบบออนไลน์โดยใช้สื่อแอพพลิเคชั่นจักรวาลนฤมิต 2) เปรียบเทียบสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของผู้ที่เรียนด้วยชุดฝึกอบรมที่สร้างขึ้น 3) เปรียบเทียบความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อชุดอบรมที่สร้างขึ้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ได้แก่นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3 แผนกวิชาช่างอิเล็กทรอนิกส์ วิทยาลัยเทคนิคปทุมธานี จำนวน 30 คน โดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) ชุดฝึกอบรมการวัดและควบคุมอุณหภูมิผ่านแอพพลิเคชั่นจักรวาลนฤมิต 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจำนวน 20 ข้อ มีค่าความยากง่ายระหว่าง0.33-0.77 ค่าอำนาจจำแนกรายข้อระหว่าง 0.29-0.71 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.90 3) แบบวัดความพึงพอใจของผู้เรียนในการอบรมการวัดและควบคุมอุณหภูมิผ่านแอพพลิเคชั่นจักรวาลนฤมิต</p> <p>ผลการวิจัยปรากฏดังนี้ 1) ชุดฝึกอบรมการวัดและควบคุมอุณหภูมิผ่านแอพพลิเคชั่นจักรวาลนฤมิตมีค่าคุณภาพเฉลี่ยอยู่ในเกณฑ์ดี 2) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของผู้เรียนที่เรียนด้วยชุดฝึกอบรม พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ยมากกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ผลการศึกษาระดับความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อชุดฝึกอบรม ความพึงพอใจของผู้เรียนในการเรียนด้วยชุดฝึกอบรม โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า มีคุณภาพระดับมากที่สุดทุกด้าน โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ ภาพรวมด้านความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ </p>
2025-09-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/7503
การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการธุรกิจศูนย์บริการยางรถยนต์ครบวงจร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
2025-09-26T14:38:11+07:00
พัลลภ บวรพัฒนานนท์
bti.punlop@yahoo.com
ธีรวัช บุณยโสภณ
teerawat.b@cit.kmutnb.ac.th
ชาญชัย ทองประสิทธิ์
chanchai.t@itdi.kmutnb.ac.th
ธีรวุฒิ บุณยโสภณ
Teravutib.9220@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบการบริหารจัดการธุรกิจศูนย์บริการยางรถยนต์ครบวงจรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน 2) พัฒนารูปแบบการบริหารจัดการธุรกิจศูนย์บริการยางรถยนต์ครบวงจรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และ 3) สร้างคู่มือแนวทางการพัฒนาการบริหารจัดการธุรกิจศูนย์บริการยางรถยนต์ครบวงจร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การวิจัยเป็นการวิจัยเชิงอนาคต และได้กำหนดใช้กระบวนการวิธีวิจัยด้วยเทคนิคเดลฟาย ในการดำเนินการวิจัย กลุ่มผู้ให้ข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้มีทั้งหมด 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่ใช้เทคนิคเดลฟาย จำนวน 21 คน 2) กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมการประชุมสนทนากลุ่ม จำนวน 14 คน 3) กลุ่มผู้เชี่ยวชาญในการประเมินคู่มือ จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง แบบบันทึกการประชุมวิพากษ์ แบบสอบถาม แบบประเมินรูปแบบ และแบบประเมินคู่มือ สถิติที่ใช้ คือการวิเคราะห์ข้อมูลระดับความเห็นในการสอบถาม โดยใช้วิธีการหาค่า<br>มัธยฐาน การวิเคราะห์ข้อมูลความสอดคล้องโดยใช้ค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ และการวิเคราะห์องค์ประกอบ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า องค์ประกอบของการพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการธุรกิจศูนย์บริการยางรถยนต์ครบวงจร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ประกอบด้วย การบริหารจัดการองค์กรสู่ความยั่งยืน มีจำนวน 9 องค์ประกอบย่อย ได้แก่ 1) กำหนดกลยุทธ์ให้องค์กรบรรลุเป้าหมาย 2) กำหนดวิธีดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ 3) วางแผนในการใช้ทรัพยากรได้เหมาะสม 4) ปรับตัวเชิงรุกพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง 5) มีกลยุทธ์การตลาดเชิงรุกตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม 6) สร้างประสบการณ์ประทับใจให้ผู้ใช้บริการ 7) สื่อสารทางบวกนำไปสู่การพัฒนา 8) กำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจน 9) ให้ความช่วยเหลือติดตามประเมินผลการทำงานได้ <br>มีองค์ประกอบแบ่งตาม การจัดสรรทรัพยากรที่เหมาะสม มีจำนวน 7 องค์ประกอบย่อย ได้แก่ 1) มีความรู้ความสามารถบริหารการเงินได้ตามแผนงาน 2) ตอบสนองความพึงพอใจของลูกค้าเป็นอย่างดี 3) สร้างแรงจูงใจให้พนักงานรักองค์กร 4) สร้างแรงจูงใจต่อผู้ใต้บังคับบัญชา 5) นำเทคโนโลยีเครื่องจักรที่ทันสมัยมาใช้ในการทำงาน 6) มอบหมายงานได้อย่างเหมาะสม 7) พนักงานมีใจรักในงานบริการ มีองค์ประกอบแบ่งตาม การบริหารจัดการการตลาดเชิงรุก มีจำนวน 4 องค์ประกอบย่อย ได้แก่ 1) กำหนดแผนการตลาดเชิงกลยุทธ์ 2) สินค้าและบริการมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับของลูกค้า 3) บริหารจัดการสินค้าเก่าให้เกิดประโยชน์สูงสุด <br>4) สามารถวางแผนบริหารด้านต้นทุน และมีองค์ประกอบแบ่งตามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีทั้งภายในและภายนอก มีจำนวน 7 องค์ประกอบย่อย ได้แก่ 1) พัฒนาทีมงานเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ภายใต้สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง 2) สร้างความคิดแบบเติบโตเพื่อเพิ่มยอดขาย 3) ใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงของผู้บริโภค 4) บริหารการสื่อสารทั้งภายในและภายนอก 5) สร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้า 6) ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากกว่าที่คาดหวัง 7) บริหารความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้า โดยการพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการธุรกิจศูนย์บริการยางรถยนต์ครบวงจร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ผู้ทรงคุณวุฒิในการประชุมสนทนากลุ่มมีมติเป็นเอกฉันท์ เห็นว่ามีความเหมาะสม และคู่มือแนวทางการบริหารจัดการธุรกิจศูนย์บริการยางรถยนต์ครบวงจร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ผลการประเมินในภาพรวม ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่ามีความเหมาะสมและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้</p>
2025-09-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/7504
การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างผลการดำเนินงานของบริษัทต่อมูลค่าตลาด : การวิเคราะห์เชิงประจักษ์ของกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย ในช่วงการระบาดของเชื้อไวรัส Covid – 19
2025-09-26T14:50:14+07:00
อัจฉราพรรณ ศรีสวัสดิ์
65109660003@rpu.ac.th
จักรพันธ์ พงษ์เภตรา
65109660003@rpu.ac.th
<p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างผลการดำเนินงานของบริษัทต่อมูลค่าตลาด : การวิเคราะห์เชิงประจักษ์ของกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วงการระบาดของเชื้อไวรัส Covid – 19 กลุ่มตัวอย่างคือบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จำนวน 42 บริษัท ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2563 ถึง พ.ศ. 2565 โดยสถิติที่ใช้ในการวิจัย ประกอบไปด้วย การวิเคราะห์ในลักษณะข้อมูลเชิงพรรณนา (Description Statistics)</p> <p>การวิเคราะห์ในลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรเพื่อการทดสอบค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน (Pearson Correlation Analysis) และการใช้หลักการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุ (Multiple Regression Analysis) ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 เพื่อทำการทดสอบสมมติฐาน ผลการวิจัยพบว่า ตัวแปรอิสระได้แก่ อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวม อัตราผลตอบแทนกำไรต่อหุ้น อัตราผลตอบแทนมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น และอัตราส่วนระหว่างหนี้สินรวมกับสินทรัพย์รวม มีความสัมพันธ์ที่ส่งผลต่อมูลค่าตลาด และตัวแปรอิสระได้แก่ สินทรัพย์รวมของบริษัท อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น และ อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ ไม่มีความสัมพันธ์ที่ส่งผลต่อมูลค่าตลาด</p>
2025-09-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/7505
การพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารพื้นถิ่นที่สะท้อนอัตลักษณ์ชุมชนเพื่อการท่องเที่ยวเชิงผจญภัย ชุมชนบ้านสวนปราง อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี
2025-09-26T14:56:43+07:00
สุทธิพรรณ ชิตินทร
suttipan.chi@sru.ac.th
<p> การวิจัยเรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารพื้นถิ่นที่สะท้อนอัตลักษณ์ชุมชนเพื่อการท่องเที่ยวเชิงผจญภัย ชุมชนบ้านสวนปราง อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ1) พัฒนากลไกการขับเคลื่อนการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารพื้นถิ่น 2) เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารพื้นถิ่นสะท้อนอัตลักษณ์ของชุมชนเพื่อการท่องเที่ยวเชิงผจญภัย ใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน ทั้งรูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง การวิจัยเชิงปริมาณใช้การสุ่มตัวอย่างแบบสะดวกสบาย ผลการวิจัยพบว่า กลไกการขับเคลื่อนการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารพื้นถิ่นสะท้อนอัตลักษณ์ของชุมชนควรมีกลุ่มการดำเนินงานที่เกี่ยวกับด้านอาหารชุมชนที่ขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาการวางแผน การปฏิบัติการ การควบคุมตรวจสอบ และการประเมินผลการปฏิบัติการอย่างเป็นรูปธรรมภายใต้ชื่อกลุ่มอาหารพื้นถิ่นเพื่อการท่องเที่ยวภูริน ใช้หลักเกณฑ์ในการพิจารณาการพัฒนาอาหารพื้นถิ่นจากด้านคุณภาพอาหาร ด้านเอกลักษณ์และความแตกต่าง และด้านกระบวนการผลิต มีผลการพัฒนารายการอาหารพื้นถิ่นที่สะท้อนอัตลักษณ์ชุมชนจำนวน 9 รายการ ประกอบด้วย แกงส้มออดิบปลาจาระเม็ด แกงคั่วหยวกปุดปลาย่าง ต้มหนางหมูสดกับหยวกกล้วย แกงคั่วปลาย่างใบชะพลู แกงคั่วลูกแหมะหมูย่าง แกงส้มหมูเห็ดโคน ปูสวรรค์ ยำสวนปราง และกล้วยฉาบสมุนไพร โดยสามารถนำมาจัดได้เป็นสำรับรายการอาหารพื้นถิ่นสำหรับให้บริการทั่วไป และรายการอาหารพื้นถิ่นประจำฤดูกาล นอกจากนี้งานวิจัยยังมีการสำรวจทัศนคติของนักท่องเที่ยวที่มีต่อการพัฒนาอาหารพื้นถิ่นที่สะท้อนอัตลักษณ์ชุมชนเพื่อการท่องเที่ยวเชิงผจญภัย ชุมชนบ้านสวนปราง พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาอาหารพื้นถิ่นชุมชนบ้านสวนปราง ด้านคุณภาพอาหารในกระบวนการผลิตที่มีมาตรฐานเดียวกัน มีความปลอดภัยในการบริโภคอาหาร และชุมชนควรมีส่วนร่วมในการพัฒนาอาหารเพื่อสร้างภาพภูมิใจในท้องถิ่น โดยมีข้อเสนอแนะในการพัฒนาอาหารพื้นถิ่นให้มีความหลากหลายตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้ากลุ่มต่าง ๆ และเน้นคุณภาพอาหารที่ใสใจด้านความสะอาด ถูกหลักทางโภชนาการ</p>
2025-09-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/7552
การศึกษาพฤติกรรมการมีส่วนร่วมในกิจกรรมพัฒนานักศึกษา ระหว่างนักศึกษา คณะวิทยาศาสตร์ประยุกต์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ กับนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
2025-10-03T09:16:45+07:00
ศรีวิไล ซุยเจริญ
sriwilai.s@sci.kmutnb.ac.th
<p>การศึกษาพฤติกรรมการมีส่วนร่วมในกิจกรรมพัฒนานักศึกษาและความต้องการเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนานักศึกษาจากประชากรคือนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ประยุกต์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ จำนวน 279 คน และนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จำนวน 83 คน โดยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยตามสูตรของ Taro Yomane ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยใช้สถิติ Chi Square สำหรับการวิเคราะห์ความสัมพันธ์และความแตกต่าง และเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาผู้ตอบแบบสอบถามที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมพัฒนานักศึกษาส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาที่มีบุคลิภาพแบบแสดงตัว เพศหญิง กำลังศึกษาในชั้นปีที่ 1 และมีเกรดเฉลี่ยสะสมอยู่ในช่วง 2.50 - 2.99 โดยรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมมาจากเพื่อนหรือกลุ่มนักศึกษา โดยบุคลิกภาพ และชั้นปีมีความสัมพันธ์ของพฤติกรรมการมีส่วนร่วมในกิจกรรมพัฒนานักศึกษา ในขณะที่เพศและเกรดเฉลี่ยสะสม ไม่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการมีส่วนร่วมในกิจกรรมพัฒนานักศึกษา และยังพบว่านักศึกษาส่วนใหญ่มีความต้องการเข้าร่วมกิจกรรมด้านนันทนาการ ที่จัดในภาคการศึกษาที่ 1</p>
2025-10-03T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/7556
การศึกษาปัจจัยด้านการสื่อสารภายในองค์กรที่มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงาน กรณีศึกษา บริษัท บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง จำกัด
2025-10-03T09:57:09+07:00
ปุณยาพร คล้ายเนียม
Poonyaporn.klai@gmail.com
ธีรวัช บุญยโสภณ
teerawat.b@cit.kmutnd.ac.th
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาปัจจัยด้านการสื่อสารภายในองค์กรที่มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงาน กรณีศึกษา บริษัท บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง จำกัด ประชากรที่ศึกษาคือ พนักงานบริษัท บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง จำกัด จำนวน 400 คน โดยจำแนกตาม เพศ อายุ สถานภาพ การศึกษา ระยะเวลาในการทำงาน และรายได้ที่ได้รับ ด้วยวิธีการสำรวจ ซึ่งสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และส่วนการทดสอบสมมติฐานนั้นใช้การทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม โดยใช้สถิติหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรด้วยวิธีวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุคูณ สมมติฐานในการวิจัย 1. พนักงานบริษัทที่มีลักษณะทางประชากรศาสตร์ต่างกัน มีประสิทธิภาพในการทำงานแตกต่างกัน 2. ปัจจัยด้านการสื่อสารภายในองค์กรส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน 3. ปัจจัยด้านทัศนคติต่อการสื่อสาร ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยด้านการสื่อสารภายในองค์กร ได้แก่ รูปแบบที่เป็นระหว่างบุคคล การสื่อสารแบบกลุ่มเล็ก การสื่อสารแบบกลุ่มใหญ่ ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานบริษัท บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง จำกัด และปัจจัยด้านทัศนคติต่อการสื่อสาร ได้แก่ ความรู้และความเข้าใจ ด้านอารมณ์ ความรู้สึก และ ด้านพฤติกรรม ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานบริษัท บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง จำกัด อย่างมีนัยทางสถิติที่ 0.05</p>
2025-10-03T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/7557
การศึกษาความคาดหวังกลยุทธ์ทางการตลาดการท่องเที่ยวเชิงกีฬา ภายใต้สถานการณ์โควิด: กรณีศึกษาสมุยพลัส
2025-10-03T10:05:21+07:00
นาวิน สุขไชยศรี
nawin_mark167@hotmail.com
เสาวลี แก้วช่วย
nawin_mark167@hotmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความคาดหวังและความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว2) เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างความคาดหวังและความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางและกลยุทธ์ทางการตลาดในการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงกีฬาของเกาะสมุยอย่างยั่งยืนกลุ่มตัวอย่างคือนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศที่เดินทางมาท่องเที่ยวที่เกาะสมุยในโครงการ SAMUI PLUS จำนวน 400 ราย และผู้ให้ข้อมูลหลักในการศึกษาเชิงคุณภาพ จำนวน 6 ท่าน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์ข้อมูลแบบสัมภาษณ์</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีระดับความพึงพอใจโดยรวม ความคาดหวัง และการรับรู้กลยุทธ์ทางการตลาดโดยรวมมากที่สุด โดยพบว่า เพศ อายุ สถานภาพ และอาชีพ ที่แตกต่างกันส่งผลให้ระดับความพึงพอใจต่อศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงกีฬาของเกาะสมุย แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 นอกจากนี้ การใช้กลยุทธ์ส่วนประสมทางการตลาดควรเน้นผลิตกัณฑ์โดยส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงกีฬาในชุมชน ด้านราคา พบว่า ควรกำหนดราคาที่พักตามต้นทุน สำหรับช่องทางการจำหน่ายควรกำหนดมาตรการควบคุมและ ป้องกันการแพร่ระบาดของนักท่องเที่ยว สำหรับการส่งเสริมควรปรับแนวทางการท่องเที่ยวเชิงกีฬาให้ ตอบสนองต่อการระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 ให้ดียิ่งขึ้น</p>
2025-10-03T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025