https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/issue/feed
พัฒนาเทคนิคศึกษา
2024-08-26T16:44:14+07:00
ดร.จินตนา ถ้ำแก้ว
jintana.t@ited.kmutnb.ac.th
Open Journal Systems
<p><strong>About the Journal</strong><br /><strong>วารสารพัฒนาเทคนิคศึกษา (Journal of Technical Education Development)</strong><br /><strong>ISSN 0857-5452 ฉบับตีพิมพ์</strong><br /><strong>ISSN 2651-2238 ฉบับออนไลน์</strong><br /> วารสารพัฒนาเทคนิคศึกษา เป็นวารสารเพื่อเผยแพร่ บทความวิชาการ บทความวิจัยที่เกี่ยวกับสหวิทยาการด้านมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ สหวิทยาการด้านการศึกษา การพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรม การจัดการทรัพยากรมนุษย์ การจัดการอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ และเทคโนโลยีการศึกษา</p> <p> วารสารพัฒนาเทคนิคศึกษา ตีพิมพ์ทั้งรูปเล่มและออนไลน์ โดยกำหนดจัดทำปีละ 4 ฉบับ คือ<br /> • ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม–มีนาคม<br /> • ฉบับที่ 2 เดือนเมษายน–มิถุนายน<br /> • ฉบับที่ 3 เดือนกรกฎาคม–กันยายน<br /> • ฉบับที่ 4 เดือนตุลาคม–ธันวาคม</p> <p> <strong>เกณฑ์การพิจารณาบทความเพื่อตีพิมพ์ในวารสารพัฒนาเทคนิคศึกษา</strong> <br /> วารสารพัฒนาเทคนิคศึกษา มีการประเมินบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชานั้นหรือสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 3 คน ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจากหลากหลายสาขาอาชีพ โดยผู้ประเมิน (Reviewer) ทราบชื่อผู้นิพนธ์(Author แต่ผู้นิพนธ์ (Author) จะไม่ทราบข้อมูลรายชื่อผู้ประเมิน(Reviewer) เป็นการประเมินแบบ Single blind review โดยที่ผู้ประเมินจะพิจารณาประเด็นที่สำคัญของแต่ละบทความดังต่อไปนี้<br /> 1. ผลการวิจัยที่แสดงในบทความจะต้องเป็นผลงานที่แท้จริงของผู้นิพนธ์เอง และต้องหลีกเลี่ยงการคัดลอกผลงาน (Plagiarism)<br /> 2. บทความต้นฉบับมีความยาวไม่เกิน 10 หน้ากระดาษ ต้องเขียนด้วยภาษาไทยและมีการแปลคำศัพท์เทคนิคเป็นภาษาไทยอย่างเหมาะสม และถูกต้องตามหลักไวยากรณ์<br /> 3. บทความวิจัยต้องดำเนินการตามได้มาตรฐานโดยทั่วไปของหลักจริยธรรมการวิจัยที่เกี่ยวข้อง หากมีการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ ผู้นิพนธ์ควรบ่งชี้ว่า ได้ดำเนินการวิจัยตามกระบวนการที่เป็นไปตามมาตรฐานคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์<br /> 4. บรรณาธิการสามารถยุติการประเมินบทความของผู้ประเมิน หากพบว่าไม่สามารถปฏิบัติตามวัตถุประสงค์หรือเงื่อนไข หรือเมื่อผู้ประเมินได้ตกลงที่จะประเมินบทความแล้ว ต่อมาพบว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน สามารถแจ้งบรรณาธิการโดยทันที เพื่อที่จะปฏิเสธการประเมินบทความนั้นต่อไป</p>
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/4973
การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการขยะอย่างยั่งยืนของชุมชนโพธิ์ซ้ายร่มเย็น ตำบลนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
2024-08-22T00:31:10+07:00
คงศักดิ์ บุญอาชาทอง
saisuda_pan@dusit.ac.th
ชูติวรรณ บุญอาชาทอง
saisuda_pan@dusit.ac.th
สายสุดา ปั้นตระกูล
saisuda_pan@dusit.ac.th
<p> ปัญหาขยะเป็นปัญหาสำคัญของสังคมไทย ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ทำให้ปริมาณขยะเพิ่มมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อปัญหาสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ประชาชนเจ็บป่วย การจัดการขยะไม่ถูกต้องส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและกลายเป็นปัญหาต่อเนื่อง ซึ่งหนึ่งในสาเหตุหลัก คือ การขาดความร่วมมือของคนในชุมชน การจัดการปัญหาขยะจึงต้องอาศัยกระบวนการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนร่วมกันแก้ไข ด้วยการลดขยะและการคัดแยกขยะ โดยใช้หลัก 3Rs เพื่อลดปัญหาการเกิดขยะและลดระยะเวลาในการกำจัดขยะ ซึ่งชุมชนบ้านโพธิ์ซ้ายร่มเย็น อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้นำแนวทาง 3R ไปปฏิบัติจนประสบผลสำเร็จ ได้รับการคัดเลือกเป็นหมู่บ้านต้นแบบในการจัดการขยะมูลฝอยชุมชนและเป็นแหล่งเรียนรู้แห่งแรกในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา</p>
2024-08-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 พัฒนาเทคนิคศึกษา
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/4975
การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมออนไลน์ เรื่องก้าวแรกสู่การเป็นนักวิจัยมืออาชีพ ตามแนวคิดการเรียนรู้แบบผสมผสานเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะด้านการวิจัยของนักศึกษาครูช่างอุตสาหกรรม ยุค Thailand 4.0
2024-08-22T12:37:58+07:00
บุษราคัม ทองเพชร
Bussarakam.t@rmutsv.ac.th
ไชยยะ ธนพัฒน์ศิริ
Bussarakam.t@rmutsv.ac.th
สมพงษ์ แก้วหวัง
Bussarakam.t@rmutsv.ac.th
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาและประเมินรูปแบบหลักสูตรฝึกอบรมออนไลน์เรื่องก้าวแรกสู่การเป็นนักวิจัยมืออาชีพ ตามแนวคิดการเรียนรู้แบบผสมผสานเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะด้านการวิจัยของนักศึกษาครูช่างอุตสาหกรรม ยุคThailand 4.0 และ 2) พัฒนาและหาประสิทธิภาพหลักสูตรฝึกอบรมออนไลน์เรื่องก้าวแรกสู่การเป็นนักวิจัยมืออาชีพ ตามแนวคิดการเรียนรู้แบบผสมผสานเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะด้านการวิจัยของนักศึกษาครูช่างอุตสาหกรรม ยุคThailand 4.0 เครื่องมือที่ใช้สำหรับการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ 1) แบบประเมินคุณภาพของรูปแบบหลักสูตรฝึกอบรมออนไลน์สำหรับผู้เชี่ยวชาญ 2) แบบประเมินคุณภาพของระบบหลักสูตรฝึกอบรมออนไลน์สำหรับผู้เชี่ยวชาญ 3) แบบทดสอบก่อนเรียน แบบทดสอบหลังเรียน แบบฝึกหัดระหว่างเรียน และใบงาน โดยกลุ่มตัวอย่างสำหรับการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญ และนักศึกษาหลักสูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรมบัณฑิตสาขาวิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย ซึ่งเป็นนักศึกษาในชั้นปีที่ 4 ที่ลงทะเบียนเรียนในภาคการศึกษาที่ 2/2562 และผ่านการเรียนในรายวิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้สำหรับครูวิชาชีพมาแล้ว ในภาคการศึกษาที่ 1/2562 จำนวนทั้งหมด 30 คน โดยใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง</p> <p> ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1) รูปแบบหลักสูตรฝึกอบรมออนไลน์เรื่องก้าวแรกสู่การเป็นนักวิจัยมืออาชีพ ตามแนวคิดการเรียนรู้แบบผสมผสานเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะด้านการวิจัยของนักศึกษาครูช่างอุตสาหกรรม ยุคThailand 4.0 มีคุณภาพอยู่ในระดับมาก 2) ระบบหลักสูตรฝึกอบรมออนไลน์เรื่องก้าวแรกสู่การเป็นนักวิจัยมืออาชีพ ที่พัฒนาขึ้น มีคุณภาพด้านเนื้อหาอยู่ในระดับมาก และมีคุณภาพด้านเทคนิคอยู่ในระดับมาก 3) หลักสูตรฝึกอบรมออนไลน์เรื่องก้าวแรกสู่การเป็นนักวิจัยมืออาชีพ ตามแนวคิดการเรียนรู้แบบผสมผสานเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะด้านการวิจัยของนักศึกษาครูช่างอุตสาหกรรม ยุคThailand 4.0 มีประสิทธิภาพ 84.53/85.46</p>
2024-08-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/4979
การพัฒนารูปแบบศักยภาพนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลขององค์กรในยุคดิจิทัล
2024-08-22T15:39:20+07:00
จิรัซย์ เหรียญชัยวานิช
zzzjirusszzz@gmail.com
ธีรวัช บุณยโสภณ
teerawat.b@bid.kmutnb.ac.th
ทวีศักดิ์ รูปสิงห์
taweesak.r@fba.kmutnb.ac.th
ปรีดา อัตวินิจตระการ
Peda180303@gmail.com
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบที่สำคัญของรูปแบบศักยภาพนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลขององค์กรในยุคดิจิทัล และ 2) พัฒนารูปแบบศักยภาพนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลขององค์กรในยุคดิจิทัล การวิจัยครั้งนี้ดำเนินการด้วยระเบียบวิธีการวิจัยแบบการวิจัยแบบผสม ในส่วนของการวิจัยเชิงคุณภาพได้ใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึกแบบกึ่งโครงสร้างเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล โดยการสัมภาษณ์มีผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 11 คน เพื่อวิเคราะห์เชิงเนื้อหา และในส่วนของการวิจัยเชิงปริมาณ จะใช้แบบสอบถามให้ ผู้บริหารงานวิทยาศาสตร์ข้อมูล นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล นักวิทยาการข้อมูล หรือ นักวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ จำนวน 255 คน จากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เพื่อหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และนำมาวิเคราะห์องค์ประกอบ เพื่อจัดทำรูปแบบศักยภาพนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลขององค์กรในยุคดิจิทัล</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนารูปแบบศักยภาพนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลขององค์กรในยุคดิจิทัล ประกอบด้วย 9 องค์ประกอบ โดยแบ่งเป็นรูปแบบสมรรถนะ 3 ด้าน ประกอบด้วย ด้านความรู้ (Knowledge) มี 3 องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบที่ 1 ความรู้พื้นฐานด้านงานวิทยาศาสตร์ข้อมูล องค์ประกอบที่ 2 ความรู้ในธุรกิจ และ องค์ประกอบที่ 3 ความรู้ในบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบ ด้านทักษะ (Skills) มี 3 องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบที่ 1 ด้านการทำงานร่วมกับผู้อื่น องค์ประกอบที่ 2 ด้านการวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูล และ องค์ประกอบที่ 3 ด้านการนำเสนอผลงาน และ 3) ด้านคุณลักษณะ (Attribute) มี 3 องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบที่ 1 ด้านเจตคติที่ดีในวิชาชีพ องค์ประกอบที่ 2 ด้านพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และ องค์ประกอบที่ 3 ด้านวุฒิภาวะทางอารมณ์</p>
2024-08-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/4986
ความสัมพันธ์ระหว่างการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้กับความก้าวหน้าในงานของพนักงานในองค์กรการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT)
2024-08-23T14:10:33+07:00
ณัฐพงษ์ สืบจันทร์
atomnatta.aa@gmail.com
วรกมล วิเศษศรี
atomnatta.aa@gmail.com
จุฑารัตน์ ปิณฑะแพทย์
atomnatta.aa@gmail.com
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ และความก้าวหน้าในงานของพนักงานในองค์กรการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 2) เพื่อเปรียบเทียบการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้และความก้าวหน้าในงานของพนักงานในองค์กรการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่มีข้อมูลส่วนบุคคลที่แตกต่างกัน และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้กับความก้าวหน้าในงานของพนักงานในองค์กรการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพ และการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษามี 2 กลุ่ม คือ 1) ผู้บริหารระดับสูง ตำแหน่งผู้อำนวยการ เพื่อสัมภาษณ์ จำนวน 5 คน 2) พนักงานทั่วไป เพื่อตอบแบบสอบถาม จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างและแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล สถิติเชิงพรรณนา คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้และความก้าวหน้าในงานของพนักงานโดยรวม อยู่ในระดับมาก 2) ข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงานที่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้และความก้าวหน้าในงานของพนักงาน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 คือ อายุ ระดับการศึกษา และอายุงาน และที่ไม่มีความแตกต่างกัน คือ เพศ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้กับความก้าวหน้าในงานของพนักงาน พบว่า โดยรวมมีความสัมพันธ์อยู่ในระดับสูงมาก</p>
2024-08-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/4988
การศึกษาคุณลักษณะพึงประสงค์ของพนักงานขายในสถานประกอบการประเภทเครื่องมือไฟฟ้าไร้สาย ในยุคดิจิทัล
2024-08-23T16:09:53+07:00
พีรเชฏฐ์ ลบช้าง
peerachet.lo@gmail.com
วรกมล วิเศษศรี
peerachet.lo@gmail.com
ชุลีวรรณ โชติวงษ์
peerachet.lo@gmail.com
<p> การวิจัยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณลักษณะพึงประสงค์ของพนักงานขายในสถานประกอบการประเภทเครื่องมือไฟฟ้าไร้สายในยุคดิจิทัล เปรียบเทียบกับคุณลักษณะส่วนบุคคล 2) เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะส่วนบุคคลกับคุณลักษณะพึงประสงค์ของพนักงานขายในสถานประกอบการประเภทเครื่องมือไฟฟ้าไร้สายในยุคดิจิทัล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษาเป็นพนักงานขายในสถานประกอบการประเภทเครื่องมือไฟฟ้าไร้สาย ในเขตจังหวัดกรุงเทพมหานครและนนทบุรี จำนวน 228 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ T-test, F-test เทคนิค One-Way ANOVA และการวิเคราะห์ไคสแควร์</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณลักษณะพึงประสงค์ของพนักงานขายโดยรวม อยู่ในระดับมาก 2) การเปรียบเทียบคุณลักษณะส่วนบุคคลกับคุณลักษณะพึงประสงค์ของพนักงานขาย ที่มีความคิดเห็นแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือ อายุ ระดับการศึกษา ตำแหน่งงาน ประสบการณ์ด้านงานขาย และรายได้ต่อเดือน และที่ไม่ความแตกต่างกันทางสถิติ คือ เพศ และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะส่วนบุคคลกับคุณลักษณะพึงประสงค์ของพนักงานขายโดยรวม พบว่า คุณลักษณะส่วนบุคคล ด้านรายได้ต่อเดือน มีค่าสัมประสิทธิ์การจรสูงสุด เท่ากับ 0.84</p>
2024-08-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/4993
การควบคุมอุณหภูมิโดยใช้สารละลายแคลเซียมคลอไรด์แยกน้ำในอากาศ
2024-08-26T09:15:45+07:00
กรวิก บัวคำ
koravik.b@cit.kmutnb.ac.th
<p> สารละลายแคลเซียมคลอไรด์มีคุณสมบัติสามารถดูดความชื้นได้ดี ซึ่งจะทำงานได้ดีเมื่อเป็นสถานะของเหลว โดยนำมาละลายกับน้ำซึ่งจะได้เป็นสารละลายแคลเซียมคลอไรด์ โดยกระบวนการใช้สารละลายแคลเซียมคลอไรด์ด้วยเครื่องดูดซับความชื้นด้วยขดท่อความร้อน เพื่อควบคุมอุณหภูมิ กับห้องจำลองควบคุมสภาวะอากาศ และนำสารละลายมาเป็นตัวกลางในการดูดซับความชื้นและความร้อน ทำการทดสอบเก็บค่า อุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ ภายในและภายนอกเพื่อหาความแตกต่างระหว่างภายในและภายนอก ทำการทดสอบ 2 แบบคือ ใช้สารละลายแคลเซียมคอลไลด์เป็นตัวกลาง กับ ทดสอบสภาวะปกติ นำข้อมูลที่มาคำนวณในโปรแกรม Psychrometric Diagram เพื่อหาปริมาณไอน้ำที่ระบบสามารถดูดซับออกมาจากห้องทดสอบ ทำการทดสอบช่วงเวลากลางวันเป็นเวลา 6 ชั่วโมง ต่อวันเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ต่อการทดลอง </p> <p> จากผลการทดลองพบว่า สารละลายแคลเซียมคลอไรด์ เมื่อนำมาเป็นตัวกลางในการนำมาดูดซับความชื้น และค่าความร้อน โดยความร้อนภายนอนห้องทดสอบเฉลี่ยอยู่ที่ 38.40<sup>๐</sup>c ที่ความชื้น เฉลี่ย 41.67 %RH และห้องทดสอบที่ใช้สารละลายแคลเซียมคลอไรด์อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ 31.22 <sup>๐</sup>c ที่ความชื้น เฉลี่ย 60.16 %RH ห้องทดสอบสภาวะปกติ 35.2 <sup>๐</sup>c ความชื้นเฉลี่ย 61.5 %RH และจากการวิเคราะห์ผลการทดสอบพบว่าเมื่อใช้เครื่องดูดซับความชื้นด้วยขดท่อความร้อนมีความแตกต่างของอุณหภูมิ 7.18 องศาเซลเซียส คิดเป็นร้อยละ 10.45 เมื่อเทียบกับห้องสภาวะปกติ ปริมาณไอน้ำที่ระบบสามารถดูดซับออกมาจากห้องทดสอบสามารถดูดซับออกมาได้ 2.67 g/kg<sub>air</sub></p>
2024-08-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/4994
การศึกษาความเป็นไปได้ของวารสารวิชาการด้านการบิน สถาบันการบินพลเรือน
2024-08-26T13:17:05+07:00
วรันตรี ปลั่งวัฒนะ
warantri@catc.or.th
กรวิทย์ มหาคุณวงศ์
korawit@catc.or.th
อัญยาณีย์ เกตุพันธุ์
Aunyanee.kate@crru.ac.th
<p> การวิจัยเรื่อง การศึกษาความเป็นไปได้ของวารสารวิชาการด้านการบินสถาบันการบินพลเรือน เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์การวิจัย คือ 1. เพื่อศึกษาความต้องการในการจัดทำวารสารวิชาการด้านการบินสถาบันการบินพลเรือน และ 2. เพื่อศึกษาปัญหา และแนวทางในการบริหารงานของการจัดทำวารสารวิชาการด้านการบินสถาบันการบินพลเรือน วิธีการดำเนินการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ บุคลากรสถาบันการบินพลเรือน ได้แก่ ผู้บริหาร อาจารย์ เจ้าหน้าที่ จำนวน 5 คน โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Random Sampling Method) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบตรวจสอบรายการ (Checklist) และแบบสัมภาษณ์เชิงลึก (In-Depth Interview) ซึ่งผู้วิจัยจะใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา (Descriptive Analysis)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการสำรวจความต้องการในการจัดทำวารสารวิชาการด้านการบินสถาบันการบินพลเรือนของบุคลากรสถาบันการบินพลเรือน ได้แก่ ผู้บริหาร อาจารย์ เจ้าหน้าที่ จำนวน 5 คน พบว่ามีความต้องการในการจัดทำวารสารวิชาการด้านการบินสถาบันการบินพลเรือน ร้อยละ 100 2. ผลการวิเคราะห์ปัญหาและแนวทางในการบริหารงานของการจัดทำวารสารวิชาการด้านการบินสถาบันการบินพลเรือน มีค่าเฉลี่ยที่จำแนกได้ 4 ด้าน ได้แก่ ลำดับที่ 1 ด้านกระบวนการบริหาร มีค่าเฉลี่ยสูงสุดที่ 3.45 รองลงมาในลำดับที่ 2 ด้านวัสดุอุปกรณ์ มีค่าเฉลี่ย 3.19 ลำดับที่ 3 ด้านบุคลากร มีค่าเฉลี่ย 3.03 และลำดับที่ 4 ด้านงบประมาณ มีค่าเฉลี่ย 2.79 ตามลำดับ</p>
2024-08-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/4995
การพัฒนารูปแบบศักยภาพของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อสุขภาพในยุคดิจิทัล
2024-08-26T14:13:35+07:00
เชาวลิต อุปฐาก
chaowalit.a@rmutp.ac.th
สุภัททา ปิณฑะแพทย์
supattapin@yahoo.com
ธีรวุฒิ บุณยโสภณ
tvb@kmutnb.ac.th
สุชาติ เชี่ยงฉิน
president@op.kmutnb.ac.th
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบศักยภาพของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารสำหรับผู้สูงอายุเพื่อสุขภาพในยุคดิจิทัล 2) พัฒนารูปแบบศักยภาพผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารสำหรับผู้สูงอายุเพื่อสุขภาพในยุคดิจิทัล 3) สร้างคู่มือแนวทางการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารสำหรับผู้สูงอายุเพื่อสุขภาพในยุคดิจิทัล เป็นการวิจัยแบบผสมผสานเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ โดยกลุ่มผู้ให้ข้อมูลในการวิจัย ประกอบด้วย กลุ่มผู้ให้ข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึก กลุ่มผู้ตอบแบบสอบถาม กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิในการประชุมสนทนากลุ่ม และกลุ่มกลุ่มผู้เชี่ยวชาญในการประเมินคู่มือ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์องค์ประกอบ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบศักยภาพผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารสำหรับผู้สูงอายุเพื่อสุขภาพในยุคดิจิทัล ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลัก ดังนี้ องค์ประกอบที่ 1) การบริหารองค์กร มีจำนวน 4 องค์ประกอบย่อย ได้แก่ 1.1 หลักในการบริหารองค์กร 1.2 กระบวนการบริหารองค์กร 1.3 นวัตกรรมการเงินและบัญชี 1.4 เทคโนโลยีสารสนเทศด้านการเงินและบัญชี องค์ประกอบที่ 2) ความรู้อาหารเพื่อสุขภาพ มีจำนวน 3 องค์ประกอบย่อย ได้แก่ 2.1 ความรู้ด้านอาหารและโภชนาการ 2.2 ความรู้ด้านวัตถุดิบ 2.3 ความรู้ด้านการใช้บรรจุภัณฑ์ องค์ประกอบที่ 3) การบริหารการผลิต มีจำนวน 4 องค์ประกอบย่อย ได้แก่ 3.1 ความรู้เกี่ยวกับการจัดการการผลิต 3.2 กระบวนการผลิตตามประเภทสินค้า 3.3 มาตรฐานการประกอบอาหาร 3.4 จรรยาบรรณในการประกอบอาหาร และ องค์ประกอบที่ 4) การสื่อสารทางการตลาด มีจำนวน 3 องค์ประกอบย่อย ได้แก่ 4.1 การสื่อสารในตลาดดิจิทัล 4.2 การสื่อสารกับลูกค้าในตลาดทั่วไป 4.3 การสื่อสารในสังคมผู้สูงอายุ และ 2.) รูปแบบและคู่มือแนวทางในการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารสำหรับผู้สูงอายุเพื่อสุขภาพในยุคดิจิทัล ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 การแนะนำการใช้คู่มือ และส่วนที่ 2 แนวทางการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารสำหรับผู้สูงอายุเพื่อสุขภาพในยุคดิจิทัล รูปแบบศักยภาพผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารสำหรับผู้สูงอายุเพื่อสุขภาพในยุคดิจิทัลได้รับการเห็นชอบจากผู้ทรงคุณวุฒิด้วยมติเป็นเอกฉันท์ และคู่มือแนวทางได้รับการประเมินจากผู้เชียวชาญในด้านความเหมาะสมในการนำไปประยุกต์ใช้ในระดับดีเพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารสำหรับผู้สูงอายุเพื่อสุขภาพในยุคดิจิทัลได้</p>
2024-08-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/4996
การพัฒนาคู่มือการตรวจสภาพก่อนขับขี่ของรถบรรทุกที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอัดเป็นเชื้อเพลิง
2024-08-26T15:27:18+07:00
ชัยยศ ดำรงกิจโกศล
chaiyot.d@cit.kmutnb.ac.th
<p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาคู่มือการตรวจสภาพก่อนขับขี่ของรถบรรทุกที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอัดเป็นเชื้อเพลิง และ 2) ศึกษาผลการใช้คู่มือการตรวจสภาพก่อนขับขี่ของรถบรรทุกที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอัดเป็นเชื้อเพลิง กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ผู้ขับขี่รถบรรทุกที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอัดเป็นเชื้อเพลิงจำนวน 15 คน โดยเลือกกลุ่มเป้าหมายด้วยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง ขั้นตอนการวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนหลักได้แก่ (1) การศึกษาเอกสาร ข้อมูล งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสภาพก่อนขับขี่ของรถบรรทุก และระบบการใช้ก๊าซธรรมชาติอัดเป็นเชื้อเพลิง (2) การพัฒนาคู่มือการตรวจสภาพก่อนขับขี่ของรถบรรทุกที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอัดเป็นเชื้อเพลิง และ (3) การทดลองใช้คู่มือการตรวจสภาพก่อนขับขี่ของรถบรรทุกที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอัดเป็นเชื้อเพลิงที่พัฒนาขึ้น โดยการวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) คู่มือการตรวจสภาพก่อนขับขี่ของรถบรรทุกที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอัดเป็นเชื้อเพลิงที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 3 หัวข้อหลัก คือ (1) การตรวจเอกสารประจำรถ (2) การตรวจสภาพรถบรรทุกที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอัดเป็นเชื้อเพลิงตามหลักการ BEWAGON และ (3) การตรวจอุปกรณ์ความปลอดภัยและอุปกรณ์สำหรับการขนส่งประจำรถ โดยผลการประเมินคู่มือโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 10 ท่านพบว่าคู่มือการตรวจสภาพก่อนขับขี่ของรถบรรทุกที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอัดเป็นเชื้อเพลิงมีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด 2) ผลการนำคู่มือการตรวจสภาพก่อนขับขี่ของรถบรรทุกที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอัดเป็นเชื้อเพลิงไปใช้พบว่า ผลการประเมินพฤติกรรมในการปฏิบัติงานการตรวจสภาพก่อนขับขี่คิดเป็นคะแนนร้อยละ 86.67 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ร้อยละ 75 และผลการประเมินความคิดเห็นต่อการใช้คู่มือการตรวจสภาพในภาพรวมอยู่ในระดับพึงพอใจมาก</p>
2024-08-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/4997
การพัฒนารูปแบบศักยภาพผู้บริหารฝ่ายควบคุมคุณภาพในอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ เพื่อการแข่งขัน
2024-08-26T15:42:29+07:00
วีระ แสงฮวด
weera.9981@gmail.com
สุชาติ เซี่ยงฉิน
president@op.kmutnb.ac.th
ธีรวุฒิ บุณยโสภณ
tvb@kmutnb.ac.th
ทวีศักดิ์ รูปสิงห์
taweesak.r@fba.kmutnb.ac.th
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบในการพัฒนาศักยภาพผู้บริหารฝ่ายควบคุมคุณภาพในอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เพื่อการแข่งขัน และ 2) พัฒนารูปแบบศักยภาพของผู้บริหารฝ่ายควบคุมคุณภาพในอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ให้ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์ จำนวน 9 คน และผู้ให้ข้อมูลเชิงปริมาณโดยการตอบแบบสอบถาม จำนวน 380 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ และแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ ได้แก่ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ เบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์องค์ประกอบ (Factor Analysis)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า องค์ประกอบในการพัฒนาศักยภาพผู้บริหารฝ่ายควบคุมคุณภาพในอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เพื่อการแข่งขัน ประกอบด้วย ศักยภาพ 3 ด้าน คือ ด้านความรู้ ด้านทักษะ และด้านคุณลักษณะ โดยศักยภาพในแต่ละด้านประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก ดังนี้ ด้านความรู้ มี 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ด้านระบบงานในองค์กร ด้านการควบคุมคุณภาพ ด้านการกำหนดกลยุทธ์ในการควบคุมคุณภาพ และ ด้านความต้องการของลูกค้า ด้านทักษะ ได้แก่ ด้านการบริหารงานด้านคุณภาพ ด้านการจัดการเทคโนโลยีดิจิทัล ด้านการจัดการข้อมูลและการสื่อสาร ด้านการบริหารภายใต้การเปลี่ยนแปลง และด้านการวิเคราะห์ปัญหาเชิงลึก และด้านคุณลักษณะ ได้แก่ ด้านภาวะความเป็นผู้นำ ด้านความคิดเชิงสร้างสรรค์ ด้านการให้ความสำคัญกับทีมงาน และด้านจิตสำนึกเชิงคุณภาพ</p>
2024-08-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/4998
การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการอุตสาหกรรมโรงโม่และเหมืองหินเพื่อการแข่งขัน
2024-08-26T16:11:46+07:00
อมรรัตน์ ชุมภู
amonchum@gmail.com
สักรินทร์ อยู่ผ่อง
amonchum@gmail.com
ธีรวุฒิ บุณยโสภณ
tvb@kmutnb.ac.th
สมนึก วิสุทธิแพทย์
somnoek.w@itdi.kmutnb.ac.th
<p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบของรูปแบบการบริหารจัดการอุตสาหกรรมโรงโม่และเหมืองหินเพื่อการแข่งขัน 2) พัฒนารูปแบบการบริหารจัดการอุตสาหกรรมโรงโม่และเหมืองหินเพื่อการแข่งขัน 3) จัดทำคู่มือแนวทางการบริหารจัดการอุตสาหกรรมโรงโม่และเหมืองหินเพื่อการแข่งขัน การวิจัยครั้งนี้ดำเนินการด้วยการวิจัยแบบผสมผสาน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์เชิงลึกกึ่งโครงสร้าง และแบบสอบถาม โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกมีผู้เชี่ยวชาญจำนวน 10 คน กลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถาม จำนวน 297 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ผลโดยใช้การศึกษาองค์ประกอบเชิงสำรวจ หลังจากนั้นทำการยืนยันร่างรูปแบบที่พัฒนาโดยการสนทนากลุ่มของผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 15 คน และร่างคู่มือจะถูกนำมาประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่าองค์ประกอบที่สำคัญในการบริหารจัดการอุตสาหกรรมโรงโม่และเหมืองหินเพื่อการแข่งขัน มี 5 มิติ 14 องค์ประกอบ ประกอบด้วย มิติที่ 1 ประสิทธิภาพองค์กร ได้แก่องค์ประกอบ 1.1) กระบวนการจัดการ 1.2) คุณลักษณะผู้บริหาร 1.3) เทคโนโลยีและการสร้างความแตกต่าง และ 1.4) พันธมิตรทางการค้า มิติที่2 ทุนทางปัญญา ได้แก่องค์ประกอบ 2.1) พนักงานเครื่องจักรและความปลอดภัย 2.2) คุณภาพสินค้าและความได้เปรียบ 2.3) การบริหารการเงิน และ 2.4) การโฆษณา การกำหนดราคา และการจ้างภายนอก มิติที่ 3 ทุนทางสังคม ได้แก่องค์ประกอบ 3.1) ความรับผิดชอบต่อสังคม และ 3.2) ความสัมพันธ์ชุมชน มิติที่ 4 สิ่งแวดล้อม ได้แก่องค์ประกอบ 4.1) การจัดการสิ่งแวดล้อม และ 4.2) การเข้าร่วมโครงการและมาตรฐานสิ่งแวดล้อม มิติที่ 5 ภาครัฐและกฎระเบียบภาครัฐ ได้แก่ องค์ประกอบ 5.1) กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และ 5.2) ความสัมพันธ์ที่ดีกับภาครัฐ ผลการประเมินรูปแบบการและคู่มือได้รับความเห็นชอบจากผู้ทรงคุณวุฒิด้วยมติเป็นเอกฉันท์ และได้นำคู่มือไปทดลองใช้ในอุตสาหกรรมโรงโม่และเหมืองหิน 5 แห่งพบว่าผลการประเมินความพึงพอใจมีค่าเท่ากับ 4.88 อยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด</p>
2024-08-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/4999
การศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการจำเป็นฝึกอบรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของพนักงานขาย ในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ไม้ : กรณีศึกษา บริษัท วนชัย วู้ดสมิธ จำกัด
2024-08-26T16:24:43+07:00
สุภัสสรา ฝั้นเมา
Supassara_dear@hotmail.co.th
สักรินทร์ อยู่ผ่อง
skr@kmutnb.ac.th
ไพโรจน์ สถิรยากร
pairote.s@fte.kmutnb.ac.th
<p> การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการปฏิบัติงานของพนักงานขายในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ไม้และศึกษาความต้องการจำเป็นฝึกอบรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของพนักงานขาย ในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ไม้ เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาประเภทการสำรวจ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ พนักงานขายของบริษัท วนชัย วู้ดสมิธ จำกัด จำนวน 216 คน ประกอบด้วย พนักงานขาย จำนวน 181 คน และหัวหน้าสาขา จำนวน 35 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและจัดเรียงลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นโดยใช้วิธี Modified Priority Needs Index (PNI Modified)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัญหาในปัจจุบันพนักงานขายของบริษัท วนชัย วู้ดสมิธ จำกัด มีสภาพปัญหาปัจจุบันโดยรวม อยู่ในระดับปานกลาง เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านทักษะ ด้านความรู้ และด้านคุณลักษณะพึงประสงค์ ตามลำดับ 2) ความต้องการฝึกอบรมพนักงานขายของบริษัท วนชัย วู้ดสมิธ จำกัด โดยรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาความต้องการจำเป็นฝึกอบรม เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านคุณลักษณะพึงประสงค์ ด้านความรู้ และด้านทักษะตามลำดับ และ 3) ข้อเสนอแนะ ควรจัดให้มีการฝึกอบรมพนักงานขาย บริษัท วนชัย วู้ดสมิธ จำกัด เพื่อให้เกิดความรู้ ความสามารถ ทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านคุณลักษณะพึงประสงค์ ด้านความรู้ และด้านทักษะ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานขาย</p>
2024-08-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/5000
รูปแบบการพัฒนาศักยภาพของผู้บริหารสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล
2024-08-26T16:34:30+07:00
อดิศักดิ์ วรพิวุฒิ
adisakw@hotmail.com
สมนึก วิสุทธิแพทย์
somnoek.w@itdi.kmutnb.ac.th
ธีรวุฒิ บุณยโสภณ
tvb@kmutnb.ac.th
ชาญชัย ทองประสิทธิ์
adisakw@hotmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบของรูปแบบการพัฒนาศักยภาพของผู้บริหารสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อสร้างรูปแบบการพัฒนาศักยภาพของผู้บริหารสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล และ เพื่อจัดทำคู่มือการพัฒนาศักยภาพของผู้บริหารสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรที่ใช้ในการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ คือ ผู้บริหารสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวและกีฬาจากหน่วยงานภาครัฐ และผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความสามารถและมีประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและกีฬาในภาคเอกชน จำนวน 7 คน ประชากรที่ใช้ในการวิจัยเชิงปริมาณ คือ ผู้บริหารสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด (ทกจ.) ผู้บริหารระดับกลาง (ผู้ช่วย ทกจ.) ผู้บริหารสมาคมท่องเที่ยวจังหวัด และผู้บริหารสมาคมกีฬาจังหวัด รวมทั้งหมดจำนวน 267 คน จาก 77 จังหวัด เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเชิงคุณภาพ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์เชิงลึกกึ่งโครงสร้าง การบันทึกข้อมูลการประชุมสนทนากลุ่ม และแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา และการประเมินความตรงเชิงเนื้อหา การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้การวิเคราะห์ทางสถิติโดยการแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการพัฒนาศักยภาพของผู้บริหารสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ประกอบด้วย 3 ด้าน 10 องค์ประกอบ มีดังนี้ 1) ด้านความรู้ มี 3 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) อัตลักษณ์ของท้องถิ่นและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง (2) การบริหารจัดการและการจัดการทรัพยากรมนุษย์ในองค์กร และ (3) เทคโนโลยีดิจิทัล 2) ด้านทักษะ มี 4 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) การเรียนรู้ (2) การสร้างเครือข่ายด้านการท่องเที่ยวและกีฬา (3) การบริหารจัดการ และ (4) การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับการท่องเที่ยวและกีฬา และ 3) ด้านคุณลักษณะ ที่พึงประสงค์ มี 3 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) ความสำเร็จในงาน (2) การทำงานร่วมกับผู้อื่น และ (3) ภาวะผู้นำ โดยรูปแบบและคู่มือแนวทางการพัฒนาศักยภาพของผู้บริหารสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ได้รับความเห็นชอบจากผู้ทรงคุณวุฒิเป็นเอกฉันท์ว่ามีความเหมาะสมและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้</p>
2024-08-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jted/article/view/5001
โมเดลการดำนินงานขององค์กรและโมเดลการดำเนินชีวิตในสังคมที่มีประสิทธิผล และมีความยั่งยืนในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด 19
2024-08-26T16:44:14+07:00
กรวิก พรนิมิตร
wittymaxi@hotmail.com
นภาพร ณ เชียงใหม่
wittymaxi@hotmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาโมเดลการดำนินงานขององค์กรและโมเดลการดำเนินชีวิตในสังคมที่มีประสิทธิผลและมีความยั่งยืนในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด 19 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ บุคลากรของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่จากหน่วยงาน 22 คณะ และผู้มาติดต่อใช้บริการหน่วยงานของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2564 จำนวน 384 คน ซึ่งได้มาโดยสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงทุกหน่วยงานของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ด้วยวิธีสะดวก (Specific and Convenience sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาได้แก่ ความถี่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบความสัมพันธ์ความถดถอยเชิงเส้นของตัวแปรกับเพศ อายุ การศึกษาและอาชีพ โดยกำหนดความเชื่อมั่น 95% Significant level.05 วิเคราะห์ Model 1 รูปแบบ ANOVA และ สหสัมพันธ์ ซึ่งแปลผล R=0 แปลว่า 2 ตัวแปรไม่มีความสัมพันธ์กันเป็นเส้นตรง R=+1 แปลว่า 2 ตัวแปรมีความสัมพันธ์กันเป็นเส้นตรง (ไปในทิศทางเดียวกัน) R = -1 แปลว่า 2 ตัวแปรมีความสัมพันธ์ผกผันกันเป็นเส้นตรง (ไปในทิศทางตรงกันข้าม) ผลการวิจัย ทั้ง 2 โมเดล พบว่า</p> <p> โมเดลที่ 1 การดำเนินงานขององค์กรที่มีประสิทธิผลและมีความยั่งยืนในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด 19 พบว่าประกอบด้วย 6 ปัจจัย คือ 1) องค์กรที่มีโครงสร้างเครือข่ายและระบบเสมือนจริงในระดับสูง 2) องค์กรที่มีห่วงโซ่อุปทานที่สั้นและหลากหลายกว่า 3) องค์กรที่มีวัฒนธรรมการปรับตัวและความยืดหยุ่น 4) องค์กรที่มีความเป็นผู้นำแบบกระจายและกำลังคน 5) องค์กรที่มีเทคโนโลยีดิจิทัลและเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตขั้นสูง 6) องค์กรที่มีแผนฉุกเฉินทางการเงิน</p> <p> โมเดลที่ 2 การดำเนินชีวิตในสังคมที่มีประสิทธิผลและมีความยั่งยืนในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด 19 พบว่าประกอบด้วย 9 ปัจจัย คือ ปัจจัยที่ 1 สมมุติฐานการเกิดปัญหาไวรัสโควิด 19 ปัจจัยที่ 2 สมมุติฐานปัญหาไวรัสโควิด 19 ปัจจัยที่ 3 สมมุติฐานปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นตราบาปหลังการเกิดไวรัสโควิด 19 ปัจจัยที่ 4 ต้องปรับเปลี่ยนโลกสู่สิ่งดีๆ ให้กับคนส่วนใหญ่ มุ่งสร้างความสุข ภายใต้การเกื้อกูลและแบ่งปัน รู้จักเติมเมื่อขาด รู้จักหยุดเมื่อพอ รู้จักแบ่งปัน ปัจจัยที่ 5 การระบาดไวรัสโควิด 19 ปัจจัยที่ 6 มีสิ่งมหัศจรรย์จากภายในของผู้คน ปัจจัยที่ 7 การเตรียมคนไทยมีนิสัยแห่งความสุขที่แท้จริง ปัจจัยที่ 8 การเตรียมคนไทยในโลกหลังโควิด และ ปัจจัยที่ 9 บทสรุป</p>
2024-08-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024