วารสารปรัชญาอาศรม https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jpar <p><strong>Online ISSN</strong> : 2774-0994 <strong>Print ISSN</strong> : 2774-0986</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><br />1) เพื่อเผยแพร่บทความทางวิชาการ ด้านปรัชญา วัฒนธรรม และศาสนา<br />2) เพื่อเผยแพร่บทความวิชาการ ด้านมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ ที่ประยุกต์องค์ความรู้จากมิติทางด้านปรัชญา วัฒนธรรม และศาสนา</p> <p><strong>หลักเกณฑ์</strong><br />1) กำหนดการเผยแพร่วารสาร ปีละ 2 ฉบับ (ฉบับละ 12 บทความ)<br /> ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน <br /> ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม <br />2) เปิดรับ (1) บทความวิจัย และ (2) บทความวิชาการ เท่านั้น <br />3) ทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ อย่างน้อย 2 หรือ 3 ท่าน <br />4) บทความที่ส่งมาขอรับการตีพิมพ์ จะต้องไม่เคยตีพิมพ์หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อการตีพิมพ์ในวารสารอื่น <br />5) ผู้เขียนบทความจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ ในการเสนอบทความเพื่อตีพิมพ์อย่างเคร่งครัดรวมทั้งจัดรูปแบบ ให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่วารสารกำหนด <br />6) ทัศนะและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความ ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความนั้น และไม่ถือเป็นความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ</p> <p><strong>พิจารณาและคัดเลือกบทความ<br /></strong>บทความแต่ละบทความจะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการกลั่นกรองบทความวารสาร (Peer Review) อย่างน้อย 2 หรือ 3 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ โดยการพิจารณาบทความจะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อหรือข้อมูลของผู้เขียนบทความ และผู้เขียนบทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความ (Double – blind peer review)</p> มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย th-TH วารสารปรัชญาอาศรม 2774-0986 หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานกับหลักธรรมอริยสัจ 4 ในมุมมองความสอดคล้องด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jpar/article/view/3136 <p>การศึกษาของไทยมีรากฐานมาจากพระพุทธศาสนามาตั้งแต่สมัยอดีต และได้พัฒนารูปแบบการศึกษาให้เป็นมาตรฐานสากลทำให้การศึกษาไทยมีหลากหลายรูปแบบ และการที่คนไทยส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาหลัก การพัฒนาการศึกษาจึงมีความเกี่ยวเนื่องและมีความสอดคล้องกับหลักทางพุทธปรัชญา ที่มุ่งเน้นการปลูกฝังค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม และประเพณี วัฒนธรรมที่ดีงามผ่านระบบการศึกษา โดยในปัจจุบันการศึกษาขั้นพื้นฐานของไทยได้ประกาศใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และได้กำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนไว้ 8 ประการ ซึ่งคุณลักษณะที่หลักสูตรกำหนดผู้เรียนจะต้องได้รับการปลูกฝังและพัฒนาผ่านกิจกรรมการเรียนการสอน การปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนในลักษณะต่าง ๆ จนตกผลึกเป็นคุณลักษณะอันพึงประสงค์ในตัวผู้เรียน ส่งผลให้ผู้เรียนเป็นผู้ที่มีคุณธรรม จริยธรรม สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุขในฐานะการเมืองพลเมืองไทยและพลเมืองโลก ดังนั้น การนำหลักทางพุทธปรัชญา (หลักธรรมอริยสัจ 4) ทั้ง 4 ประการ ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค มากำหนดเป็นกรอบทิศทางของกระบวนการจัดการเรียนการสอน และกรอบทิศทางการกำหนดหลักสูตรของสถานศึกษาจึงเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามที่หลักสูตรกำหนดไว้</p> กอปรคุณ อุดมธนวานิช อิฐ แย้มยิ้ม Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาอาศรม 2024-03-16 2024-03-16 6 1 1 15 วิเคราะห์พุทธปรัชญาการศึกษาในการจัดการศึกษาของโรงเรียนปากะจอง บ้านแงน จังหวัดเชียงตุง https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jpar/article/view/3151 <p>บทความวิชาการนี้เป็นการวิเคราะห์พุทธปรัชญาการศึกษาในการจัดการศึกษาของโรงเรียนปากะจอง บ้านแงน จังหวัดเชียงตุง ประเทศเมียนมา พบว่า โรงเรียนแห่งนี้มีพระภิกษุและสามเณร 60 รูป ครู 10 รูป และนักเรียน 178 คน การจัดการศึกษาได้รับการรับรองจากรัฐบาลเมียนมา จัดการศึกษาในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น มีองค์ประกอบของการศึกษาในการจัดการ ดังนี้ 1) ด้านหลักสูตร ใช้ระบบการศึกษาแบบ KG-5-4-3 เน้นวิชาการ 2) ด้านสถานที่ ใช้พื้นที่วัด ตั้งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติและห่างไกลจากแหล่งชุมชน 3) ด้านผู้สอน ส่วนใหญ่เป็นพระภิกษุ สอนทุกรายวิชา 4) ด้านผู้เรียน มีเด็กและเยาวชนหลากหลายชาติพันธุ์ที่มีอายุแตกต่างกันเข้ามาเรียนร่วมกัน 5) ด้านการจัดการเรียนการสอน เน้นทางด้านพุทธิศึกษาและจริยศึกษา ไม่เน้นด้านหัตถศึกษาและพลศึกษา 6) ด้านการวัดและประเมินผล เน้นการประเมินตนเองโดยเฉพาะด้านความรู้ ความจำและการท่องจำบทเรียน</p> ฐิติทรัพย์ พระแก้ว นาง ก๋อง Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาอาศรม 2024-03-18 2024-03-18 6 1 16 30 บทบาทของนายอำเภอในการขับเคลื่อนการขจัดความยากจน และพัฒนาคนอย่างยั่งยืน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jpar/article/view/3140 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ (1) เพื่อศึกษาบทบาทของนายอำเภอในการขับเคลื่อน การขจัดความยากจนและพัฒนาคนอย่างยั่งยืนด้วยระบบ Thai QM และ (2) เพื่อศึกษาผลที่เกิดขึ้นจากการขับเคลื่อนการขจัดความยากจนและพัฒนาคนอย่างยั่งยืนด้วยระบบ Thai QM จากการศึกษา สามารถสรุป<br />ได้ว่า ปัญหาหลักของประชากรในประเทศที่กำลังพัฒนา เช่น ประเทศไทย คือ ความยากจน และขีดความสามารถในการแข่งขันสู่ระดับที่สูงขึ้น กระบวนการแก้ปัญหาในบริบทโลกปัจจุบัน จึงมุ่งไปที่ การขจัดความยากจนและการพัฒนาความเป็นอยู่ของประชากรไทย การพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของประเทศอื่นต่อไทยในเวทีระดับระหว่างประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น ประเด็นดังกล่าวยังสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ที่ได้รับการรับรองวาระในที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ พ.ศ. 2558 อีกด้วย ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการขจัดความยากจนและพัฒนาคนอย่างยั่งยืนด้วยระบบ Thai QM ได้แก่ นายอำเภอ เนื่องจากนายอำเภอเป็นตำแหน่งตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ที่ถูกกำหนดให้รับผิดชอบบริหารและกำกับดูแลข้าราชการในอำเภอ ประกอบกับมีภารกิจในฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายและอำนวยความเป็นธรรม บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ประชาชน นายอำเภอจึงมีบทบาทหลัก 2 ประการ คือ บทบาทผู้ชี้เป้าปัญหา และบทบาทผู้แก้ไขปัญหา ส่วนในด้านผลที่เกิดขึ้นจากการขับเคลื่อนการขจัดความยากจนและพัฒนาคนอย่างยั่งยืนด้วยระบบ Thai QM ผ่านบทบาทของนายอำเภอที่ปฏิบัติหน้าที่ในการขับเคลื่อน ผ่าน 5 มิติ คือ 1) มิติสุขภาพ 2) มิติความเป็นอยู่ 3) มิติการศึกษา 4) มิติรายได้ และ 5) มิติการเข้าถึงบริการภาครัฐ ผลการดำเนินการช่วยเหลือครัวเรือนที่เดือดร้อน จำนวน 653,524 ครัวเรือน ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาแล้ว 629,588 ครัวเรือน (คิดเป็นร้อยละ 96.34) รอติดตามผล 48,523 ครัวเรือน และไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ 1,045 ครัวเรือน ถือได้ว่า ปัญหาความยากจนลดลง และเกิดการพัฒนาคนอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ อย่างเห็นได้ชัด</p> วิกร สิงห์ทองชัย เขียน วันทนียตระกูล Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาอาศรม 2024-03-26 2024-03-26 6 1 59 72 หลักพุทธธรรมกับความเชื่อในการบริจาคทานของพุทธศาสนิกชนในประเทศไทย https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jpar/article/view/3424 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1. <span style="font-size: 0.875rem;">หลักพุทธธรรมกับความเชื่อในการบริจาคทานของพุทธศาสนิกชนในประเทศไทย 2. </span><span style="font-size: 0.875rem;">สาเหตุที่พุทธศาสนิกชนในประเทศไทยมีความเชื่อในการบริจาคทาน และผลของการบริจาคทานทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ 3. </span><span style="font-size: 0.875rem;">เสนอแนวความคิดตามหลักพุทธธรรมเพื่อเป็นแนวทางแก่ผู้บริจาคทาน ผู้รับบริจาคทาน รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องในการควบคุมดูแลการบริจาคทาน</span></p> <p> ตามหลักพุทธธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ได้ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของการให้ทาน ที่สร้างบารมี และส่งผลดีแก่พุทธศาสนิกชน พุทธธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสอนว่าทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เป็นเครื่องขัดเกลาจิตใจหมดจากกิเลส ด้วยอำนาจของสมถะและวิปัสสนา จนได้ฌาน และบรรลุปรินิพพานในพรหมโลก ทานชนิดนี้เป็นทานที่มีผลมาก และมีอานิสงส์มาก พุทธศาสนิกชนจึงมีความเชื่อในการบริจาคทาน แต่ควรบริจาคทานตามสมควร ไม่เกินตัว พิจารณาความน่าเชื่อถือขององค์กรที่รับบริจาค เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน ไม่หลงไปกับอานิสงส์จากการบริจาค บางครั้งผู้รับทานจะมีการบริหารเงินบริจาคไม่โปร่งใส นำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ หรือนำเงินวัดไปใช้ส่วนตัว การฉ้อฉล ทุจริต ใช้ให้เป็นประโยชน์ส่วนตัว หรือกับผู้อื่น ทำให้เกิดวิกฤตศรัทธาแก่พระพุทธศาสนาได้ วิกฤตศรัทธานี้อาจทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมลง และทำให้พุทธบริษัททั้งสี่สลายไปในที่สุด</p> <p>ผู้บริจาค และผู้รับบริจาคควรมีอิทธิบาท 4 ในการบริจาค และรับบริจาค ควรมีหน่วยงาน และองค์กรเข้ามากำกับตรวจสอบ ติดตามการรับบริจาค และนำผลของการบริจาคไปใช้ให้เข้มงวดมากกว่าที่เป็นอยู่เพื่อความโปร่งใสใน</p> รณฤทธิ์ มณีสงฆ์ อรชร มณีสงฆ์ Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาอาศรม 2024-03-29 2024-03-29 6 1 73 88 กองบุญสุขภาวะ สังฆะเพื่อสังคม ส่งเสริมสวัสดิการพระสงฆ์นักพัฒนา https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jpar/article/view/3761 <p>&nbsp;บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการจัดสวัสดิการด้านสุขภาวะของพระสงฆ์นักพัฒนาในยุคปัจจุบัน&nbsp; &nbsp;การจัดสวัสดิการสังคมในสังคมไทย โดยภาพรวมมีีเป้าหมายป้องกันปัญหาความเดือดร้อนหรือการบำบัดรักษาโดยใช้้รููปแบบการสงเคราะห์์ การป้องกันปัญหาซึ่งเน้นการพัฒนาความรู้้และฝึกอาชีพ และการพัฒนาศักยภาพความคิดและจิตใจ โดยการพัฒนาให้มีีอารยะธรรมซึ่งมุ่งเน้น ให้คนมีสวัสดิการชุมชนขั้นต่ำ คือ การจัดสวัสดิการสังคมที่่ครอบคลุมถึงการสงเคราะห์สังคม การจัดทำนโยบายสวัสดิการสังคม รวมทั้งการมองสวัสดิการสังคมเชิงนโยบายทางสังคมอย่างเป็นองค์์รวมโดยใช้้คนเป็นศูนย์์กลาง จึงสามารถป้องกันปัญหาและพัฒนาได้ ปัจจุบันการจัดสวัสดิการในพระสงฆ์ประเทศไทยยังไม่ได้รับการดูแลที่ทั่วถึง เนื่องจากยังมีพระสงฆ์จำนวนหนึ่งในประเทศไทยที่อาพาธ ขาดการดูแล การอุปัฏฐาก&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;ปัจจุบันจึงมีกลุ่มพระสงฆ์นักพัฒนา ในนามกลุ่ม เครือข่ายสังฆเพื่อสังคม 4 ภาค ได้ดำเนินงานจัดตั้งกองบุญสุขภาวะ สังฆะเพื่อสังคม เพื่อดำเนินการส่งเสริมการจัดสวัสดิการด้านสุขภาวะของพระสงฆ์นักพัฒนาเป็นหลัก&nbsp; มีกระบวนการทำงานของกลุ่มพระสงฆ์นักพัฒนาในสังคมไทยที่พยายามดำเนินการเพื่อส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมให้เกิดความเท่าเทียมและทั่วถึงกับพระสงฆ์ไทยทั่วประเทศ&nbsp; ในมิติ การจัดสวัสดิการด้านการเงิน จากการสะสมทรัพย์ภายในกลุ่ม ด้วยกองบุญสุขภาวะ อาทิ&nbsp; พิธีทอดผ้าป่าสังฆะสามัคคีทุกปี เพื่อสมทบทุนใน กองบุญสุขภาวะสังฆะเพื่อสังคม ในการดูแลพระสงฆ์นักพัฒนาชุมชน พระสงฆ์นักสังคมสงเคราะห์ที่ทำงานเพื่อสังคม อาพาธ อยู่ทั่วประเทศ&nbsp; ผลักดันนำไปสู่การพัฒนาสุขภาวะของพระสงฆ์ไทยที่ดีและมีคุณภาพ&nbsp; ตามธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติพุทธศักราช 2560</p> กิตติ์ ขวัญนาค พระอำนาจ พุทธอาสน์ ปุระวิชญ์ วันตา Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาอาศรม 2024-04-01 2024-04-01 6 1 101 112 การจัดการความรู้ : พฤติกรรมองค์การ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jpar/article/view/3987 <p style="font-weight: 400;">การจัดการความรู้จึงนับเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาองค์กร ซึ่งความรู้มี 2 ประเภท คือ ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน และความรู้ที่ชัดแจ้ง โดยอาศัยกระบวนการจัดการความรู้ทำเกิดบุคลากรเข้าถึงความรู้ต่าง ๆ ที่จัดเตรียมไว้อย่างเป็นระบบองค์ความรู้ใหม่ องค์ความรู้ใหม่ที่ได้จากการค้นคว้าหาความรู้&nbsp; การแลกเปลี่ยนข้อมูล&nbsp; และการรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบ ผ่านกระบวนการจัดการความรู้ มีการค้นหาความรู้ การสร้างและแสวงหาความรู้ การจัดความรู้ให้เป็นระบบ การประมวลและกลั่นกรองความรู้ การเข้าถึงความรู้ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การแบ่งปันและแลกเปลี่ยนความรู้ และการเรียนรู้ เพื่อให้การบริหารจัดการให้มนุษย์ทำงานได้สำเร็จ เกิดประสิทธิผลตามจุดมุ่งหมายขององค์การ คือ ระดับบุคคล ระดับกลุ่ม และระดับองค์การ จะต้องวิเคราะห์เกี่ยวกับการออกแบบองค์การที่เป็นทางการ&nbsp; เทคโนโลยี&nbsp; กระบวนการทำงาน&nbsp; และนโยบายทรัพยากรมนุษย์ขององค์การ โดยใช้ความรู้ทางพฤติกรรมศาสตร์ ซึ่งความรู้ที่ได้สามารถนำไปใช้ในการเพิ่มผลผลิตและความพึงพอใจของบุคลากร อันนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิผล ขององค์การในภาพรวม นำไปสู่กระบวนการจัดการความรู้เพื่อองค์การควรมีวิธีการดำเนินงานในทิศทางใด เพื่อให้เกิดประสิทธิผลกับงานมากที่สุด</p> พระปลัดสถิตย์ โพธิญาโณ โพธิ์หล้า อ้อมตะวัน สารพันธ์ วินิจ ผาเจริญ Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาอาศรม 2024-04-29 2024-04-29 6 1 130 146 การจัดบริการสาธารณะกับพฤติกรรมองค์การ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jpar/article/view/3978 <p style="font-weight: 400;">ภาครัฐมีวัตถุประสงค์เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน อันเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชน การจัดบริการสาธารณะกับพฤติกรรมองค์การ ตามทัศนคติของบุคคลในการร่วมกันทำงานกับองค์การ 3 ข้อ คือ ความพึงพอใจในการทำงาน การมีส่วนร่วมในงาน และความผูกพันต่อองค์การ องค์ประกอบและขอบเขต “ความเป็นสาธารณะ” มี 5 องค์ประกอบ คือ ระดับความแตกต่างระหว่างรัฐ-เอกชน องค์ประกอบของผู้รับบริการ ธรรมชาติของบทบาท ความรับผิดรับชอบสาธารณะ และความเชื่อมั่นสาธารณะ ภาครัฐนั้นเพื่อตอบสนองความต้องการของบุคคลอื่น ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกด้านการแต่งกาย สีหน้า แววตา กิริยา ท่าทาง และการพูดจา ควรจัดทำบริการให้เป็นไปอย่างสม่ำเสมอและมีความต่อเนื่อง มีหลักความเสมอภาค และหลักว่าด้วยการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง องค์ประกอบของระบบบริการ ผู้รับบริการ ผู้ปฏิบัติงานบริการ องค์การบริการ ผลิตภัณฑ์บริการ และสภาพแวดล้อมของการบริการ ผ่านพฤติกรรมระหว่างบุคคล กลุ่มบุคคล และสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกองค์การที่มีผลกระทบต่อองค์การ รัฐต้องจัดทำบริการสาธารณะให้เหมาะสมกับความต้องการของประชาชน และเพื่อให้มีความเหมาะสมกับ สภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลง โดยใช้รูปแบบของเครื่องมือและวิธีการที่จะช่วยให้การจัดบริการสาธารณะดำเนินงานได้อย่างสะดวกและตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง</p> พระวุฒิชัย มหาสทฺโท เสียงใหญ่ พระครูโชติธรรมบัณฑิต เทิดศักดิ์ ดวงปันสิงห์ Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาอาศรม 2024-05-12 2024-05-12 6 1 147 163 ประสิทธิผลการบริหารจัดการสวัสดิการผู้สูงอายุตามแนวพระพุทธศาสนาขององค์การบริหารส่วนตำบลน้ำบ่อหลวง อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jpar/article/view/3792 <p>บทความวิจัย</p> ฤดีมาศ วิชัย นพดณ ปัญญาวีรทัต อภิรมย์ สีดาคำ Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาอาศรม 2024-03-19 2024-03-19 6 1 31 45 พุทธศิลปกรรมบำบัด : การสร้างสรรค์ศิลปะเพื่อบูชาในประเพณีล้านนาของชุมชนบ้านร่ำเปิง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jpar/article/view/3644 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ข้อ 1) เพื่อสำรวจพุทธศิลปกรรมล้านนาในชุมชนที่สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อการบูชาในงานประเพณีของชุมชนบ้านร่ำเปิง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 2) เพื่อประมวลและคัดเลือกงานพุทธศิลป์เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในงานอนุรักษ์และเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมของชุมชน 3) เพื่อจัดกิจกรรมถ่ายทอดองค์ความรู้ในการสร้างสรรค์งานพุทธศิลปกรรมเชิงอนุรักษ์ และเชิงนวัตกรรมของชุมชนบ้านร่ำเปิง การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เพื่อนำไปสู่งานพุทธศิลปกรรมล้านนาในชุมชน ที่สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อการบูชาในงานประเพณีของชุมชน และถ่ายทอดองค์ความรู้ในการสร้างสรรค์งานพุทธศิลปกรรมเชิงอนุรักษ์</p> <p>ผลการศึกษาวิจัย พบว่า</p> <p>1) การสำรวจงานพุทธศิลปกรรมนั้นมิใช่แต่เป็นเพียงสิ่งของ วัสดุ หรือสิ่งปลูกสร้าง แต่งานพุทธศิลปกรรมยังเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจในหลายด้าน ที่ผู้คนในพื้นถิ่นให้ความสำคัญ 4 ประการ คือ 1) ตามหลักพระพุทธศาสนา 2) คุณค่าด้านจิตวิญญาณ 3) คุณค่าทางสุนทรียภาพ 4) คุณค่าทางเศรษฐกิจและการเมือง</p> <p>2) ชุมชนมีผลงานที่มีความโดดเด่นมีความเป็นอัตลักษณ์ของพื้นถิ่นล้านนาสูง และสอดคล้องกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนบ้านร่ำเปิงให้ โดยใช้การอนุรักษ์นำมาสร้างสรรค์นวัตกรรมของชุมชนเพื่อการบูชาในประเพณีล้านนา</p> <p>3) การจัดกิจกรรมการสร้างสรรค์งานพุทธศิลปกรรมเชิงอนุรักษ์ และเชิงนวัตกรรมของชุมชนบ้านร่ำเปิง เพื่อนำองค์ความรู้ที่ได้มาสังเคราะห์กับชุมชน มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ตามสื่อต่างๆ รวมไปถึงการสร้างผลงานนวัตกรรมการสร้างสรรค์งานพุทธศิลปกรรมเชิงอนุรักษ์ และเชิงนวัตกรรมของชุมชน เพื่อนำไปต่อยอดในการสร้างสินค้า หรือทางการตลาด ที่ใช้สอยได้จริงในปัจจุบัน</p> พูนชัย ปันธิยะ อำนาจ ขัดวิชัย พระนิติพัฒน์ อุชุจาโร ฉลองเดช คูมานุมาศ Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาอาศรม 2024-03-23 2024-03-23 6 1 46 58 การบริหารงานโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา จังหวัดเชียงใหม่ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jpar/article/view/3775 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาการบริหารจัดการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดเชียงใหม่ 2. เพื่อเปรียบเทียบการบริหารจัดการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดเชียงใหม่ จำแนกตาม เพศ อายุ ระดับการศึกษา กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้เป็นผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดเชียงใหม่ เครื่องมือ ที่ ใช้ ในการวิจัย เป็น แบบสอบถาม แบ่งเป็น 2 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบ โดยใช้แบบสอบถามชนิดตรวจรายการ (Checklist) ตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารจัดการศึกษาในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดเชียงใหม่ โดยใช้แบบสอบถามชนิดเลือกตอบจำแนกเป็น 4 ด้าน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า t-test และ F-test ในการเปรียบเทียบ การบริหารจัดการศึกษาในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1.การบริหารจัดการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดเชียงใหม่&nbsp; โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านกลุ่มบริหารงานวิชาการ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก รองลงมาคือ ด้านกลุ่มบริหารงาน งบประมาณ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือ ด้านกลุ่มบริหารงานทั่วไป 2. การเปรียบเทียบการบริหารจัดการศึกษาในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดเชียงใหม่ การเปรียบเทียบรูปแบบการบริหารจัดการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดเชียงใหม่ จำแนกตาม เพศ อายุ ระดับการศึกษาโดยภาพรวมพบว่า ด้านอายุไม่มีความแตกต่างกัน ส่วนด้านเพศ ระดับการศึกษา พบว่า ไม่มีความแตกต่างกัน</p> เขียน วันทนียตระกูล สมนึก นาห้วยทราย Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาอาศรม 2024-03-30 2024-03-30 6 1 89 100 รูปแบบการจัดการขยะตามหลัก 5Rs โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน เทศบาลตำบลหนองป่าครั่ง อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jpar/article/view/2978 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาชุมชนต้นแบบการจัดการขยะตามหลักการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม 2) เพื่อพัฒนากิจกรรมการจัดการขยะตามหลักการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน และ 3) เพื่อนำเสนอรูปแบบการจัดการขยะตามหลักการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ การสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้าง และการสนทนากลุ่มกับผู้ประกอบการ และผู้นำชุมชน โดยใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนาความ<br />ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) การศึกษาชุมชนต้นแบบการจัดการขยะตามหลักการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม พบว่า ชุมชนต้นแบบมีความคล้ายคลึงกันในด้านวิธีคิดในการจัดการโดยใช้กระบวนการกระตุ้นพฤติกรรม สร้างแรงบันดาลใจ สร้างจิตสำนึก และกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมให้ชุมชน ได้แก่ การลดปริมาณขยะ การนำวัสดุกลับมาใช้ซ้ำ การนำวัสดุที่ชำรุดกลับมาซ่อมแซม การนำวัสดุหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ และหลีกเลี่ยงการใช้วัสดุที่ย่อยสลายยาก </p> <p>2) กระบวนการพัฒนากิจกรรมการจัดการขยะตามหลักการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ประกอบด้วย ขั้นตอนการสำรวจบริบทชุมชนเพื่อทราบและเข้าใจในสภาพปัญหา การจัดเวทีระดมความคิดเห็น นำเสนอชุมชนต้นแบบออกแบบการพัฒนากิจกรรมการจัดการขยะโดยการอบรมให้ความรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติการ ขั้นตอนการระดมความคิดเห็นเพื่อออกแบบกิจกรรมให้สอดคล้องกับปัญหา <br />การวางแผนก่อนลงมือปฏิบัติ และการประเมินผล </p> <p>3) รูปแบบการจัดการขยะตามหลักการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ประกอบด้วย การจัดการขยะโดยการสร้างจิตสำนึกในระดับครัวเรือน การจัดการขยะโดยการสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ และการจัดการขยะโดยสร้างความร่วมมือเชิงบูรณาการระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนและชุมชน</p> พระกฤษฎา โชติโก มณี ชนกันต์ ปัญญาวัธนสกุล สหัทยา วิเศษ Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาอาศรม 2024-04-25 2024-04-25 6 1 113 129