https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jpar/issue/feed วารสารปรัชญาอาศรม 2024-10-26T18:33:08+07:00 พระวิสิทธิ์ ฐิตวิสิทฺโธ (วงค์ใส), ผศ.ดร. wisitnaja@hotmail.com Open Journal Systems <p><strong>Online ISSN</strong> : 2774-0994 <strong>Print ISSN</strong> : 2774-0986</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><br />1) เพื่อเผยแพร่บทความทางวิชาการ ด้านปรัชญา วัฒนธรรม และศาสนา<br />2) เพื่อเผยแพร่บทความวิชาการ ด้านมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ ที่ประยุกต์องค์ความรู้จากมิติทางด้านปรัชญา วัฒนธรรม และศาสนา</p> <p><strong>หลักเกณฑ์</strong><br />1) กำหนดการเผยแพร่วารสาร ปีละ 2 ฉบับ (ฉบับละ 12 บทความ)<br /> ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน <br /> ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม <br />2) เปิดรับ (1) บทความวิจัย และ (2) บทความวิชาการ เท่านั้น <br />3) ทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ อย่างน้อย 2 หรือ 3 ท่าน <br />4) บทความที่ส่งมาขอรับการตีพิมพ์ จะต้องไม่เคยตีพิมพ์หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อการตีพิมพ์ในวารสารอื่น <br />5) ผู้เขียนบทความจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ ในการเสนอบทความเพื่อตีพิมพ์อย่างเคร่งครัดรวมทั้งจัดรูปแบบ ให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่วารสารกำหนด <br />6) ทัศนะและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความ ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความนั้น และไม่ถือเป็นความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ</p> <p><strong>พิจารณาและคัดเลือกบทความ<br /></strong>บทความแต่ละบทความจะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการกลั่นกรองบทความวารสาร (Peer Review) อย่างน้อย 2 หรือ 3 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ โดยการพิจารณาบทความจะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อหรือข้อมูลของผู้เขียนบทความ และผู้เขียนบทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความ (Double – blind peer review)</p> https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jpar/article/view/3899 ศึกษาวิเคราะห์พุทธจริยศาสตร์ที่ปรากฏในคัมภีร์มิลินทปัญหา 2024-06-12T16:54:59+07:00 พระมหาชาญชัย ธมฺมเมธี ก๋องจัน charnchai.poppop22@gmail.com พิสิฏฐ์ โคตรสุโพธิ์ phisit32@gmail.com วิโรจน์ วิชัย virot321@gmail.com <p>บทความวิชาการงานวิจัยเรื่อง การศึกษาวิเคราะห์พุทธจริยศาสตร์ที่ปรากฏในคัมภีร์มิลินทปัญหา มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาหลักการพุทธจริยศาสตร์ 2) เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมา เนื้อหาสำคัญของคัมภีร์มิลินทปัญหา 3) เพื่อวิเคราะห์พุทธจริยศาสตร์ที่ปรากฏในคัมภีร์มิลินทปัญหา ผลการศึกษาพบว่า</p> <p>หลักพุทธจริยศาสตร์ คือ คําสอนของพระพุทธศาสนา ว่าด้วยการแสวงหาความดีสูงสุดของชีวิตมนุษย์ และกฎเกณฑ์ในการตัดสินความประพฤติของมนุษย์ว่าสิ่งใดถูก - ผิด พุทธจริยศาสตร์มี 3 ระดับ คือ ระดับต้น ได้แก่ ศีล 5 ระดับกลาง ได้แก่ กุศลกรรมบถ 10 และระดับสูงได้แก่ มรรคมีองค์ 8 เกณฑ์วินิจฉัยความดี – ชั่วตามทัศนะของพระพุทธศาสนา ใช้เกณฑ์การตัดสินดังนี้ 1) จากมูลเหตุของการกระทํา 2) จากผลของการกระทํา 3) ใช้มโนธรรม คือ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เป้าหมายของพุทธจริยศาสตร์ คือความสุขในชีวิต ทั้งในระดับโลกิยะ และระดับโลกุตระ คือ ปรมัตถสุข</p> <p> มิลินทปัญหาเป็นคัมภีร์เก่าแก่และสำคัญคัมภีร์หนึ่งในพระพุทธศาสนา ไม่ปรากฏนามผู้รจนา เชื่อกันว่ารจนาขึ้นในราวพุทธศักราช 500 ปรากฏตามมธุรัตถปกาสินีฎีกาแห่งมิลินทปัญหา เนื้อหาสำคัญของ มิลินทปัญหาเป็นเรื่องการตอบปัญหาคลายความสงสัยในข้อธรรมต่าง ๆ ของพระนาคเสน ต่อพระเจ้ามิลินท์ </p> <p>วิเคราะห์พุทธจริยศาสตร์ที่ปรากฏในคัมภีร์มิลินทปัญหา ผู้วิจัยได้พบพุทธจริยศาสตร์ 2 ลักษณะ คือ 1) ลักษณะแบบเดิม หลักของความเป็นจริงตามธรรมชาติ ตามหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนา 2) ลักษณะแบบร่วมสมัย โดยสามารถใช้หลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาเพื่ออธิบายประเด็น</p> 2024-10-10T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาอาศรม https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jpar/article/view/4529 ระบบการจัดการเรียนโดยวิธีกรณีศึกษา เพื่อส่งเสริมการคิดอย่างมีวิจารณญาณ สำหรับนักเรียนโรงเรียนการกุศลในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: กรณีศึกษาจังหวัดนครราชสีมา 2024-07-15T15:36:14+07:00 พระสุรพล อาภรโณ ไกรรอด suraphon22art@gmail.com <p>การวิจัยเรื่อง ระบบการจัดการเรียนโดยวิธีกรณีศึกษา เพื่อส่งเสริมการคิดอย่างมีวิจารณญาณ..สำหรับนักเรียนโรงเรียนการกุศลในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: กรณีศึกษาจังหวัดนครราชสีมา เป็นการวิจัยและพัฒนา โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาองค์ความรู้ 2) เพื่อประเมินสภาพปัญหาและความต้องการ 3) เพื่อพัฒนาระบบการจัดการเรียน 4) เพื่อประเมินประสิทธิภาพ โดยได้กำหนดกลุ่มตัวอย่างเลือกแบบเจาะจง (Purposive Selection) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่นักเรียน 45 คน และผู้บริหาร-ครู 10 คน โดยใช้เครื่องมือวิจัยแบบสอบถามและการสัมภาษณ์<br />ผลการวิจัยพบว่า <br />ระบบการจัดการเรียนรู้ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ การนำเสนอกรณีศึกษา การศึกษาและอภิปราย การสรุปประเด็นสำคัญ และการประเมินผล การประเมินสภาพปัญหาพบว่า ทั้งด้านหลักสูตร กระบวนการเรียนรู้ สื่อ กิจกรรม และการวัดผลมีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับมากเป็นที่น่าพึงพอใจ..การพัฒนาระบบได้นำเสนอแผน “SURAPHON PLAN” เพื่อส่งเสริมการคิดวิจารณญาณ สุดท้ายการประเมินประสิทธิภาพโดยผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่าระบบสามารถส่งเสริมการคิดอย่างมีวิจารณญาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2024-11-07T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาอาศรม https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jpar/article/view/5259 พุทธพลังชราสุข : รูปแบบพุทธบูรณาการเสริมสร้างพฤฒพลัง สำหรับโรงเรียนผู้สูงอายุ จังหวัดเชียงใหม่ 2024-10-26T18:33:08+07:00 ยุรธร จีนา yurathorn_27@hotmail.com พิสิฏฐ์ โคตรสุโพธิ์ Phisit32@gmail.com เทพประวิณ จันทร์แรง Thepprawin555@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการเสริมสร้างพฤฒพลังแก่ผู้สูงอายุตามแนวทางของพระพุทธศาสนา 2) เพื่อนำเสนอ “พุทธพลังชราสุข” รูปแบบพุทธบูรณาการเพื่อเสริมสร้างพฤฒพลังสำหรับโรงเรียนผู้สูงอายุ จังหวัดเชียงใหม่ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพแบบพหุกรณีศึกษา โดยใช้การสืบค้นข้อมูลเชิงเอกสาร การสังเกตแบบมีส่วนร่วม การสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่ม คัดเลือกผู้ให้ข้อมูลแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการสังเคราะห์ประเด็นตามวัตถุประสงค์ ผลการศึกษาพบว่า<br />1) การเสริมสร้างพฤฒพลังแก่ผู้สูงอายุตามแนวทางของพระพุทธศาสนา โดยการประยุกต์หลักพุทธธรรมกับหลักพฤฒพลังขององค์การอนามัยโลก.ได้แก่.การเสริมสร้างพฤฒพลังผู้สูงอายุด้านสุขภาพ ใช้หลักอายุสสธรรม และหลักไตรลักษณ์..การเสริมสร้างพฤฒพลังผู้สูงอายุด้านการมีส่วนร่วม ใช้หลักสังคหวัตถุ และหลักสาราณียธรรม การเสริมสร้างพฤฒพลังผู้สูงอายุด้านหลักประกันมั่นคงปลอดภัย ใช้หลักสัปปายะ และหลักเบญจศีลเบญจธรรม<br />2) “พุทธพลังชราสุข” รูปแบบพุทธบูรณาการเพื่อเสริมสร้างพฤฒพลังสำหรับโรงเรียนผู้สูงอายุ จังหวัดเชียงใหม่ ใช้การบูรณาการหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ด้วยหลักการสร้างความสุขผู้สูงอายุ 6 สุข ได้แก่ สุขกายสังขาร สุขสำราญจิต สุขมิตรสัมพันธ์ชุมชน สุขสร้างกุศลสาธารณะ สุขสัปปายะเหมาะสม และ สุขอุดมศีลธรรม <br />พุทธพลังชราสุข จึงเป็นรูปแบบที่ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุ สามารถมีสุขภาวะที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ อีกทั้งยังเสริมสร้างพฤฒพลัง ความสุข และพัฒนาศีลธรรมเพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความหมาย</p> 2024-11-18T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาอาศรม https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jpar/article/view/5159 คติความเชื่อและประเพณีอินเดียโบราณที่มีอิทธิพลต่อสถานภาพ และบทบาทสตรีในสังคมไทย 2024-10-03T15:36:22+07:00 ประสิทธิ์ ชาระ prasit.ca@rmuti.ac.th พระครูพัชรกิตติโสภณ วิเชียร ขันผักแว่น Khanphakwan123@mail.com <p>บทความนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาคติความเชื่อและประเพณีเกี่ยวกับสตรีสมัยพระเวทและสมัยพุทธกาล 2) เพื่อศึกษาสถานภาพและบทบาทสตรีในสังคมไทย ตั้งแต่สุโขทัยถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น (รัชกาลที่ 1-รัชกาลที่ 6) 3) เพื่อศึกษาคติความเชื่อและประเพณีอินเดียโบราณที่มีอิทธิพลต่อสถานภาพและบทบาทของสตรีในสังคมไทย บทความนี้ เป็นการรวบรวมข้อมูลจากเอกสารทั้งปฐมและทุติยภูมิ แล้วนำมาวิเคราะห์และสังเคราะห์ให้ตอบรับวัตถุประสงค์ ผลการศึกษาพบว่า <br />สถานภาพและบทบาทสตรีสมัยพระเวทและสมัยพุทธกาลนั้น มีสภาพค่อนข้างดี ไม่ได้ถูกกดทับมากนัก เพราะอย่างน้อย สตรีในสมัยฤคเวทก็ยังมีโอกาสบวงสรวงบูชาไฟได้เท่าเทียมกับสามีและมีสิทธิเท่าเทียมกับสามี สตรียังได้รับการศึกษาพระเวทอีกด้วย ในสมัยพุทธกาล สตรีมีสิทธิเข้าบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนาและมีสิทธิเท่าเทียมกันกับบุรุษ ส่วนศาสนาพราหมณ์ที่ยังนับถือคัมภีร์พระเวทอยู่ ก็ยังคงดำเนินชีวิตตามกฎของศาสนา โดยสตรีถูกลดทอนสิทธิลงค่อนข้างมากจากสมัยฤคเวท ขาดการศึกษาและมีสถานภาพต่ำในสังคมและครอบครัว สถานภาพและบทบาทสตรีในสมัยสุโขทัยได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและพระพุทธศาสนา โดยตรงจากการนับถือศาสนา ดังนั้น สถานภาพและบทบาทของสตรีจึงตามติดมากับศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเสียเป็นส่วนใหญ่ สตรีจึงถูกกดทับด้วยระบบความเชื่อ เรื่อยมาถึงอยุธยาจึงยังต้องอยู่ภายใต้อำนาจของสามี จนกระทั่งมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนกลาง (รัชกาลที่ 6) สตรีจึงได้รับการยอมรับมากขึ้น มีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียน สามารถเลือกคู่รักเองได้โดยไม่ต้องถูกบังคับจากบิดามารดา จารีตอินเดียโบราณที่มีอิทธิพลต่อสถานภาพและบทบาทของสตรีในสังคมไทย กล่าวได้ว่า มีอิทธิพลต่อสถานภาพและบทบาทของสตรีในสังคมไทยโดยตรง เพราะจารีตเหล่านี้มาจากความเชื่อทางศาสนา จึงไม่สามารถจะทำให้หลุดได้เปลาะเดียว จะต้องค่อย ๆ ใช้กาลเวลาปอกลอกเปลือกออกทีละชั้น ๆ จนกระทั่งปัจจุบัน สตรีได้รับสิทธิ เสรีภาพ เสมอภาคเท่าเทียมกับบุรุษในแทบทุกด้าน</p> 2024-11-20T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาอาศรม https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jpar/article/view/3904 ศึกษาการพัฒนาสังคมตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาทของโรงเรียนวัดหนองฝา อำเภอโขหลัม จังหวัดน้ำจ๋าง รัฐฉาน สาธารณรัฐสหภาพเมียนมา 2024-03-28T13:03:59+07:00 นาง ก๋อง nangnangkongit@gmail.com ก๋องทิพย์ kaungtipkyio@gmail.com <p>บทความนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) การพัฒนาสังคมตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาท 2) บทบาทการพัฒนาสังคมของโรงเรียนวัดหนองฝา อำเภอโขหลัม จังหวัดน้ำจ๋าง รัฐฉาน และ 3) เพื่อวิเคราะห์การพัฒนาสังคมตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาทของโรงเรียนวัดหนองฝา อำเภอโขหลัม จังหวัดน้ำจ๋าง รัฐฉาน สาธารณรัฐสหภาพเมียนมา</p> <p><strong>ผลการศึกษาพบว่า</strong></p> <p>1) การพัฒนาสังคมตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาทคือกระบวนการสร้างความเจริญงอกงามทางร่างกาย และสติปัญญา เป็นการพัฒนาให้บุคคลมีวุฒิภาวะเป็นผู้ใหญ่ รู้จักรับผิดชอบ มีศีลธรรมอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างเป็นปกติสุข</p> <p>2) บทบาทการพัฒนาสังคมของโรงเรียนวัดหนองฝา อำเภอโขหลัม จังหวัดน้ำจ๋าง รัฐฉาน สาธารณรัฐสหภาพเมียนมา พบว่าโรงเรียนวัดหนองฝา ได้พัฒนาคนด้านร่างกาย จิตใจโดยมุ่งเน้นเรื่องการปฏิบัติอบรมสมาธิภาวนา และบทบาทในการพัฒนาสังคมทั้ง 6 ด้านซึ่งเป็นไปตามแนวคิดของปรัชญาเถรวาท</p> <p>3) เมื่อวิเคราะห์การพัฒนาสังคมตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาทของโรงเรียนวัดหนองฝา อำเภอโขหลัม จังหวัดน้ำจ๋าง รัฐฉาน พบว่าโรงเรียนวัดหนองฝา อำเภอโขหลัม จังหวัดน้ำจ๋าง รัฐฉาน สาธารณรัฐสหภาพเมียนมา มีบทบาทและหน้าที่เป็นไปตามหลักการแห่งพระธรรมวินัย และมีความสอดคล้องกับสภาพปัญหาของสังคมชุมชนเมือง โดยเจ้าอาวาสได้ปฏิบัติหน้าที่บริหารกิจการคณะสงฆ์</p> 2024-10-06T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาอาศรม https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jpar/article/view/4528 หลักศูนยตาในฐานะทรรศนะที่จำเป็นต่อการนิพพานตามแนวคิดของนาคารชุน 2024-07-16T15:58:48+07:00 จิรายุ สหเวชชภัณฑ์ work.jirayu@gmail.com <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายหลักการศูนยตาตามทรรศนะของปรัชญาพุทธสำนักมัธยมกะนำโดยนาคารชุน ศูนยตาหมายถึงความว่างอย่างไรก็ดีหลักการดังกล่าวไม่ได้กล่าวว่าทุกสิ่งคือความว่างเปล่า เพียงแต่ว่าไม่มีสวภาวะเท่านั้น การที่สรรพสิ่งไม่มีสวภาวะเนื่องจากสรรพสิ่งปรากฏขึ้นได้จากการอิงอาศัยสิ่งอื่นกันปรากฏขึ้น จึงไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นความว่างเปล่าหรือความไม่มีของปรากฏการณ์ หรือกล่าวได้ว่าปรากฏการณ์ภายใต้หลักการศูนยตาดังกล่าวมีอยู่จริงแต่ปราศจากสวภาวะที่เที่ยงแท้ บทความต้องการเสนอว่าการมีทรรศนะว่าทุกปรากฏการณ์อยู่ภายใต้หลักศูนยตานี้เป็นทรรศนะที่จำเป็นต่อการเปลี่ยนผ่านจากการเวียนอยู่ในวัฏสงสารไปยังนิพพาน &nbsp;เนื่องจาการถือทรรศนะใด ๆ นอกจากศูนยตานั้นทำให้มนุษย์ยึดติดในปรากฏการณ์ที่ไม่มีความยั่งยืนและแน่นอน เช่นนั้นจึงกล่าวได้ว่านอกจากศูนยตาจะเป็นคำอธิบายที่มัธยมกะใช้อธิบายโลกแล้ว มัธยมกะยังมองว่าการมีทรรศนะแบบศูนยตานั้นนำไปสู่การนิพพานได้ในท้ายที่สุด</p> 2024-10-13T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาอาศรม https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jpar/article/view/4266 แนวทางการประยุกต์หลักพุทธธรรมที่ส่งเสริมเทศกาลตรุษจีน ในจังหวัดเชียงใหม่ 2024-07-16T15:34:57+07:00 ธเนศ ชัยชนะกิจการ dr.thanet@hotmail.com พระครูสิริปริยัตยานุศาสก์ ดวงจันทร์ บุญเทียม siri123@gmail.com เทพประวิณ จันทร์แรง Thepprawin555@gmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ 1) ศึกษาหลักพุทธธรรมที่ส่งเสริมเทศกาลตรุษจีน 2) ศึกษาแนวคิดและพัฒนาการเทศกาลตรุษจีน 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการประยุกต์หลักพุทธธรรมที่ส่งเสริมเทศกาลตรุษจีนในจังหวัดเชียงใหม่ <br />เทศกาลตรุษจีนจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีเพื่อความเป็นสิริมงคล..ความเจริญรุ่งเรืองแก่ตนเองและครอบครัว รวมทั้งไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว เพื่อแสดงความกตัญญูต่อตระกูล มีการให้ทาน การกล่าวคำอวยพร การร่วมประชุม การเคารพผู้ใหญ่ ปฏิบัติตามธรรมเนียมของเทศกาล ซึ่งสอดคล้องกับหลักพุทธธรรมทางพระพุทธศาสนา หลักพุทธธรรมนั้นพระพุทธเจ้าทรงสอนให้มนุษย์เข้าถึงสัจจะแห่งชีวิตและสันติสุขรวมถึงการอยู่ร่วมกันอย่างสันติลดความขัดแย้งขจัดความเห็นแก่ตัว ได้แก่ สังคหวัตถุ 4 สาราณียธรรม 6 อปริหานิยธรรม 7 เทศกาลตรุษจีนถือเป็นเทศกาลสำคัญที่สุดของชาวจีนและชาวพุทธเชื้อสายจีน ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของปี โดยธรรมเนียมปฏิบัติ เมื่อถึงเทศกาลตรุษจีนสมาชิกทุกคนในครอบครัวจะกลับมารวมกันที่บ้านเพื่อร่วมกันเฉลิมฉลอง </p> 2024-11-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาอาศรม https://so09.tci-thaijo.org/index.php/jpar/article/view/5244 การบริหารแหล่งการเรียนรู้ตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ในยุค“BANI World” 2024-10-21T14:13:47+07:00 ธนิดา พูลเจริญ thanidapooljarain@gmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อนำเสนอการบริหารแหล่งการเรียนรู้ตามหลักสัปปุริสธรรม 7​ ในยุคของโลกที่เปราะบางและผันผวน อันเป็นการบริหารแหล่งการเรียนรู้ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยเป็นเครื่องกระตุ้นให้ผู้สอนเห็นความสำคัญของแหล่งเรียนรู้และวางแผนในการใช้แหล่งเรียนรู้ เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้รู้จักวิธีการแสวงหาความรู้ ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ส่งเสริมให้สถานศึกษาผู้เรียนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพ และมีความสุข และยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ จัดสาระการเรียนรู้โดยบูรณาการความรู้และทักษะต่าง ๆอย่างเหมาะสมสอดดล้องกับความสนใจ ความถนัด และความต้องการของผู้เรียน จัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อมการเรียนรู้เป็นไปอย่างมีคุณค่าและเกิดผลโดยตรงต่อตัวผู้เรียน ด้วยกระบวนการบริหารคุณภาพ ตามแนวคิดการพัฒนาการทำงานเพื่อควบคุมคุณภาพงานให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ที่ประกอบไปด้วย การวางแผน การดำเนินงานตามแผน การตรวจสอบ การพัฒนาปรับปรุง พร้อมทั้งนำมาบูรณาการกับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาคือ หลักสัปปุริสธรรม 7 ประการ ได้แก่ 1) ธัมมัญญุตา รู้หลักหรือรู้จักเหตุ 2) อัตถัญญุตา รู้ความมุ่งหมายหรือรู้เหตุผล 3) อัตตัญญุตา รู้จักตน 4) มัตตัญญุา รู้จักประมาณ 5) กาลัญญุตา รู้จักกาลเวลา 6) ปริสัญญุตารู้จักชุมชน สังคม 7) ปุคคลัญญุตา รู้จักบุคคล เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์ต่อสภาพจิตใจของบุคลากรสถานศึกษาที่ต้องทำงานในโลกแห่งความสับสนอลหม่านนี้ด้วย ในการพัฒนาองค์กรจึงได้นิยามโลกใบใหม่ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการรับมือกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงได้อย่างเฉพาะเจาะจงยิ่งกว่าเดิมอย่างรวดเร็วของโลกปัจจุบัน</p> 2024-11-19T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารปรัชญาอาศรม