วารสารคหกรรมศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/hecrmutp <p> วารสารคหกรรมศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างยั่งยืนเป็นวารสารวิชาการมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้ แนวคิดทางคหกรรมศาสตร์และวัฒนธรรม ผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอันนำไปสู่การส่งเสริมให้สมาชิกมีส่วนร่วมในการเผยแพร่และบริการวิชาการแก่สังคมที่ยั่งยืน รับตีพิมพ์บทความวิจัยและบทความวิชาการในสาขาคหกรรมศาสตร์และวัฒนธรรม ประกอบด้วย สาขาอาหารและโภชนาการ อุตสาหกรรมการบริการอาหาร เสื้อผ้าและสิ่งทอ ศิลปะประดิษฐ์ การจัดการบ้านเรือนและชุมชน พัฒนาการเด็กและครอบครัว ศิลปวัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ในชีวิตประจำวัน และสาขาที่เกี่ยวข้อง </p> <p><strong>เลขมาตรฐานสากลประจำวารสาร: </strong>ISSN: 3027-6071 (Online)</p> <p><strong>กระบวนการพิจารณาบทความ</strong><strong>: </strong>บทความทุกบทความที่ผ่านการพิจารณาคุณภาพเบื้องต้นจากกองบรรณาธิการ จะได้รับการพิจารณาจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาหรือที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาที่มาจากหลากหลายสถาบัน (peer review) จำนวน 3 ท่าน ที่ไม่สังกัดเดียวกับผู้เขียน และแตกต่างหน่วยงานกัน โดยใช้รูปแบบที่ผู้ประเมินบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์ และผู้นิพนธ์ไม่ทราบชื่อผู้ประเมินบทความ (Double-Blind Peer Review) และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนการตีพิมพ์</p> <p><strong>ประเภทของบทความ</strong><strong>: </strong>บทความวิจัย (Research Article) และบทความวิชาการ (Academic Article)</p> <p><strong>ภาษาที่รับตีพิมพ์</strong><strong>: </strong>ภาษาไทย </p> <p><strong>กำหนดการเผยแพร่</strong><strong>: </strong> ปีละ 3 ฉบับ (ราย 4 เดือน)</p> <p> ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม-เมษายน<br /> ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม<br /> ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน-ธันวาคม</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์: </strong>วารสารคหกรรมศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างยั่งยืนยังไม่มีนโยบายเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</p> <p><img src="https://so09.tci-thaijo.org/public/site/images/uokittipong@gmail.com/mceclip1-040dd9ff8873ff45fe675431e83facee.png" width="650" height="545" /></p> <p><strong>เจ้าของวารสาร</strong><strong>: </strong>คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร</p> <p> </p> คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร (Faculty of Home Economics Technology Rajamangala University of Technology Phra Nakhon) th-TH วารสารคหกรรมศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน 3027-6071 ผืนดินมหัศจรรย์สู่การอนุรักษ์ข้าวเกรียบแห้วสุพรรณ: ภูมิปัญญาท้องถิ่น กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเพื่อนแก้ว จังหวัดสุพรรณบุรี https://so09.tci-thaijo.org/index.php/hecrmutp/article/view/5697 <p>งานวิจัยนี้ เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพด้วยวิธีวิทยาการวิจัยแบบปรากฏการณ์วิทยา มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความรู้เกี่ยวกับแห้วและผลผลิตอันนำไปสู่การผลิตข้าวเกรียบแห้วของกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเพื่อนแก้ว 2) ศึกษาภูมิปัญญาการทำข้าวเกรียบแห้วของกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเพื่อนแก้ว และ 3) นำเสนอสื่อเผยแพร่ภูมิปัญญาการทำข้าวเกรียบแห้วของกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเพื่อนแก้ว ผู้ให้ข้อมูลหลักเป็นประธานกลุ่ม 1 คน และสมาชิกกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเพื่อนแก้ว 4 คน รวม 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์และแบบบันทึกภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรเพื่อนแก้ว ตั้งอยู่ในจังหวัดสุพรรณบุรีที่มีพื้นที่เพาะปลูกแห้วเป็นจำนวนมาก เนื่องจากมีชุดดินสระบุรีไฮเฟตที่มีความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ ประกอบกับพื้นที่เป็นดินร่วนปนทรายผสมดินเหนียวที่มีน้ำหล่อเลี้ยงตลอดปี จึงทำให้ได้ผลิตผลที่มีคุณภาพ 2) ภูมิปัญญาการทำข้าวเกรียบแห้ว ประกอบด้วย 8 ขั้นตอน ได้แก่ การปอกและล้าง การบด กวน คลุกเคล้า นวดและปั้น ห่อและนึ่ง หั่นตากแดด และการบรรจุ เป็นผลิตภัณฑ์ที่แสดงถึงอัตลักษณ์ของพื้นที่ 3) สื่อเผยแพร่ภูมิปัญญา จัดทำเป็นอินโฟกราฟิกและวีดิทัศน์ มอบให้ชุมชนสำหรับเผยแพร่ อนุรักษ์ และต่อยอดภูมิปัญญาการทำข้าวเกรียบแห้วที่เป็นผลิตภัณฑ์ประจำท้องถิ่น</p> ยานุมาศ กองร้อยอยู่ พรเทพ กลิ่นแดง อภิษฎา ดำมี ทิวากร เกื้อสม จุฑามาศ พีรพัชระ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารคหกรรมศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน 2025-08-28 2025-08-28 7 2 1 15 การศึกษาผลของการใช้ข้าวเม่าทดแทนแป้งข้าวเหนียวในผลิตภัณฑ์กะละแม https://so09.tci-thaijo.org/index.php/hecrmutp/article/view/6218 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้ข้าวเม่าทดแทนแป้งข้าวเหนียวในผลิตภัณฑ์กะละแมในอัตราร้อยละ 0 40 70 และ 100 โดยน้ำหนัก เพื่อหาสัดส่วนของวัตถุดิบ ที่เหมาะสมในผลิตภัณฑ์กะละแมข้าวเม่า โดยวิเคราะห์คุณสมบัติทางกายภาพ ได้แก่ ค่าสีและเนื้อสัมผัส องค์ประกอบทางเคมี และการยอมรับของผู้บริโภค พบว่าผลิตภัณฑ์กะละแมข้าวเม่าร้อยละ 40 มีคุณลักษณะเหมาะสมสำหรับการพัฒนา โดยได้รับคะแนนประเมินทางประสาทสัมผัสในระดับสูงทุกด้าน ผู้บริโภคส่วนใหญ่ให้การยอมรับในระดับดี ด้านคุณสมบัติทางกายภาพ ค่าสีมีค่า L* เท่ากับ 41.45±0.69, a* เท่ากับ 0.53±0.05, b* เท่ากับ 46.71±0.52 และ ΔE เท่ากับ 11.19±0.66 ค่าความแข็งเพิ่มจาก 133.00±0.82 กรัม เป็น 167.25±0.50 กรัม ค่า Cohesiveness, Gumminess และ Chewiness สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p≤0.05) ให้สีเขียวและเนื้อสัมผัสเหนียวนุ่ม ด้านองค์ประกอบทางเคมีพบว่า สูตรดังกล่าวมีโปรตีน ไขมัน และใยอาหารสูงขึ้น ขณะที่คาร์โบไฮเดรตลดลง และผู้บริโภคให้การยอมรับร้อยละ 100 แสดงถึงความเป็นไปได้ในการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ขนมไทยที่ใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นที่ยังคงเอกลักษณ์ของกะละแมแบบดั้งเดิมไว้ได้</p> สรชา ผูกพันธ์ จุฑามาศ กองผาพา อาภัสรา ลาดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารคหกรรมศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน 2025-08-28 2025-08-28 7 2 16 29 การพัฒนาผลิตภัณฑ์ไอศกรีมหลนเค็มบักนัด https://so09.tci-thaijo.org/index.php/hecrmutp/article/view/6221 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปริมาณการทดแทนวิปปิ้งครีมด้วยหลนเค็มบักนัดที่เหมาะสมในการผลิตไอศกรีมหลนเค็มบักนัด และศึกษาลักษณะด้านกายภาพของไอศกรีมหลนเค็มบักนัด โดยการเติมหลนเค็มบักนัดที่ 4 ระดับ ได้แก่ ร้อยละ 0 (สูตรควบคุม) 5 10 และ 15 ผลการวิจัยพบว่า การศึกษาปริมาณการทดแทนวิปปิ้งครีมด้วยหลนเค็มบักนัดที่เหมาะสมในการผลิตไอศกรีมหลนเค็มบักนัด คะแนนประเมินคุณภาพทางด้านประสาทสัมผัสมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p≤0.05) ผู้ประเมินคุณภาพทางประสาทสัมผัสให้การยอมรับสูตรที่ทดแทนวิปปิ้งครีมด้วยหลนเค็มบักนัดร้อยละ 5 มากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยด้านปัจจัยคุณภาพ ดังนี้ สี กลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส (ความเนียน) และความชอบโดยรวม มีค่าเฉลี่ย 3.82 3.72 3.74 3.64 และ 3.84 ตามลำดับ สำหรับคุณภาพทางกายภาพ พบว่า ค่าสีของการทดแทนวิปปิ้งครีมด้วยหลนเค็มบักนัดทั้ง 4 ระดับ มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p≤0.05) สูตรที่ทดแทนวิปปิ้งครีมด้วยหลนเค็มบักนัดร้อยละ 5 มีค่าสี L*a*b* เท่ากับ 85.59 1.49 และ 20.17 ตามลำดับ และอัตราการละลายของการทดแทนวิปปิ้งครีมด้วยหลนเค็มบักนัดทั้ง 4 ระดับ มีแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p≤0.05) สูตรที่ทดแทนวิปปิ้งครีมด้วยหลนเค็มบักนัดร้อยละ 5 มีค่า 35.53 ส่วนอัตราการขึ้นฟูไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&gt;0.05) สูตรที่ทดแทนวิปปิ้งครีมด้วยหลนเค็มบักนัดร้อยละ 5 มีค่าอัตราการขึ้นฟู เท่ากับ 10.22</p> กิตธวัช บุญทวี ปพิชญา อุปมา ลลิตา ดาวประสงค์ สุกัลยา นันตา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารคหกรรมศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน 2025-08-28 2025-08-28 7 2 30 42 สมบัติทางกายภาพและเคมีของเม็ดบีดส์ขมิ้นชันผสมน้ำสมุนไพรด้วยเทคนิครีเวิร์สสเฟียริฟิเคชัน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/hecrmutp/article/view/6309 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาวะที่เหมาะสมในการผลิตเม็ดบีดส์ขมิ้นชันผสมน้ำสมุนไพรด้วยเทคนิครีเวิร์สสเฟียริฟิเคชัน ศึกษาสมบัติทางกายภาพ และฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระของเม็ดบีดส์ที่มีความเข้มข้นของขมิ้นชันที่แตกต่างกัน 4 ระดับ ได้แก่ ร้อยละ 0 5 10 และ 15 ของน้ำหนักส่วนผสมเม็ดบีดส์ทั้งหมด เมื่อแช่เม็ดบีดส์ใน calcium lactate ที่ความเข้มข้นที่แตกต่างกัน 2 ระดับ (1 กรัม/น้ำ 100 กรัม และ 1.2 กรัม/น้ำ 100 กรัม) นาน 10 นาที และ 15 นาที พบว่า การแช่เม็ดบีดส์ใน calcium lactate ที่ความเข้มข้น 1.2 กรัม/น้ำ100 กรัม เป็นระยะเวลา 15 นาที ส่งผลให้เม็ดบีดส์มีค่าความแข็งสูงที่สุด (0.808±0.052 N) และเม็ดบีดส์มีความสามารถในการบวมน้ำต่ำที่สุดแสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงและความหนาของผนังเม็ดบีดส์ โดยที่เม็ดบีดส์ทุกสูตรมีอัตราส่วนด้านยาวด้านสั้นเฉลี่ยไม่แตกต่างกัน (1.19-1.25) เมื่อวิเคราะห์ฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี FRAP และ ABTS พบว่าการเพิ่มปริมาณขมิ้นชันทำให้เม็ดบีดส์มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) แสดงให้เห็นว่าขมิ้นชันมีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่อาจเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค ดังนั้นเม็ดบีดส์ขมิ้นชันนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มกลุ่มอาหารฟังก์ชั่นได้</p> ฉัตรยา งามเลิศ เจนจิรา พกาวัลย์ กัมปนาท แก้วใหญ่ ณัฐณิชา พรหมยศ สุพรรณิการ์ โกสุม นันทวัน ชมโฉม สาวินี เพียรชำนาญ นันทพร อัคนิจ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารคหกรรมศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน 2025-08-28 2025-08-28 7 2 43 55 ผลิตภัณฑ์น้ำพริกเผาอัดก้อนกึ่งสำเร็จรูปจากเทคโนโลยีการอบแห้งด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/hecrmutp/article/view/6313 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสูตรพื้นฐานน้ำพริกเผา เพื่อศึกษาระยะเวลาการอบแห้งน้ำพริกเผาด้วยเทคโนโลยีการอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อให้เหมาะสมกับการอัดก้อนกึ่งสำเร็จรูป และศึกษาการคืนสภาพน้ำพริกเผาอัดก้อนกึ่งสำเร็จรูป โดยการประเมินคุณภาพทางประสาทสัมผัสด้านสีกลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส และความชอบโดยรวม ด้วยสเกล 5 ระดับ (5-Point Hedonic Scale) โดยใช้ผู้ทดสอบชิมจำนวน 60 คน ผลการศึกษาพบว่า ผู้ทดสอบชิมให้คะแนนความชอบน้ำพริกเผาสูตรที่ 1 มากที่สุด โดยมีส่วนผสมประกอบด้วยน้ำตาลมะพร้าวร้อยละ 14.74 กะปิร้อยละ 4.52 น้ำมะขามเปียกร้อยละ 2.52 น้ำปลาร้อยละ 6.70 น้ำมันพืชร้อยละ 20.10 หอมแดงเผาร้อยละ 23.11 กระเทียมจีนเผาร้อยละ 19.93 และพริกแห้งร้อยละ 8.38 ผลการอบแห้งน้ำพริกเผาด้วยการใช้โรงอบพลังงานแสงอาทิตย์ที่อุณหภูมิ 60-70 องศาเซลเซียสพบว่า น้ำพริกเผาที่อบแห้งเป็นเวลา 6 ชั่วโมง เหมาะสมสำหรับการขึ้นรูปเป็นก้อนได้ โดยน้ำพริกเผามีสีแดงเข้ม มีค่าความชื้นและค่าปริมาณน้ำอิสระ (a<sub>w</sub>) ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.4/2556) การคืนสภาพน้ำพริกเผาอัดก้อนกึ่งสำเร็จรูปด้วยการเติมน้ำต้มสุก 5 กรัม ลงในน้ำพริกเผาอัดก้อน 10 กรัม ได้รับการยอมรับทางประสาทสัมผัสดีที่สุด โดยมี สี กลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส และความชอบโดยรวม ที่ใกล้เคียงกับสูตรพื้นฐาน</p> ฐานิศร กนกเลิศฤทธิ์ เศรษฐพงศ์ อัปมะเย นงนภสร ทองศิลา สาธิต ทองสุกงาม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารคหกรรมศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน 2025-08-28 2025-08-28 7 2 56 68 การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชูครีมจากแป้งข้าวสีนิลไส้ครีมสะเต๊ะเสริมเนื้อปลาทับทิม https://so09.tci-thaijo.org/index.php/hecrmutp/article/view/5984 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปริมาณแป้งข้าวสีนิลทดแทนแป้งสาลีในผลิตภัณฑ์ชูครีม และศึกษาปริมาณที่เหมาะสมของแป้งข้าวโพดและการเสริมเนื้อปลาทับทิมในไส้ครีมสะเต๊ะ พบว่า การนำแป้งข้าวสีนิลทดแทนแป้งสาลีในปริมาณร้อยละ 15 20 และ 25 ของน้ำหนักแป้งในปริมาณที่เพิ่มขึ้น ผลทดสอบทางประสาทสัมผัส พบว่า ปริมาณแป้งข้าวสีนิลที่ใช้ทดแทนแป้งสาลีร้อยละ 20 มีคะแนนความชอบทางประสาทสัมผัสด้านความชอบโดยรวมสูงสุด (p≤0.05) อยู่ในระดับชอบมาก ส่งผลให้ค่าความสว่าง (L*) ลดลง (p≤0.05) จากนั้นนำผลิตภัณฑ์มาศึกษาปริมาณที่เหมาะสมของแป้งข้าวโพดและการเสริมเนื้อปลาทับทิมในไส้ครีมสะเต๊ะ โดยปริมาณแป้งข้าวโพด 2 ระดับ (ร้อยละ 4 และร้อยละ 6) และปริมาณเนื้อปลาทับทิม (ร้อยละ 15 และร้อยละ 20) พบว่า ปริมาณแป้งข้าวโพดร้อยละ 4 และเนื้อปลาทับทิมร้อยละ 20 ของน้ำหนักครีมสะเต๊ะ มีคะแนนความชอบทางประสาทสัมผัสด้านความชอบโดยรวมสูงสุด (p≤0.05) อยู่ในระดับชอบมาก</p> กนกวรรณ ทองเกียว ศศิอาภา บุญคง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารคหกรรมศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน 2025-08-28 2025-08-28 7 2 69 81 ผลของการลดปริมาณน้ำตาลไอซิ่งต่อคุณภาพทางกายภาพ เคมี และอายุการเก็บรักษาคุกกี้ตูเลจากแป้งข้าวไรซ์เบอร์รี่ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/hecrmutp/article/view/6299 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการลดปริมาณน้ำตาลไอซิ่งในคุกกี้ตูเลจากแป้งข้าวไรซ์เบอร์รี่ต่อคุณภาพทางกายภาพ เคมี และอายุการเก็บรักษา โดยแปรการลดปริมาณน้ำตาลไอซิ่ง 4 ระดับ คือ ร้อยละ 0 (ควบคุม) 30 35 และ 40 ตามลำดับ พบว่า คุกกี้ตูเลจากแป้งข้าวไรซ์เบอร์รี่ที่ลดปริมาณน้ำตาลไอซิ่งเพิ่มขึ้นมีค่าความแข็ง ค่า L* และ a* ลดลง (p≤0.05) ค่าความกว้าง ความหนา อัตราการแผ่กระจายเพิ่มขึ้นเมื่อลดน้ำตาลไอซิ่งร้อยละ 30 ขึ้นไป การลดปริมาณน้ำตาลไอซิ่งส่งผลให้ปริมาณความชื้นและคาร์โบไฮเดรตลดลง ปริมาณโปรตีน และไขมันสูงขึ้น ตัวอย่างคุกกี้ตูเลจากแป้งข้าวไรซ์เบอร์รี่ที่ลดปริมาณน้ำตาลไอซิ่ง ร้อยละ 30 มีค่าสีและลักษณะเนื้อสัมผัส ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความชอบของผู้บริโภคใกล้เคียงกับสูตรควบคุมมากที่สุด คุกกี้ตูเลจากแป้งข้าวไรซ์เบอร์รี่ที่บรรจุในถุงพลาสติกชนิด โพลิโพรพิลีนที่อุณหภูมิ 28±2 องศาเซลเซียส นาน 28 วัน มีปริมาณน้ำอิสระเท่ากับ 0.30 ซึ่งไม่เกินที่มาตรฐานกำหนด และมีค่าความแข็งลดลงเมื่อระยะเวลาการเก็บรักษานานขึ้น แต่เมื่อสัมผัสด้วยมือพบว่า คุกกี้ตูเลมีความกรอบลดลง นิ่มมากขึ้นในวันที่ 14 ดังนั้นระยะเวลาการเก็บรักษาคุกกี้ตูเลจากแป้งข้าวไรซ์เบอร์รี่ที่ลดปริมาณน้ำตาลไอซิ่งคือ 14 วัน</p> เจตนิพิฐ เนียมสุข กฤษชนก ศุขเกษม วัสสกร มณีนิล พัชรพร เวียงวีระชาติ อุมาพร มีเดช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารคหกรรมศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน 2025-08-28 2025-08-28 7 2 82 95 พฤติกรรมการบริโภคอาหารและปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดความดันโลหิตสูง ในนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายในเขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร https://so09.tci-thaijo.org/index.php/hecrmutp/article/view/6200 <p>ความดันโลหิตสูงเป็นภัยเงียบส่งผลต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ และอันตรายถึงชีวิต สามารถป้องกันได้จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคโซเดียม การออกกำลังกาย และการควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสม การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะโภชนาการ องค์ประกอบร่างกาย พฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีโซเดียมสูง และศึกษาความสัมพันธ์ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดความดันโลหิตสูงในนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายในเขตราชเทวี จำนวน 455 คน แบ่งเป็นผู้ชาย 229 คน ผู้หญิง 226 คน มีอายุเฉลี่ย 16.71 ปี พบว่ามีความดันโลหิตเกือบสูง ร้อยละ 17.1 ความดันโลหิตสูงระดับ 1 ร้อยละ 2 และระดับ 2 ร้อยละ 1.3 ภาวะโภชนาการน้ำหนักตามเกณฑ์อายุ ส่วนใหญ่นักเรียนอยู่ในน้ำหนักตามเกณฑ์ ร้อยละ 54.7 ภาวะโภชนาการน้ำหนักตามเกณฑ์ส่วนสูง และส่วนสูงตามเกณฑ์อายุพบว่าส่วนใหญ่นักเรียนอยู่ในเกณฑ์สมส่วน ร้อยละ 56 และส่วนสูงตามเกณฑ์ ร้อยละ 78 องค์ประกอบร่างกายพบว่า เปอร์เซ็นต์ไขมันในเพศหญิงมีค่าเฉลี่ย 27.28 จัดอยู่ในระดับมากกว่าเกณฑ์ซึ่งมากกว่าเพศชายที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 18.43 การบริโภคอาหารที่มีโซเดียมของนักเรียนที่มีความดันปกติ อยู่ในระดับมากกว่า 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ร้อยละ 87.8 ประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคความดันโลหิตสูงมีความสัมพันธ์ต่อความดันโลหิตสูงในนักเรียนระดับสูง (r=0.93)</p> ภัณฑิรา กลิ่นสวัสดิ์ ทวีศักดิ์ เตชะเกรียงไกร กานต์สุดา วันจันทึก ทิวาพร มณีรัตนศุภร พิมพ์อร สุขแล้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารคหกรรมศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน 2025-08-28 2025-08-28 7 2 96 112 การตกแต่งน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้หอมบนผ้าฝ้ายอินทรีย์ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/hecrmutp/article/view/6066 <p>การศึกษาวิจัยในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อทำการศึกษาสภาวะที่เหมาะสมในการตกแต่งชนิดการดูดซึม ด้วยน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้หอมซึ่งเป็นพืชพื้นถิ่นไทย และความคงทนของกลิ่นน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้หอม โดยทดสอบการดมกลิ่นกับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 30 คน วิธีการดำเนินการวิจัยนำผ้าฝ้ายอินทรีย์ทดสอบเพื่อยืนยันการเป็นผลิตภัณฑ์ผ้าฝ้ายอินทรีย์แล้วทำการตกแต่งน้ำมันหอมระเหยตะไคร้หอมบนผ้าด้วยกระบวนการดูดซึม ชิ้นตัวอย่างจะถูกตกแต่งในสภาวะที่แตกต่างกัน โดยใช้อุณหภูมิ 25 และ 30 องศาเซลเซียส ระดับความเข้มข้น 3% และ 5% โดยใช้เวลา 5 10 และ 15 นาที และทำให้แห้ง แล้วนำมาทดสอบความคงทนต่อกลิ่นด้วยการดมโดยอาสาสมัคร 30 คน ให้คะแนนที่ระดับ 0-10 แล้วนำข้อมูลมาวิเคราะห์ โดยใช้ร้อยละ และค่าเฉลี่ย ผลการวิจัยสามารถสรุปผลได้ดังนี้ จากชิ้นตัวอย่างทั้งหมด 12 ชิ้น ตัวอย่างที่ 3 ซึ่งผ่านการตกแต่งที่ความเข้มข้น 3% อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส และ ระยะเวลาที่แช่ 15 นาที ให้กลิ่นหอมที่คงทนที่สุด โดยได้คะแนนเฉลี่ยที่ 9.40 รองลงมาคือ ตัวอย่างที่ 1 (ความเข้มข้น 3% อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส ระยะเวลาที่แช่ 5 นาที) และตัวอย่างที่ 12 (ความเข้มข้น 5% อุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียส ระยะเวลาที่แช่ 15 นาที) โดยได้คะแนนเฉลี่ยที่ 9.33 และ 8.55 ตามลำดับ สำหรับงานวิจัยนี้ สามารถนำไปต่อยอดในเชิงพาณิชย์ด้วยการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบอื่น ๆ อาทิเช่น เคหะสิ่งทอ เสื้อผ้าโอกาสพิเศษ เช่น ชุดถือศีลชุดเดินป่า ที่ตกแต่งสำเร็จป้องกันยุง (Anti-mosquito finishes) ได้ด้วย ทั้งยังสามารถนำไปสู่การตกแต่งผ้าเพื่อสุขภาพ เช่น การเคลือบน้ำมันตะไคร้หอมในการผลิตที่นอนยางพารา</p> สุขุมาล หวังวณิชพันธุ์ เสาวณีย์ อารีจงเจริญ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารคหกรรมศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน 2025-08-28 2025-08-28 7 2 113 126 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจในเครื่องประดับผมที่ตกแต่งด้วยงานถักโครเชต์ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/hecrmutp/article/view/6297 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเครื่องประดับผมที่ตกแต่งด้วยงานถักโครเชต์ ศึกษาความพึงพอใจและปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้บริโภคต่อเครื่องประดับผมดังกล่าว เป็นการวิจัยเชิงทดลอง โดยได้พัฒนาเครื่องประดับผม 3 ประเภท ได้แก่ กิ๊บติดผม ยางรัดผม และสครันชี่ โดยกิ๊บติดผมและยางรัดผมมีการตกแต่งด้วยงานถักโครเชต์ 4 รูปแบบ ดอกไม้ โบมีหาง โบไม่มีหาง และโบเชือก จากไหมพรม 2 ชนิด ฝ้ายนม และโพลีเอสเตอร์กำมะหยี่ ผลการศึกษาความพึงพอใจพบว่า กิ๊บติดผมและยางรัดผมที่ตกแต่งด้วยงานถักโครเชต์ได้รับความพึงพอใจโดยรวมในระดับมาก ส่วนสครันชี่ถักโครเชต์ได้รับความพึงพอใจโดยรวมในระดับมากที่สุด ผลการศึกษาปัจจัยที่ส่งผลพบว่า รูปแบบงานถักโครเชต์ มีผลต่อความพึงพอใจในกิ๊บติดผมและยางรัดผม (p£0.05) ขณะที่ชนิดไหมพรม มีผลต่อความพึงพอใจเฉพาะในยางรัดผม (p£0.05) แต่ไม่มีผลต่อกิ๊บติดผมและสครันชี่ (p&gt;0.05) และปฏิสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบงานถักโครเชต์และชนิดไหมพรม ไม่มีผลต่อความพึงพอใจในกิ๊บติดผมและ ยางรัดผม (p&gt;0.05) ผลการวิจัยเป็นแนวทางในการผลิตเครื่องประดับผมที่ตกแต่งด้วยงาน<br />ถักโครเชต์เพื่อจำหน่ายได้</p> กรวรรณ ใจคำ วัลภา แต้มทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารคหกรรมศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน 2025-08-28 2025-08-28 7 2 127 143 ประสิทธิผลของการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการต่อการยอมรับวัคซีนในผู้สูงอายุ: บทบาทสำคัญของสื่อบุคคลและการมีส่วนร่วมของครอบครัว https://so09.tci-thaijo.org/index.php/hecrmutp/article/view/6694 <p>การวิจัยแบบผสมผสานวิธีนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาระดับการเข้าถึง ความเข้าใจ และการยอมรับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับวัคซีนผ่านช่องทางการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการในผู้สูงอายุ 2) เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลระหว่างช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ต่อการยอมรับวัคซีนในผู้สูงอายุ 3) เพื่อวิเคราะห์อิทธิพลของการมีส่วนร่วมของครอบครัวและสื่อบุคคลต่อการตัดสินใจรับวัคซีนของผู้สูงอายุ และ 4) เพื่อพัฒนาข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เก็บข้อมูลเชิงปริมาณจากผู้สูงอายุในอำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี จำนวน 429 คน ด้วยแบบสอบถาม 5 ส่วน ที่ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (IOC = 0.91) และความเที่ยง (α = 0.89) โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน ส่วนเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูล 50 คน ด้วยการคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ผลการศึกษาพบว่า 1) ผู้สูงอายุเข้าถึงข้อมูลผ่านสื่อบุคคล (อสม.) มากที่สุด มีระดับความเข้าใจสูง (x̅ = 4.25) สูงกว่าสื่อประเภทอื่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001) 2) สื่อบุคคลมีประสิทธิผลสูงสุดในการส่งเสริมการยอมรับวัคซีน 3) ความไว้วางใจและความสัมพันธ์ส่วนบุคคลระหว่างอาสาสมัครสาธารณสุขกับผู้สูงอายุ รวมถึงการสื่อสารแบบสองทางและการติดตามอย่างต่อเนื่องเป็นปัจจัยสำคัญต่อประสิทธิผลการสื่อสาร และ 4) ควรพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารที่เน้นการเสริมสร้างเครือข่ายสื่อบุคคล พัฒนาระบบการสื่อสารแบบบูรณาการ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของครอบครัว ผลการศึกษานี้สะท้อนความสำคัญของการพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารที่เน้นการมีส่วนร่วมของสื่อบุคคลและครอบครัวในบริบทสังคมไทย</p> พัทธ์พสุตม์ สาธุนุวัฒน์ นันทนิธิ์ เอิบอิ่ม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารคหกรรมศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน 2025-08-28 2025-08-28 7 2 144 160 การสังเคราะห์อัตลักษณ์สู่ภาพประกอบเชิงสัญลักษณ์: กรณีศึกษาการออกแบบปกอุทยานธรณีขอนแก่นเพื่อเสนอต่อยูเนสโก https://so09.tci-thaijo.org/index.php/hecrmutp/article/view/6401 <p>การสื่อสารอัตลักษณ์ของพื้นที่มรดกทางวัฒนธรรมและธรณีวิทยาให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล จำเป็นต้องอาศัยภาพประกอบที่มีประสิทธิภาพ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ(1) ศึกษาอัตลักษณ์ของอุทยานธรณีขอนแก่น ทั้งด้านธรณีวิทยา วัฒนธรรม และภูมิทัศน์ และ (2) ออกแบบภาพประกอบที่สามารถถ่ายทอดอัตลักษณ์ดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพในระดับสากล ใช้วิธีวิจัยแบบผสมผสาน โดยแบ่งการศึกษาออกเป็นสองส่วนตามวัตถุประสงค์ คือ การศึกษาอัตลักษณ์ด้วยวิจัยเชิงคุณภาพ และการออกแบบด้วยวิจัยเชิงปริมาณ เพื่อนำเสนอองค์ประกอบสำคัญที่สะท้อนอัตลักษณ์ของพื้นที่ ผ่านแนวทางการลดทอนเนื้อหาและจัดองค์ประกอบ ด้วยเทคนิคจิตรกรรมดิจิทัล (Digital painting) นำเสนอสาระสำคัญใน 3 ด้าน ได้แก่ ภูมิประเทศ ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม และความหลากหลายทางชีวภาพ ผลการประเมินจากกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงจำนวน 50 คน พบว่า ภาพประกอบสามารถสื่อความหมายได้อย่างชัดเจน มีความเหมาะสมในการเลือกใช้รูปแบบและองค์ประกอบทางศิลป์ รวมถึงด้านความสวยงาม สี รูปทรง และการจัดวาง ได้รับความพึงพอใจในระดับมากที่สุด ภาพประกอบที่พัฒนาขึ้นได้นำไปใช้จริงเป็นปกเอกสารประกอบการเสนอขอรับรองอุทยานธรณีโลกยูเนสโก และใช้ในการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวาง ช่วยให้การสื่อสารอัตลักษณ์ของพื้นที่มีความชัดเจนยิ่งขึ้น และส่งเสริมการรับรู้ ความเข้าใจ และความสนใจในคุณค่าของอุทยานธรณีในวงกว้าง</p> ปรารถนา จิรปสิทธินนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารคหกรรมศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน 2025-08-28 2025-08-28 7 2 161 174 วัดไทยในฐานะแหล่งนันทนาการชุมชนร่วมสมัย: การบูรณาการศรัทธา วัฒนธรรม และสุขภาวะ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/hecrmutp/article/view/6337 <p>การเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตไทยในยุคร่วมสมัย ทั้งการขยายตัวของเมือง การเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ และการลดบทบาทของพื้นที่สาธารณะ ทำให้ประชาชนขาดแคลนพื้นที่ที่ตอบสนองสุขภาวะในชีวิตประจำวัน วัดไทยซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางทางศาสนาและชุมชนจึงถูกตั้งคำถามใหม่ถึงบทบาทในฐานะแหล่งนันทนาการร่วมสมัย บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์บทบาทของวัดในการรองรับความเปลี่ยนแปลงทางสังคม ศึกษากระบวนการพัฒนาพื้นที่ผ่านสัญลักษณ์ทางศรัทธาและวัฒนธรรม สังเคราะห์รูปแบบกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาวะองค์รวม และเสนอแนวทางการพัฒนาพื้นที่นันทนาการในวัดไทยอย่างยั่งยืน โดยอิงแนวคิดด้านนันทนาการชุมชน การเปลี่ยนผ่านของบทบาทศาสนสถาน และการออกแบบพื้นที่อย่างยั่งยืน ผลการศึกษาพบว่า วัดไทยหลายแห่งได้ปรับบทบาทสู่ “พื้นที่พหุมิติ” และ “พื้นที่ทางสังคมที่สาม” โดยใช้สัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม เช่น พญานาค พระพุทธรูป และสถาปัตยกรรมศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเชื่อมโยงศรัทธากับกิจกรรมทางสังคม ทั้งนี้รูปแบบกิจกรรมนันทนาการที่พัฒนาขึ้นมีส่วนเสริมสร้างสุขภาวะทางกาย จิตใจ และสังคม อย่างกลมกลืน ส่งผลให้เกิดประโยชน์เชิงสุขภาวะ เศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ชุมชนในระยะยาว สำหรับแนวทางการพัฒนาควรเน้นการออกแบบพื้นที่ที่ปลอดภัย ยืดหยุ่น และครอบคลุมตามหลักอารยสถาปัตย์ อีกทั้งควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน และบูรณาการกิจกรรมที่เชื่อมโยงศรัทธา วัฒนธรรม และนันทนาการ พร้อมทั้งประสานเข้ากับนโยบายสาธารณะ และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน</p> เตชภณ ทองเติม พรหมลิขิต อุรา ศิริวุฒิ วรรณทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารคหกรรมศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน 2025-08-28 2025-08-28 7 2 175 188