วารสารสังคมศาสตร์และธุรกิจศึกษา
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JSSBS
<div><strong>วารสารสังคมศาสตร์และธุรกิจศึกษา</strong></div> <div><strong>Journal of Social Sciences and Business Studies</strong></div> <div>ISSN xxxx-xxxx (Online)</div> <div> </div> <div><strong>วัตถุประสงค์ : </strong></div> <div> เพื่อส่งเสริม สนับสนุน และเพิ่มการเข้าถึงการตีพิมพ์ ให้นักวิชาการ นิสิต นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไปได้มีโอกาสเผยแพร่ผลงานทางวิชาการทางด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ได้แก่ ปรัชญาศาสนา รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ จิตวิทยา พฤติกรรมศาสตร์ นิเทศศาสตร์ รวมถึงด้านธุรกิจศึกษา ได้แก่ การบัญชี การจัดการ การตลาดดิจิทัล </div> <div> </div> <div><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์เผยแพร่ (Scope and Publication Policies)</strong></div> <div> วารสารมีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนให้นักวิชาการ นิสิต นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไปได้มีโอกาสเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ ทางด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ได้แก่ ปรัชญาศาสนา รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ จิตวิทยา พฤติกรรมศาสตร์ นิเทศศาสตร์ รวมถึงด้านธุรกิจศึกษา ได้แก่ การบัญชี การจัดการ การตลาด ดิจิทัล โดยเริ่มดำเนินการตีพิมพ์เผยแพร่มาตั้งแต่ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2565 เป็นต้นมา ซึ่งมีกำหนดเผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน) และฉบับที่ 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม สำหรับประเภทของบทความ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทความปริทัศน์หนังสือ รับตีพิมพ์บทความทั้งบทความภาษาไทยและบทความภาษาอังกฤษ และวารสารมีกระบวนการพิจารณาคุณภาพบทความตามหลักเกณฑ์การพิจารณาของวารสารและคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบบทความวารสารในรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) อย่างเข้มข้นเช่นเดียวกันทุกฉบับ</div> <div> <br /><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</strong></div> <div> วารสารสังคมศาสตร์และธุรกิจศึกษา มีค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์เฉพาะแบบปกติ และไม่มีค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์แบบเร่งด่วน (Fast Track) ดังนี้</div> <div> - บทความวิจัย/บทความวิชาการ/บทความปริทัศน์หนังสือ ภาษาไทย 3,000 บาท/ บทความ</div> <div> - บทความวิจัย/ บทความวิชาการ/ บทความปริทัศน์หนังสือ ภาษาอังกฤษ 4,500 บาท/ บทความ<br /><br /></div> <div><strong>คำชี้แจง ขั้นตอนการชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสาร</strong></div> <div> 1. ขอให้ผู้นิพนธ์ส่งไฟล์เอกสารผ่านระบบ ThaiJo ประกอบด้วย</div> <div> 1.1 บทความวิจัย/บทความวิชาการ/บทความปริทัศน์หนังสือ ในรูปแบบไฟล์ Word จำนวน 1 ไฟล์</div> <div> 1.2 แบบฟอร์มส่งบทความ จำนวน 1 ไฟล์</div> <div> กรุณาดูคำแนะนำสำหรับผู้นิพนธ์ </div> <div> 2. เมื่อไฟล์เอกสารครบถ้วนแล้ว ทางกองบรรณาธิการจะพิจารณาบทความเบื้องต้น ตามข้อกำหนดของวารสาร หากผ่านการพิจารณาบทความเบื้องต้น ทางวารสารจะแจ้งให้ชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารก่อนการตรวจประเมินคุณภาพบทความ</div> <div> 3. ช่องทางการชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสาร กำหนดให้โอนชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารผ่านทางบัญชีธนาคาร โดยผู้นิพนธ์จะได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่วารสารเท่านั้น<br /><br /></div> <div><strong>ช่องทางการชำระค่าธรรมเนียม</strong></div> <div> ชื่อบัญชี นางญาตาวีมินทร์ พืชทองหลาง</div> <div> ชื่อธนาคาร ธนาคารกรุงไทย ประเภท เงินฝากออมทรัพย์ สาขามหาวิทยาลัยเชียงใหม่</div> <div> เลขที่บัญชี 456-0-27499-1<br /><br /></div> <div>ทั้งนี้ เมื่อชำระค่าธรรมเนียมเรียบร้อยแล้ว กรุณาจัดส่งหลักฐานการชำระเงินที่อีเมล ssbsjournal@gmail.com โดยระบุ 1) ชื่อ - สกุล ผู้นิพนธ์ 2) ชื่อบทความ 3) สลิปการโอน<br /><br /></div> <div>หมายเหตุ: การชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารทุกรายการ เป็นค่าดำเนินการของวารสาร ซึ่งหากบทความของท่านไม่ผ่านการพิจารณาให้ตีพิมพ์ลงในวารสารสังคมศาสตร์และธุรกิจศึกษา จากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 ท่าน และถูกปฏิเสธการลงตีพิมพ์ ทางวารสารจะไม่คืนเงินค่าตีพิมพ์วารสารดังกล่าว</div>
บริษัท คนละไม้ คนละมือ จำกัด
th-TH
วารสารสังคมศาสตร์และธุรกิจศึกษา
-
ยูทูบเบอร์
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JSSBS/article/view/5956
<p><span class="fontstyle0">อินเทอร์เน็ตเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตของมนุษย์ ในขณะที่โซเชียลมีเดียมี<br>มากมายเนื่องจากเทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่โซเชียลมีเดียที่นิยมใช้งานมากที่สุด คือ<br>ยู<br>ทู<br>บ (YouTube) ยูทูบถือเป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่นิยมอย่างมากในผู้คนทั่วโลก<br>กระแสความนิยมการดูวิดีโอออนไลน์ในเว็บไซต์ ยูทูบเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ย้อนกลับ<br>ไปในอดีตยูทูบเป็นเพียงช่องทางสําหรับการลงเพลงและมิวสิกวิดีโอต่าง ๆ แต่ใน<br>ปัจจุบันยูทูบมีการเปลี่ยนแปลงและเปิดกว้างในการสร้างคอนเทนต์ลงในยูทูบ จึง<br>ทําให้เกิดอาชีพใหม่อาชีพหนึ่งเรียกว่า ยูทูบเบอร์ โดยมีการสร้างสรรค์คลิปวิดีโอ<br>ตามสิ่งที่ตนเองชื่นชอบ สิ่งที่แปลกใหม่ ทําให้จากคนธรรมดากลายเป็นคนที่มี<br>ชื่อเสียงและรายได้ภายในชั่วข้ามคืน เพราะยูทูบเป็นเวทีสาธารณะที่ใครก็เข้ามา<br>แสวงหาความสําเร็จได้ บทความวิชาการนี้ผู้เขียนจะนําเสนอเกี่ยวกับ 1) ยูทูบ 2)<br>ยู<br>ทู<br>บเบอร์ 3) แนวทางการทําคลิปวิดีโอของยูทูบเบอร์ 4) การวางแผนถ่ายคลิป<br>วิดีโอ และการตัดต่อคลิปวิดีโอ และ 5) การเป็นยูทูบเบอร์ที่ประสบสําเร็จ องค์<br>ความรู้จากบทความนี้หวังว่าจะเป็นประโยชน์สําหรับผู้ที่ต้องการสร้างรายได้จากยู<br>ทู<br>บให้สําเร็จตามเป้าหมาย และหวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ต้องการเริ่มต้นใน<br>การเป็นยูทูบเบอร์ที่ดีและประสบความสําเร็จ</span> </p>
รุ่งทิวา จันตาเงิน
Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์และธุรกิจศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-02-27
2025-02-27
3 2
30
40
-
ภาษาโน้มน้าวใจในการโฆษณาบนสื่อออนไลน์
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JSSBS/article/view/5957
<p><span class="fontstyle0">การใช้ภาษาโน้มน้าวใจในการโฆษณาบนสื่อออนไลน์ มีความจําเป็นที่ต้องใช้ภาษาดึงดูดความสนใจของคนอ่านและคนฟัง นักโฆษณาจึงมักคิดถ้อยคํา สํานวนแปลกๆ ใหม่ ๆ นํามาโฆษณาอยู่เสมอ เพื่อโน้มน้าวใจผู้ซื้อสินค้า ในขณะเดียวกันการโฆษณาต้องใช้ภาษาที่ง่าย ๆ กะทัดรัด ได้ใจความชัดเจนดี น่าสนใจ และทําให้มนุษย์ประจักษ์ถึงคุณค่าและประโยชน์ของสิ่งของนั้น ๆ ที่จะได้ตอบสนองต่อความต้องการพื้นฐานของตนเอง ทําให้ดึงดูดความสนใจจากประชาชนที่มีความสนใจในสินค้านั้น ๆเพื่อโน้มน้าวใจในการสินค้าออนไลน์บทความวิชาการนี้ผู้เขียนจะนําเสนอได้แก่ 1.ความหมายของการโน้มน้าวใจ 2. กลวิธีในการใช้ภาษาโน้มน้าวใจ3. การใช้ภาษาโน้มน้าวใจในการโฆษณา 4. การสื่อสารเพื่อโน้มน้าวใจ5. หลักการเขียนข้อความให้โน้มน้าวใจ ซึ่งหัวข้อหลักในบทความภาษาโน้มน้าวใจในการโฆษณาบนสื่อออนไลน์ องค์ความรู้จากบทความนี้ลักษณะการใช้ภาษาโฆษณาเพื่อโน้มน้าวใจในการขายสินค้าออนไลน์ ได้แก่ การใช้อิโมจิประกอบข้อความที่โพสต์การซ้ําเสียงสระ พยัญชนะ การใช้เสียงสัมผัสคล้องจอง กลวิธีการโน้มน้าวใจในการขายสินค้าออนไลน์ ทั้งในรูปแบบการโน้มน้าวใจโดยจับจุดทางด้านเหตุผล ด้านอารมณ์ที่ใช้มากที่สุด ได้แก่ แสดงความมั่นใจในสินค้าที่ขาย บอกลักษณะเด่นและรายละเอียดของสินค้า มีการใช้คําแนะนําวิธีใช้สินค้ากับลูกค้า ใช้ตัวเองในการรีวิวสินค้า อัพเดทข้อความการส่งสินค้าพร้อมรูปภาพ บอกถึงประสิทธิภาพเทคโนโลยีการผลิต</span></p>
สองเมือง นายพงษ์
ณพงษ์ มุ่งตุ้ย ์
Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์และธุรกิจศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-02-27
2025-02-27
3 2
41
50
-
อิคิไก ความหมายของการมีชีวิตอยู่
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JSSBS/article/view/5958
<p><span class="fontstyle0">อิคิไก เป็นศัพท์ภาษาญี่ปุ่น ใช้อธิบายถึงความสุขและความหมายของชีวิต คํานี้ประกอบด้วย อิคิ (แปลว่ามีชีวิต) และไก (แปลว่ามีเหตุผล) ในภาษาญี่ปุ่น คําว่า อิคิไก ถูกนําไปใช้ในหลายบริบท สามารถประยุกต์ใช้กับเรื่องเล็กๆ ในชีวิตไปจนถึงเป้าหมายใหญ่ๆ และความสําเร็จ มันเป็นคําธรรมดาสามัญที่ผู้คนใช้กันทั่วไปในชีวิตประจําวัน คิไกเป็นได้ทั้งปลายทางและกระบวนการของตัวมันเอง ไม่ต้องประสบความสําเร็จแต่เราก็ยังมีอิคิไกได้ อิคิไกถือได้ว่าเป็นคําที่ยิ่งใหญ่ เวลาเราสิ้นหวังท้อแท้ เมื่อเราได้หยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านเหมือนเป็นเวทมนต์ที่อนุญาตให้เรามีชีวิตต่อ ไม่ได้มีชีวิตต่อเพื่อผิดหวังท้อแท้ แต่แค่มีชีวิตอยู่ต่อเพื่อที่จะได้ทําในสิ่งที่อยากทํา เพื่อที่จะได้บรรเลงชีวิตของเราในแบบที่เราอยากเป็น ถึงสิ่งที่เราทําอาจจะไม่ประสบความสําเร็จ แต่การที่เราได้ทํามันโดยที่มันเป็นตัวเราอย่างน้อยเราก็สามารถหาวิธีการมีอิคิไกของตัวเราเองได้</span> </p>
ชวนากร เชาว์ดี
Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์และธุรกิจศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-02-27
2025-02-27
3 2
51
59
-
การศึกษาญาณวิทยาในปกรณ์วิเสสวิสุทธิมรรค
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JSSBS/article/view/5951
<p><span class="fontstyle0">บทความวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาวิเคราะห์ญาณวิทยาในพุทธปรัชญาเถรวาทโดยอาศัยคัมภีร์ปกรณ์วิเสสวิสุทธิมรรค ผู้วิจัยได้แบ่งประเด็นที่สําคัญในการศึกษาออกเป็น 3 ประเด็นคือ 1. ญาณวิทยาในพุทธปรัชญาเถรวาท 2. ญาณวิทยาในปกรณ์วิเสสวิสุทธิมรรค 3. ญาณวิทยาในปกรณ์วิเสสวิสุทธิมรรคกับญาณวิทยาในปรัชญาต่างสํานัก ผลจากการวิจัยมีข้อสรุปที่สําคัญ คือ 1. ญาณวิทยาในพุทธปรัชญาเถรวาท เป็นระบบความคิดที่มุ่งทําลายความไม่รู้ (อวิชชา) ซึ่งถือว่าเป็นสาเหตุสําคัญที่ทําให้เกิดการเวียนว่าย ตาย เกิด และทําความรู้ (วิชชา) ให้เกิดขึ้นโดยเปลี่ยนแปลงความเห็น (ทิฏฐิ) และพัฒนาจนเกิดความรู้ที่ถูกต้อง กล่าวคือธรรมชาติความรู้ของพุทธปรัชญาเถรวาทมุ่งมองทุกอย่างตามเป็นจริงตามหลักไตรลักษณ์ จนเข้าใจว่าทุกอย่างเกิดจากเหตุปัจจัย ไม่ใช่เกิดขึ้นเอง เมื่อไม่มีเหตุปัจจัยทุกสิ่งย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ รวมทั้งเข้าใจสมมติบัญญัติซึ่งอธิบายถึงความจริงในแง่ต่าง ๆ เพื่อไม่ให้ยึดติดกับหลักการจนกลายเป็นความงมงาย แต่ต้องอาศัยการแยกแยะด้วยปัญญาที่เกิดจากการฝึกฝนอบรม 2. ญาณวิทยาในปกรณ์วิเสสวิสุทธิมรรคแบ่งความรู้เป็น 2 ระดับ คือ ความรู้ทางโลก (โลกิยะ) และความรู้เหนือโลก (โลกุตตระ) กล่าวคือ ความรู้ระดับโลกิยะเป็นพื้นฐานในการพัฒนาความรู้โดยเริ่มตั้ง<br>แต่การรับรู้ การจําได้ การรู้แจ้ง จนเกิดความเข้าใจ ส่วนความรู้ระดับโลกุตตระเป็นวิธีการขจัดความไม่รู้ (อวิชชา) ที่เป็นพื้นฐานของความไม่เข้าใจทุกอย่างตามจริง แต่ความรู้ทั้ง 2 ระดับล้วนต้องอาศัยกันและกัน กล่าวคือ ความรู้ระดับโลกิยะมีอยู่ก็เพื่ออธิบายความรู้ในระดับโลกุตตระ ส่วนความรู้ระดับโลกุตตระจะเกิดขึ้นได้โดยอาศัยความเข้าใจความรู้ระดับโลกิยะเพื่อแยกแยะว่าสิ่งใดเป็นความจริงโดย</span> <span class="fontstyle0">สมมติ และสิ่งใดเป็นความจริงสูงสุด ซึ่งความรู้ทั้ง 2 เกิดจากการพัฒนาตามหลักไตรสิกขาที่ประกอบด้วย ศีล สมาธิ และปัญญา 3. ญาณวิทยาในปกรณ์วิเสสวิสุทธิมรรคกับญาณวิทยาในปรัชญาต่างสํานัก มีข้อที่สรุป ดังนี้ คือ 1) ญาณวิทยาในปกรณ์วิเสสวิสุทธิมรรคกับปรัชญาเชนต่างพัฒนาความรู้ผ่านประสบการณ์ไปสู่ความเข้าใจสรรพสิ่งได้ตามจริง ส่วนความต่างกันคือ ปรัชญาเชนมองความรู้ว่า มีความหลากหลาย จึงตัดสินความรู้โดยทั่ว ๆ ไปว่าไม่สมบูรณ์ ความรู้ทุกอย่างจึงถูกต้องทั้งสิ้น แต่ในปกรณ์วิเสสวิสุทธิมรรคถือว่า ความรู้สูงสุดจึงมีอย่างเดียวแต่อธิบายด้วยสมมติหรือทฤษฎีหลายอย่างด้วยกัน 2) ญาณวิทยาในปกรณ์วิเสสวิสุทธิมรรคกับปรัชญาสางขยะถือว่า ความรู้สูงสุดคือความรู้อันเป็นเหตุดับทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง ส่วนความต่างกันคือ ปรัชญาสางขยะถือว่า ความจริงสูงสุดเกิดจากการรู้แจ้งอาตมันจนไม่หวั่นไหวไปตามอํานาจกิเลส และเป็นระบบปรัชญาที่อาศัยการคิดเป็นหลัก ไม่มีหลักการปฏิบัติที่ชัดเจน ส่วนในปกรณ์วิเสสวิสุทธิมรรคถือว่าความรู้สูงสุดเป็นการมองทุกอย่างตามจริง เมื่อเข้าใจย่อมหาวิธีปฏิบัติตามหลักมรรคมีองค์ 8 3) ญาณวิทยาในปกรณ์วิเสสวิสุทธิมรรคกับเหตุผลนิยม ปกรณ์วิเสส<br>วิสุทธิมรรคได้นําเอาหลักการทางเหตุผลมาอธิบายความจริง แต่ความรู้ขั้นเหตุผลยังไม่สามารถทําให้เข้าใจความจริงที่แท้ได้ทั้งหมด เพราะยังขาดประสบการณ์ในการพิจารณา ความรู้ในปกรณ์วิเสสวิสุทธิมรรคจึงเป็นความรู้หลังประสบการณ์ ซึ่งต่างจากเหตุผลนิยมที่เชื่อในความรู้ก่อนประสบการณ์ 4) ญาณวิทยาในปกรณ์วิเสสวิสุทธิมรรคกับประสบการณ์นิยม ในปกรณ์วิเสสวิสุทธิมรรคยอมรับว่า ผัสสะหรือประสาทสัมผัสเป็นพื้นฐานการรับรู้เบื้องต้น แต่ในระดับสูงขั้นไปต้องอาศัยผัสสะที่เกิดจากญาณที่ประจักษ์แก่ตน ฉะนั้น ความรู้ขั้นผัสสะของประสบการณ์นิยมจึงเป็นความรู้ระดับพื้นฐาน แต่ไม่สามารถโยงไปสู่ความรู้ที่เกิดภายในได้ แต่ความรู้ที่ปกรณ์วิเสสวิสุทธิมรรคมุ่งหมายเป็นความรู้ความเข้าใจที่เกิดจากการฝึกฝนอบรมภายในเพื่อเชื่อมโยงถึงความรู้ภายนอก</span></p>
พระมหาขวัญชัย กิตฺติเมธี (เหมประไพ)
เกษริน บุตรา
Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์และธุรกิจศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-02-27
2025-02-27
3 2
1
14
-
การพัฒนาคุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการของนักเรียนโรงเรียนเมตตาศึกษา ในพระราชูปถัมภ์ฯ อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JSSBS/article/view/5950
<p><span class="fontstyle0">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาหลักคุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการ ในการพัฒนานักเรียน โรงเรียนเมตตาศึกษาในพระราชูปถัมภ์ อําเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ 2) ศึกษาการปฏิบัติตามหลักคุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการ ของนักเรียน 3) เสนอแนวทางการพัฒนาตามหลักคุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการ แก่นักเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ นักเรียนโรงเรียนเมตตาศึกษา ในพระราชูปถัมภ์ฯ อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ปีการศึกษา 2563 จํานวน 200 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานนําเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลในรูปแบบตารางประกอบบรรยาย ผลการวิจัยพบว่า 1. การปฏิบัติตามหลักคุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการ ของนักเรียนโรงเรียนเมตตาศึกษา ในพระราชูปถัมภ์ฯ อําเภอเมืองเชียงใหม่ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (=3.88, S.D. = 0.389) แสดงให้เห็นว่า ผู้บริหาร คณะครู และนักเรียนเห็นความสําคัญของการประพฤติตนให้มีคุณธรรม โดยเฉพาะคุณธรรมที่สอดคล้องกับหลักคุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการ 2. เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้านเมื่อเรียงลําดับตามค่าเฉลี่ย ได้แก่ ด้านความสามัคคี ด้านความมีวินัย ด้านความสะอาด ด้านความสุภาพ ด้านความมีน้ำใจ ด้านความซื่อสัตย์ ด้านความขยัน และความประหยัด ตามลําดับ 3. แนวทางในการพัฒนาตามหลักคุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการ แก่นักเรียน คือ โรงเรียนควรปลูกฝังเรื่องการรู้จักแบ่งปันหรือการช่วยเหลือผู้อื่น ในยามที่เห็นคนอื่นได้รับความเดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือด้วยการบริจาคสิ่งของหรือการช่วยเหลือโดยใช้กําลัง<br>แรงกาย รองลงมา โรงเรียนควรปลูกฝังเรื่องรักการอ่านและส่งเสริมการทําแบบฝึกหัดทั้งก่อนเรียนและหลังเรียนหรือหลังเลิกเรียน และโรงเรียนควรมีการรณรงณ์ให้นักเรียนใช้วาจาให้สุภาพถูกต้องตามกาลเทศะ และยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้ทราบว่าวาจาเช่นใดควรใช้และไม่ควรใช้</span></p>
พระมหาเจริญ กตปญฺโญ (กระพิลา)
Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์และธุรกิจศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-02-27
2025-02-27
3 2
15
29