วารสารสันติสุขปริทรรศน์
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP
<table style="height: 1394px;" width="668"> <tbody> <tr> <td width="620"><strong>วัตถุประสงค์และขอบเขตของวารสาร</strong></td> </tr> <tr> <td width="620"> วารสารสันติสุขปริทรรศน์ Journal of Peace Periscope (JPP) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานวิชาการและงานวิจัยที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาองค์ความรู้ทางวิชาการทางด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เพื่อเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นเชิงวิชาการ แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับผลงานวิจัยให้แก่คณาจารย์ นักวิชาการ นิสิตนักศึกษา และผู้สนใจทางด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์สู่สาธารณชนและแวดวงวิชาการ ขอบเขตวารสารมุ่งเน้นเปิดรับบทความจากสาขาด้านศาสนาและปรัชญา ศึกษาศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ การพัฒนาท้องถิ่น การบริหารธุรกิจ และสหวิทยาการด้านมนุษย์และสังคมศาสตร์ โดยทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ อย่างน้อย 2 ท่าน ทั้งนี้เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</td> </tr> <tr> <td> </td> </tr> <tr> <td><strong>ประเภทของผลงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร </strong></td> </tr> <tr> <td width="620"> 1) บทความวิจัย (Research Article) บทความวิจัยมีลักษณะเด่นตรงที่เป็นการนำเสนอปัญหาที่ผู้เขียนได้ศึกษาหรือประเด็นที่ต้องการคำตอบ มีการกำหนดกรอบแนวคิด การเก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งสรุปปัญหาอย่างชัดเจน อันเป็นการสร้างฐานความรู้ที่มีคุณค่าทางวิชาการ</td> </tr> <tr> <td width="620"> 2) บทความวิชาการ (Academic Article) เป็นบทความที่นำเสนอเชิงการวิเคราะห์ วิจารณ์หรือเสนอความรู้ทางวิชาการที่เกิดองค์ความรู้ใหม่</td> </tr> <tr> <td width="620"> 3) บทความปริทรรศน์ (Review Article) เป็นบทความในลักษณะการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และวิจารณ์เปรียบเทียบ ที่รวบรวมความรู้จากตำรา หนังสือ หรือจากผลงานประพันธ์และประสบการณ์ของผู้นิพนธ์มาเรียบเรียงขึ้นในมุมมองทางวิชาการ</td> </tr> <tr> <td width="620"> 4) บทความวิจารณ์หนังสือ (Book Review) เป็นบทความในลักษณะวิพากษ์วิจารณ์หนังสือเพื่อชี้ให้เห็นถึงคุณค่าเนื้อหาสาระจากหนังสือ โดยการวิพากษ์วิจารณ์หนังสือประกอบด้วยรายละเอียดชื่อผู้เขียน จำนวนหน้า ปีที่พิมพ์ ครั้งที่พิมพ์และสถานที่พิมพ์ให้ชัดเจน</td> </tr> <tr> <td> </td> </tr> <tr> <td><strong>กำหนดออกเผยแพร่วารสาร</strong></td> </tr> <tr> <td width="620"> วารสารเผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 ระหว่างเดือนมกราคม – มิถุนายน และฉบับที่ 2 ระหว่างเดือนกรกฎาคม – ธันวาคม</td> </tr> <tr> <td><a href="https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP">เผยแพร่ที่ : https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP </a></td> </tr> <tr> <td> </td> </tr> <tr> <td><strong>กระบวนการพิจารณาบทความจากผู้ทรงคุณวุฒิ</strong></td> </tr> <tr> <td width="620"> บทความจะต้องผ่านการพิจารณาจากกองบรรณาธิการและกระบวนการประเมินคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาและไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับผู้นิพนธ์ โดยบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ อย่างน้อย 2 ท่าน ในลักษณะปกปิดรายชื่อ (Double blind peer-reviewed) </td> </tr> <tr> <td> </td> </tr> <tr> <td><strong>การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</strong></td> </tr> <tr> <td width="620"> ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ในวารสารสันติสุขปริทรรศน์ บทความภาษาไทย บทความละ 7,500 บาท (เจ็ดพันห้าร้อยบาทถ้วน) บทความภาษาอังกฤษ บทความละ 8,500 บาท (แปดพันห้าร้อยบาทถ้วน)<img src="blob:https://so09.tci-thaijo.org/22005286-0320-4dea-a719-a31a33663a71" /></td> </tr> <tr> <td width="620"> โดยจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียม หลังจากบทความผ่านการกลั่นกรองเบื้องต้นจากกองบรรณาธิการ (ก่อนเข้าสู่กระบวนการประเมินคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิ) โดยการดำเนินการชำระและแจ้งการชำระเงิน ภายใน 15 วัน หลังจากได้รับแจ้ง *วารสารไม่คืนเงินค่าธรรมเนียมให้กับผู้นิพนธ์ทุกกรณี กองบรรณาธิการวารสารขอสงวนสิทธิ์ในการปฏิเสธการตีพิมพ์ และไม่คืนเงินค่าธรรมเนียมดังต่อไปนี้</td> </tr> <tr> <td> 1. บทความมีความซ้ำซ้อนมากกว่า 25% จากการตรวจสอบของ CopyCatch จากระบบ Thaijo</td> </tr> <tr> <td> 2. ผู้เขียนไม่ปฏิบัติตามรูปแบบของวารสาร</td> </tr> <tr> <td> 3. ผู้เขียนบทความต้องการถอดถอนหรือยกเลิกการตีพิมพ์</td> </tr> <tr> <td width="620"> 4. บทความไม่ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ หรือไม่แก้ไขบทความตามข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิและกองบรรณาธิการ ตามระยะเวลาที่กำหนด นับจากวันที่ได้รับแจ้งให้ปรับแก้ไข (1 เดือน หลังการแจ้งของบรรณาธิการ) </td> </tr> <tr> <td>โดยชำระเงินที่บัญชีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาดอยสะเก็ด</td> </tr> <tr> <td width="620"> <strong>หมายเลขบัญชี: 020224914281</strong></td> </tr> <tr> <td width="620"> <strong>ชื่อบัญชี: วารสารสันติสุขปริทรรศน์</strong></td> </tr> <tr> <td width="620">เมื่อชำระแล้วให้ส่งสลิปการโอนเงินและแจ้งชื่อ-สกุล มาที่ E-mail: jppsantisuk.journal@gmail.com</td> </tr> </tbody> </table> <p> </p>
สำนักงานวัดแม่ฮ่องไคร้ เลขที่ 9 หมู่ที่ 8 ตำบลแม่โป่ง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ 50220
th-TH
วารสารสันติสุขปริทรรศน์
-
สมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP/article/view/3437
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ระดับประสิทธิผลของสถานศึกษา และ 3) สมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 333 คน จากประชากร 1,980 คน สุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิตามสัดส่วนของประชากร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้การวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุคูณขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก พิจารณารายด้าน พบว่าด้านสมรรถนะในการตระหนักรับรู้โลกาภิวัฒน์ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=4.31, S.D.=0.76) 2<em>)</em> ระดับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปทุมธานี เขต 1 โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก พิจารณารายด้าน พบว่าด้านพันธกิจของสถานศึกษามีความชัดเจน มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=4.31, S.D.=0.73) และ 3) สมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปทุมธานี เขต 1 มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ เท่ากับ .920 ตัวแปรที่มีอิทธิพลในการทำนายสูงสุด คือด้านสมรรถนะในการปฏิบัติเชิงกลยุทธ์ (X<sub>4</sub>) ด้านสมรรถนะในการบริหารตนเอง (X<sub>6</sub>) ด้านสมรรถนะในการวางแผนและการบริหารจัดการ (X<sub>2</sub>) ด้านสมรรถนะในการตระหนักรับรู้โลกาภิวัตน์ (X<sub>5</sub>) และ ด้านสมรรถนะในการทำงานเป็นทีม (X<sub>3</sub>) เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ <strong><em>.</em></strong>01 และสามารถพยากรณ์ประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 ได้ร้อยละ 84.00</p>
สมพร ศักดา
สุภัทรศักดิ์ คำสามารถ
Copyright (c) 2024 วารสารสันติสุขปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-03
2024-12-03
5 2
1
14
-
การประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมการบริหารของสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาแม่แตง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP/article/view/3782
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการบริหารของสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาแม่แตง 2) เปรียบเทียบการประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมการบริหารของสำนักงานฯ ตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3) เสนอแนวทางการประยุกต์หลักพุทธธรรมในการบริหารของสำนักงานฯ การวิจัยใช้วิธีผสาน 1) การวิจัยเชิงปริมาณ โดยการสำรวจด้วยแบบสอบถาม จากกลุ่มตัวอย่าง 350 คน และใช้สถิติเชิงพรรณนา เช่น ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2) การวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 9 คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารของสำนักงานฯ โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) การประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อการบริหารไม่แตกต่างตามปัจจัยส่วนบุคคลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 และ 3) แนวทางการประยุกต์หลักพุทธธรรมมีดังนี้ 1. การกำหนดนโยบายและแผน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และมีส่วนร่วมในกิจกรรมของชุมชน 2. การนำไปปฏิบัติ เพื่อสร้างองค์กรที่ยืดหยุ่นและดีขึ้น 3. การควบคุมและตรวจสอบ เพื่อเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดีและการบริหารการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ และ 4. การประเมินผล เพื่อสร้างสังคมและองค์กรที่มีความเป็นธรรมและมีคุณค่ามากขึ้น รวมทั้งสร้างความเข้าใจถึงหลักพุทธธรรมและสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม</p>
หทัยรัตน์ ภูเลื่อน
ประเสริฐ ปอนถิ่น
อภิรมย์ สีดาคำ
Copyright (c) 2024 วารสารสันติสุขปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-03
2024-12-03
5 2
15
26
-
การประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนต่องานสวัสดิการสังคมของเทศบาลตำบลเชียงดาว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP/article/view/3834
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในงานสวัสดิการสังคม 2) วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างหลักสาราณียธรรมกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในงานสวัสดิการสังคม 3) เสนอแนวทางส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในงานสวัสดิการสังคมในเขตเทศบาลตำบลเชียงดาว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ โดยอิงหลักพุทธธรรม งานวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยแบบผสานวิธี ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ 1) การวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่าง 364 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน 2) การวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 10 คน โดยวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในงานสวัสดิการสังคมอยู่ในระดับปานกลาง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=3.33, S.D.=1.11) 2) หลักสาราณียธรรมมีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูงมากกับการมีส่วนร่วมของประชาชน (R=.892**) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 3) แนวทางส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนผ่านการประยุกต์หลักพุทธธรรม ได้แก่ 1. การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจด้วยจิตใจบริสุทธิ์และสัมมาคารวะ 2. การมีส่วนร่วมในการดำเนินงานผ่านช่องทางที่หลากหลายด้วยกิริยามารยาทที่ดีและทุ่มเท 3. การรับผลประโยชน์โดยยึดหลักความเสมอภาคและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ 4. การมีส่วนร่วมในการประเมินผลด้วยความสุจริตและเคารพในระเบียบและกฎหมาย</p>
ภาณุพงศ์ อนันต๊ะ
อภิรมย์ สีดาคำ
ประเสริฐ ปอนถิ่น
Copyright (c) 2024 วารสารสันติสุขปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-03
2024-12-03
5 2
27
38
-
ความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะของผู้บริหารกับการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงเทพกลาง
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP/article/view/4230
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ระดับการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะของผู้บริหารกับการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงเทพกลาง ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นครู จำนวน 282 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่น (a) ทั้งฉบับเท่ากับ 0.989 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์โดยใช้สหสัมพันธ์เพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงเทพกลาง โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ระดับการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงเทพกลาง โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะของผู้บริหารสถานศึกษามีความสัมพันธ์ทิศทางบวกกับการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มกรุงเทพกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อยู่ในระดับสูง</p>
รัศมี แก้วพรม
สุภัทรศักดิ์ คำสามารถ
วิเชียร อินทรสมพันธ์
Copyright (c) 2024 วารสารสันติสุขปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-03
2024-12-03
5 2
39
50
-
การพัฒนาเยาวชนสู่ความเป็นพลเมืองเพื่อเสริมสร้างสันติสุข ตำบลเวียง อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP/article/view/4758
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสถานการณ์ปัญหาของเยาวชน 2) ศึกษารูปแบบกิจกรรมที่เหมาะสมในการพัฒนาเยาวชนสู่ความเป็นพลเมืองเพื่อเสริมสร้างสันติสุข 3) ศึกษาการพัฒนาเยาวชนสู่ความเป็นพลเมืองเพื่อสันติสุขตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ในตำบลเวียง อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การสัมภาษณ์แบบเชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 25 รูปหรือคน โดยการวิเคราะห์แบบอุปนัย ใช้วิธีตีความจากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สถานการณ์ปัญหาของเยาวชน พบว่า ปัญหาด้านยาเสพติด ปัญหาด้านครอบครัว มีการหย่าร้าง ความขัดแย้งในครอบครัว ปัญหาด้านสุขภาวะ มีภาวะซึมเศร้า พฤติกรรมทางเพศก่อนวัยอันควร ปัญหาด้านการศึกษา ขาดปัจจัยสนับสนุน และความเลื่อมล้ำทางการศึกษา ปัญหาการติดโทรศัพท์มือถือ ปัญหาอื่นๆการล้อเลียน บูลลี่กัน 2) รูปแบบกิจกรรมที่เหมาะสมในการพัฒนาเยาวชนสู่ความเป็นพลเมืองเพื่อเสริมสร้างสันติสุข การจัดกิจกรรมเป็นไปตามสถานการณ์ทางชุมชนและสังคมที่เกิดขึ้นในช่วงเวลา รูปแบบของกิจกรรมคือ กิจกรรมที่ส่งเสริมให้เยาวชนต้องปฏิบัติด้วยตนเอง ได้ค้นพบสาระสำคัญในช่วงเวลานั้นๆ ที่มาจัดกิจกรรมร่วมกันกับชาวบ้าน เรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ที่หลากหลาย ส่งเสริมกระบวนการคิด ส่งเสริมให้เยาวชนมีส่วนร่วมในการวางแผนกำหนดงาน วางเป้าหมายร่วมกัน และเป็นกิจกรรมพัฒนาคุณลักษณะนิสัยที่ดีงาม และ 3) การพัฒนาเยาวชนสู่ความเป็นพลเมืองเพื่อสันติสุขโดยการประยุกต์ใช้หลักสัปปุริสธรรม 7 จะช่วยกล่อมเกลาและพัฒนาเยาวชนสู่ความเป็นพลเมืองเพื่อสันติสุขได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
พระครูอภิวัฒนกิตติ์ อภิวฑฺฒโยน (ธิต๊ะยา)
พระเมธีวชิรคุณ
สหัทยา วิเศษ
Copyright (c) 2024 วารสารสันติสุขปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-03
2024-12-03
5 2
51
62
-
การเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยของ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาในอำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP/article/view/4924
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา 2) เปรียบเทียบวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยในกลุ่มนักเรียนระดับมัธยมศึกษา และ 3) เสนอแนะแนวทางการเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยของนักเรียนในอำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี การวิจัยใช้วิธีการผสานวิธี โดยแบ่งเป็นการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ในส่วนของการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาในอำเภอท่าชนะ จำนวน 333 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน รวมถึงการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงที่เป็นตัวแทนสภานักเรียนจากแต่ละโรงเรียน จำนวน 15 คน ข้อมูลทั้งหมดนำมาวิเคราะห์เชิงสรุปและอภิปรายเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์การวิจัย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนมีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับประชาธิปไตยในระดับร้อยละ 70 แต่การประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงยังอยู่ในระดับปานกลาง โดยมีการมีส่วนร่วมในกิจกรรมภายในโรงเรียนอยู่ที่ร้อยละ 60 และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมนอกโรงเรียนเพียงร้อยละ 20 อย่างไรก็ตาม นักเรียนร้อยละ 65 ที่ได้รับการศึกษาเกี่ยวกับประชาธิปไตยอย่างครอบคลุมแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากขึ้น 2) จากการเปรียบเทียบปัจจัย พบว่า นักเรียนหญิงมีความไว้วางใจในระบบการเมืองและทัศนคติทางการเมืองสูงกว่านักเรียนชาย ในขณะที่กลุ่มอายุ 13-14 ปี และนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นมีระดับความไว้วางใจในระบบการเมืองสูงกว่ากลุ่มอายุ 15-16 ปี และนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย แสดงให้เห็นว่าการรับรู้ข้อมูลทางการเมืองส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรมทางการเมืองในทุกมิติ 3) แนวทางการเสริมสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตยควรมุ่งเน้นการส่งเสริมการเรียนรู้และองค์ความรู้เกี่ยวกับประชาธิปไตย การจัดกิจกรรมที่กระตุ้นการมีส่วนร่วมทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน การสร้างสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้างสำหรับการแสดงความคิดเห็น และการสนับสนุนจากครอบครัวและชุมชน เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมประชาธิปไตยในชีวิตประจำวันของนักเรียน</p>
ปณัฐฎา ขอจุลซ้วน
ธุวพล ทองอินทราช
ไชยวัฒน์ เผือกคง
Copyright (c) 2024 วารสารสันติสุขปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-03
2024-12-03
5 2
63
75
-
สมรรถนะของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการบริหารสู่ความเป็นเลิศของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP/article/view/4238
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับสมรรถนะของผู้บริหารโรงเรียน 2) ระดับการบริหารโรงเรียนสู่ความเป็นเลิศ 3) สมรรถนะของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการบริหารโรงเรียนสู่ความเป็นเลิศของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม เป็นงานวิธีวิจัยแบบเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ครู จำนวน 331 คน จากประชากรจำนวน 1,924 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สมรรถนะของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก 2) การบริหารสู่ความเป็นเลิศของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก 3) ผลการวิเคราะห์ข้อมูลสมรรถนะของผู้บริหารโรงเรียน มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการบริหารสู่ความเป็นเลิศของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยสามารถร่วมกันทำนายได้ถึงร้อยละ 70.80 ตัวแปรที่มีอิทธิพลในการทำนายตามลำดับจากมากที่สุด ได้แก่ การพัฒนาศักยภาพของบุคลากร (X<sub>8</sub>) การมีวิสัยทัศน์ (X<sub>9</sub>) การสื่อสารและการจูงใจ (X<sub>7</sub>) การมุ่งผลสัมฤทธิ์ (X<sub>1</sub>) การบริการที่ดี (X<sub>2</sub>) และการวิเคราะห์และสังเคราะห์ (X<sub>6</sub>) และสามารถพยากรณ์การบริหารสู่ความเป็นเลิศของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม ได้ร้อยละ 71.30 (R<sup>2</sup>=0.713)</p>
สุทธิรัตน์ คนใหญ่
ปฐมพรณ์ อินทรางกูร ณ อยุธยา
วิเชียร อินทรสมพันธ์
Copyright (c) 2024 วารสารสันติสุขปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-03
2024-12-03
5 2
76
88
-
การเสริมสร้างเจตคติสู่การเกิดค่านิยมทางการเมืองตามหลักประชาธิปไตย
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP/article/view/5140
<p>บทความนี้มุ่งนำเสนอแนวคิดในการเสริมสร้างเจตคติสู่การเกิดค่านิยมทางการเมืองเป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงเจตคติที่ดีจนกลายเป็นค่านิยมทางการเมืองที่ยั่งยืน ซึ่งมีที่มาจากการที่คนในสังคมมีมุมมองความเชื่อในเรื่องต่าง ๆ ที่แตกต่างกันที่ทำให้เกิดการประพฤติและปฏิบัติตามความเชื่อนั้น อาจเป็นที่มาของการเกิดความร่วมมือที่ดีหรือก่อให้เกิดความขัดแย้งในสังคมก็ได้ ดังนั้นการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับระบบการเมือง กฎหมาย สิทธิและหน้าที่ของพลเมือง จะช่วยให้คนมีพื้นฐานความรู้ที่ดี ส่งเสริมการตัดสินใจทางการเมืองอย่างมีเหตุผล กระบวนการดังกล่าวประกอบด้วย การสร้างความรู้และความเข้าใจทางการเมืองเพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับระบบการเมืองประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน การส่งเสริมประสบการณ์ผ่านการมีส่วนร่วมช่วยให้เกิดความรู้สึกเชื่อมโยงกับสังคมและสร้างเจตคติที่สนับสนุนความรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่พลเมือง การเปิดกว้างในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเป็นการยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง เสริมคุณธรรมในการแสดงออกทางการเมืองช่วยให้การแสดงออกทางการเมืองเป็นไปในทางที่สร้างสรรค์ การจัดการกับความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ทำให้เกิดความร่วมมือและเคารพซึ่งกันและกัน มีปัจจัยสำคัญอยู่ 3 ส่วนด้วยกันที่ทำให้เกิดกระบวนการในการเกิดค่านิยมทางการเมืองคือ “เข้าใจ สำนึก นำปฏิบัติ” เรียกได้ว่าเป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดค่านิยมทางการเมืองตั้งแต่รับรู้อย่างจนนำไปสู่การเกิดจิตสำนึกประชาธิปไตยและนำไปปฏิบัติเพื่อให้เกิดผลที่แท้จริง</p>
พัชรีญา ฟองจันตา
Copyright (c) 2024 วารสารสันติสุขปริทรรศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-03
2024-12-03
5 2
89
99