https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP/issue/feed วารสารสันติสุขปริทรรศน์ 2025-05-24T16:36:46+07:00 พระครูชลธารพิทักษ์ jppsantisuk.journal@gmail.com Open Journal Systems <table style="height: 1394px;" width="668"> <tbody> <tr> <td width="620"><strong>วัตถุประสงค์และขอบเขตของวารสาร</strong></td> </tr> <tr> <td width="620"> วารสารสันติสุขปริทรรศน์ Journal of Peace Periscope (JPP) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานวิชาการและงานวิจัยที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาองค์ความรู้ทางวิชาการทางด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เพื่อเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นเชิงวิชาการ แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับผลงานวิจัยให้แก่คณาจารย์ นักวิชาการ นิสิตนักศึกษา และผู้สนใจทางด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์สู่สาธารณชนและแวดวงวิชาการ ขอบเขตวารสารมุ่งเน้นเปิดรับบทความจากสาขาด้านศาสนาและปรัชญา ศึกษาศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ การพัฒนาท้องถิ่น การบริหารธุรกิจ และสหวิทยาการด้านมนุษย์และสังคมศาสตร์ โดยทุกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ อย่างน้อย 2 ท่าน ทั้งนี้เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</td> </tr> <tr> <td> </td> </tr> <tr> <td><strong>ประเภทของผลงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร </strong></td> </tr> <tr> <td width="620"> 1) บทความวิจัย (Research Article) บทความวิจัยมีลักษณะเด่นตรงที่เป็นการนำเสนอปัญหาที่ผู้เขียนได้ศึกษาหรือประเด็นที่ต้องการคำตอบ มีการกำหนดกรอบแนวคิด การเก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งสรุปปัญหาอย่างชัดเจน อันเป็นการสร้างฐานความรู้ที่มีคุณค่าทางวิชาการ</td> </tr> <tr> <td width="620"> 2) บทความวิชาการ (Academic Article) เป็นบทความที่นำเสนอเชิงการวิเคราะห์ วิจารณ์หรือเสนอความรู้ทางวิชาการที่เกิดองค์ความรู้ใหม่</td> </tr> <tr> <td width="620"> 3) บทความปริทรรศน์ (Review Article) เป็นบทความในลักษณะการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และวิจารณ์เปรียบเทียบ ที่รวบรวมความรู้จากตำรา หนังสือ หรือจากผลงานประพันธ์และประสบการณ์ของผู้นิพนธ์มาเรียบเรียงขึ้นในมุมมองทางวิชาการ</td> </tr> <tr> <td width="620"> 4) บทความวิจารณ์หนังสือ (Book Review) เป็นบทความในลักษณะวิพากษ์วิจารณ์หนังสือเพื่อชี้ให้เห็นถึงคุณค่าเนื้อหาสาระจากหนังสือ โดยการวิพากษ์วิจารณ์หนังสือประกอบด้วยรายละเอียดชื่อผู้เขียน จำนวนหน้า ปีที่พิมพ์ ครั้งที่พิมพ์และสถานที่พิมพ์ให้ชัดเจน</td> </tr> <tr> <td> </td> </tr> <tr> <td><strong>กำหนดออกเผยแพร่วารสาร</strong></td> </tr> <tr> <td width="620"> วารสารเผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 ระหว่างเดือนมกราคม – มิถุนายน และฉบับที่ 2 ระหว่างเดือนกรกฎาคม – ธันวาคม</td> </tr> <tr> <td><a href="https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP">เผยแพร่ที่ : https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP </a></td> </tr> <tr> <td> </td> </tr> <tr> <td><strong>กระบวนการพิจารณาบทความจากผู้ทรงคุณวุฒิ</strong></td> </tr> <tr> <td width="620"> บทความจะต้องผ่านการพิจารณาจากกองบรรณาธิการและกระบวนการประเมินคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาและไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับผู้นิพนธ์ โดยบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ อย่างน้อย 2 ท่าน ในลักษณะปกปิดรายชื่อ (Double blind peer-reviewed) </td> </tr> <tr> <td> </td> </tr> <tr> <td><strong>การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</strong></td> </tr> <tr> <td width="620"> ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ในวารสารสันติสุขปริทรรศน์ บทความภาษาไทย บทความละ 7,500 บาท (เจ็ดพันห้าร้อยบาทถ้วน) บทความภาษาอังกฤษ บทความละ 8,500 บาท (แปดพันห้าร้อยบาทถ้วน)<img src="blob:https://so09.tci-thaijo.org/22005286-0320-4dea-a719-a31a33663a71" /></td> </tr> <tr> <td width="620"> โดยจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียม หลังจากบทความผ่านการกลั่นกรองเบื้องต้นจากกองบรรณาธิการ (ก่อนเข้าสู่กระบวนการประเมินคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิ) โดยการดำเนินการชำระและแจ้งการชำระเงิน ภายใน 15 วัน หลังจากได้รับแจ้ง *วารสารไม่คืนเงินค่าธรรมเนียมให้กับผู้นิพนธ์ทุกกรณี กองบรรณาธิการวารสารขอสงวนสิทธิ์ในการปฏิเสธการตีพิมพ์ และไม่คืนเงินค่าธรรมเนียมดังต่อไปนี้</td> </tr> <tr> <td> 1. บทความมีความซ้ำซ้อนมากกว่า 25% จากการตรวจสอบของ CopyCatch จากระบบ Thaijo</td> </tr> <tr> <td> 2. ผู้เขียนไม่ปฏิบัติตามรูปแบบของวารสาร</td> </tr> <tr> <td> 3. ผู้เขียนบทความต้องการถอดถอนหรือยกเลิกการตีพิมพ์</td> </tr> <tr> <td width="620"> 4. บทความไม่ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ หรือไม่แก้ไขบทความตามข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิและกองบรรณาธิการ ตามระยะเวลาที่กำหนด นับจากวันที่ได้รับแจ้งให้ปรับแก้ไข (1 เดือน หลังการแจ้งของบรรณาธิการ) </td> </tr> <tr> <td>โดยชำระเงินที่บัญชีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาดอยสะเก็ด</td> </tr> <tr> <td width="620"> <strong>หมายเลขบัญชี: 020224914281</strong></td> </tr> <tr> <td width="620"> <strong>ชื่อบัญชี: วารสารสันติสุขปริทรรศน์</strong></td> </tr> <tr> <td width="620">เมื่อชำระแล้วให้ส่งสลิปการโอนเงินและแจ้งชื่อ-สกุล มาที่ E-mail: jppsantisuk.journal@gmail.com</td> </tr> </tbody> </table> <p> </p> https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP/article/view/5427 การบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมของประชาชนตามหลักพุทธธรรมของ องค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งเขาหลวง อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด 2024-11-26T10:52:45+07:00 พระณัฐนนท์ จิตฺตสํวโร (วรวงค์) nattanon.086@gmail.com พระครูกิตติวราทร nattanon.086@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) การบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมของประชาชนตามหลักพุทธธรรมขององค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งเขาหลวง อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด 2) การเปรียบเทียบการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมตามหลักพุทธธรรมขององค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งเขาหลวง โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3) ข้อเสนอแนะในการพัฒนาการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว กลุ่มตัวอย่างเป็นประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 348 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมุติฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมของประชาชนตามหลักพุทธธรรมขององค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งเขาหลวงอยู่ในระดับมาก โดยเรียงจากด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ การรับผลประโยชน์ การประเมินผล และการดำเนินงาน ซึ่งทุกด้านมีการนำหลักสังคหวัตถุ 4 มาประยุกต์ใช้ 2) เมื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ พบว่าไม่มีความแตกต่าง 3) ข้อเสนอแนะ ได้แก่ การให้ประชาชนมีส่วนร่วมเสนอปัญหาและความต้องการของชุมชน การร่วมดำเนินงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการสังเกตการณ์การทำงานขององค์กร</p> 2025-05-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันติสุขปริทรรศน์ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP/article/view/5558 ความต้องการบริการสวัสดิการสังคมของผู้สูงอายุในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลคลองศก อำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี 2025-01-16T15:01:40+07:00 อภิรักษ์ นกขุ้ม 66052541021@student.sru.ac.th อมร หวังอัครางกูร 66052541021@student.sru.ac.th วาสนา จาตุรัตน์ 66052541021@student.sru.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการให้บริการสวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงอายุในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลคลองศก อำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี 2) ความต้องการของผู้สูงอายุที่มีต่อสวัสดิการสังคม และ 3) แนวทางการจัดสวัสดิการที่ตอบสนองความต้องการของผู้สูงอายุ โดยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 24 คน ได้แก่ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนตำบล เจ้าหน้าพัฒนาสังคมและสวัสดิการ รวม 4 คน และตัวแทนผู้สูงอายุ 20 คน ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จากนั้นทำการวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาแบบพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) องค์การบริหารส่วนตำบลคลองศกมีการให้บริการด้านสวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงอายุใน 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการแพทย์และสาธารณสุข ได้สนับสนุนจัดสรรงบประมาณในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ รวมไปถึงการให้บริการจากเจ้าหน้าที่ถึงบ้าน ด้านการศึกษาจัดให้ผู้สูงอายุได้เรียนรู้ทำกิจกรรมร่วมกันโดยผ่านโรงเรียนผู้สูงอายุ และจัดให้มีการทัศนศึกษาศึกษานอกพื้นที่ ด้านการประกอบอาชีพ มีการฝึกทักษะด้านการประกอบอาชีพ โดยหน่วยงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยในพื้นที่ เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถนำมาประกอบเป็นอาชีพมีรายได้เสริม ด้านเบี้ยยังชีพ ได้จัดสรรงบประมาณที่ได้รับจากภาครัฐ และดำเนินการจ่ายแก่ผู้สูงอายุ 2) ความต้องการของผู้สูงอายุที่มีต่อสวัสดิการสังคมต้องการให้มีเจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลและคอยให้คำปรึกษาที่บ้านต้องการให้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาให้ความรู้ผ่านโรงเรียนผู้สูงอายุ แนะนำในการทำเกษตรประกอบอาชีพสร้างรายได้เสริมและต้องการให้เพิ่มเบี้ยยังชีพ และ 3) แนวทางการจัดสวัสดิการสังคมตามความต้องการของผู้สูงอายุ มีการดำเนินการสำรวจเพื่อแจ้งสิทธิในการรับเบี้ย<br />ยังชีพและประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับกิจกรรมที่จะจัดขึ้น จัดให้มีรถรับ-ส่ง ในการเดินทางไปรับบริการต่าง ๆ รวมไปถึงสร้างภาคีเครือข่ายในการให้บริการสวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงอายุ และการให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพเกี่ยวกับอาหารและโภชนาการสำหรับผู้สูงอายุ</p> 2025-05-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันติสุขปริทรรศน์ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP/article/view/5808 ศูนย์วิจัยชุมชนโดดเด่นศูนย์วิจัยชุมชนวิสาหกิจชุมชนเกษตรเชิงท่องเที่ยว ตำบลแม่หอพระ 2025-02-19T11:58:20+07:00 สัญญา สะสอง chutimun_sas@g.cmru.ac.th ชุติมันต์ สะสอง chutimun_sas@g.cmru.ac.th พิจิตร มังคะโชติ chutimun_sas@g.cmru.ac.th <p>งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน โดยใช้กระบวนการวิจัยและพัฒนาเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมกับชุมชนตำบลแม่หอพระ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ มีเป้าหมายเพื่อวิเคราะห์ศักยภาพและความต้องการของชุมชน ขยายผลนวัตกรรมการเพาะเห็ดตับเต่าสู่ชุมชนเครือข่ายต่อยอดสู่การสร้างนวัตกรท้องถิ่นผู้เชี่ยวชาญในการเพาะเห็ดตับเต่าบนผืนป่าชุมชนและป่าธรรมชาติ เสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร ส่งเสริมนวัตกรรมเพื่อสังคม และร่วมอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้โดยลดการเผาทำลายผ่านการเพาะเห็ดในระบบนิเวศธรรมชาติ การเก็บข้อมูลใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่มย่อย โดยคัดเลือกกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียจำนวน 20 คนในพื้นที่ศูนย์วิจัยชุมชนวิสาหกิจเกษตรเชิงท่องเที่ยวตำบลแม่หอพระ การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ชุมชนมีจุดแข็งหลากหลาย ทั้งในด้านความเชื่อ ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม วิถีการท่องเที่ยวโดยชุมชน เกษตรกรรม และการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม บนฐานของทรัพยากรธรรมชาติที่มีการจัดการอย่างเป็นระบบ อย่างไรก็ตาม ชุมชนยังเผชิญข้อจำกัดในการรวมพลังขับเคลื่อนงานพัฒนาร่วมกัน อันเนื่องมาจากปัจจัยด้านความสามัคคี เศรษฐกิจ ความเชื่อมโยงระหว่างกลุ่ม และความเป็นปัจเจก ศูนย์วิจัยชุมชนได้พัฒนาแนวทางการเรียนรู้ร่วมกันผ่านกิจกรรมฝึกอบรมและลงมือปฏิบัติจริงในการเพาะเห็ดตับเต่าในพื้นที่ป่าชุมชน โดยมุ่งเน้นการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกับการสร้างรายได้และเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับคนในพื้นที่อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานสะท้อนให้เห็นถึงพลังของชุมชนในการพลิกฟื้นทรัพยากรธรรมชาติด้วยนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างสร้างสรรค์และมีส่วนร่วม</p> 2025-05-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันติสุขปริทรรศน์ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP/article/view/5850 การจัดการทีมดูแลในชุมชนกับการดูแลผู้เสพยาเสพติดที่อยู่ระหว่างการบำบัดฟื้นฟู 2025-03-14T19:05:48+07:00 สุกันยา ใหญ่วงศ์ bkmas@mju.ac.th บงกชมาศ เอกเอี่ยม bkmas@mju.ac.th เฉลิมชัย ปัญญาดี bkmas@mju.ac.th สมคิด แก้วทิพย์ bkmas@mju.ac.th <p>บทความวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงพัฒนา มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแนวทางการบริหารจัดการทีมชุมชนในการดูแลผู้เสพยาเสพติดที่อยู่ระหว่างการบำบัดฟื้นฟู และ 2) ประเมินความพึงพอใจของประชาชนต่อการดำเนินงานของทีมชุมชนดังกล่าว การวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสนทนากลุ่มกับแกนนำชุมชนใน 4 หมู่บ้านที่ได้รับการจัดตั้งเป็นทีมดูแลผู้บำบัด และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา ส่วนการวิจัยเชิงปริมาณเก็บข้อมูลจากประชาชนในพื้นที่ 400 คน โดยใช้แบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ทีมชุมชนสามารถจัดการดูแลผู้เสพยาเสพติดที่อยู่ระหว่างการบำบัดในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยช่วงเริ่มต้นของการเยี่ยมบ้าน ทีมจะประกอบด้วยสมาชิก 4-5 คน เพื่อสร้างความไว้วางใจกับผู้รับการบำบัดและครอบครัว เมื่อมีความคุ้นเคยแล้ว ทีมสามารถลดจำนวนสมาชิกในการลงพื้นที่เหลืออย่างน้อย 3 คน และมีการแบ่งหน้าที่ชัดเจน นอกจากนี้ ประชาชนในพื้นที่มีระดับความพึงพอใจต่อการดำเนินงานของทีมชุมชนในปานกลางรองลงมาระดับสูง แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของชุมชนในการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน</p> 2025-05-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันติสุขปริทรรศน์ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP/article/view/5862 แนวทางการบริหารจัดการโครงการอาหารปลอดภัยในเขตเทศบาลเมืองเมืองแกนพัฒนาอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ 2025-03-02T13:51:22+07:00 นนทกาญจน์ ฉิมพลี ice.chimplee@gmail.com สุริยจรัส เตชะตันมีนสกุล ice.chimplee@gmail.com ธรรมพร ตันตรา ice.chimplee@gmail.com วินิจ ผาเจริญ ice.chimplee@gmail.com <p>การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความเป็นมา การดำเนินงาน และการประเมินโครงการอาหารปลอดภัย 2) วิเคราะห์ปัจจัยสนับสนุนที่ส่งผลต่อความสำเร็จของโครงการ และ 3) หาแนวทางที่เหมาะสมในการดำเนินโครงการอาหารปลอดภัยในเขตเทศบาลเมืองเมืองแกนพัฒนาให้บรรลุตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนด การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ <br />โดยใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลผ่านการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง การสนทนากลุ่มย่อย และการสังเกตแบบมีส่วนร่วม กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญประกอบด้วย รองปลัดเทศบาลเมืองเมืองแกนพัฒนา 1 ท่าน ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม 1 ท่าน พนักงานจ้างทั่วไป 1 ท่าน และผู้เข้าร่วมโครงการจำนวน 40 ท่าน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า โครงการมุ่งพัฒนาผู้ประกอบการร้านอาหารในพื้นที่เทศบาลให้มีความปลอดภัยมีมาตรฐานตามหลักสุขาภิบาลอาหาร และปฏิบัติตามใบอนุญาตจัดตั้งสถานที่จำหน่ายอาหารและสถานที่สะสมอาหาร จำนวน 40 ร้าน ผลการประเมินโครงการจำแนกตามระบบโครงการ พบว่า ปัจจัยบริบท พบว่า มีความสอดคล้องกับนโยบายการจัดการท่องเที่ยวของรัฐบาล การสนับสนุนส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน สอดคล้องกับทิศทางนโยบายอาหารปลอดภัยสากล สอดคล้องกับนโยบายด้านอาหารปลอดภัยของเทศบาลเมืองแกน ด้านปัจจัยนำเข้า พบว่า เทศบาลได้สนับสนุนงบประมาณในการดำเนินโครการ มีสถานที่ฝึกอบรมที่เหมาะสม มีระยะเวลาที่เหมาะสม และวิทยากรอบรมที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ปัจจัยกระบวนการ พบว่า มีการสำรวจร้านอาหารในพื้นที่ก่อนการจัดทำโครงการ มีการประชาสัมพันธ์ มีการทำแผนการบริหารโครงการในการฝึกอบรมมีเนื้อหาที่ครอบถ้วนและในส่วนด้านผลผลิต พบว่า ผู้เข้าร่วมฝึกอบรมมีความพอใจ ผู้เข้าร่วมฝึกมีความรู้เกี่ยวกับกฎหมายและสุขาภิบาลอาหาร แนวทางที่เหมาะสม คือ ควรมีการทำโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการหลังโครงการฝึกอบรมอาหารปลอดภัยสิ้นสุด โดยเฉพาะการนำองค์ความรู้ที่ได้รับจากการฝึกอบรมนำสู่ปฏิบัติ</p> 2025-05-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันติสุขปริทรรศน์ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP/article/view/5882 ตัวแบบการเรียนรู้แบบผสมผสานภายใต้บริบทการจัดการทุนมนุษย์ของนักศึกษาสายสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยภาคใต้ 2025-03-02T13:07:32+07:00 ธนภณ ภู่มาลา thanaphon.phumala@gmail.com วัฒนา นนทชิต thanaphon.phumala@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการเรียนรู้แบบผสมผสานและการจัดการทุนมนุษย์ โดยมุ่งเน้น 1) การศึกษาขั้นตอนการเรียนรู้แบบผสมผสาน 5 ระดับ ได้แก่ การรับรู้ การตอบสนอง การเห็นคุณค่า การจัดระบบ และสร้างลักษณะนิสัย 2) การศึกษาการจัดการทุนมนุษย์ที่ครอบคลุม การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การบริหารการเปลี่ยนแปลง ความคิดสร้างสรรค์ การทำงานเป็นทีม และการแบ่งปันข้อมูล และ 3) การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง Blended Learning และ Human Capital การศึกษานี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณ ประกอบด้วยผู้บริหาร อาจารย์ และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัย 4 กลุ่ม ได้แก่ มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ มหาวิทยาลัยของรัฐ มหาวิทยาลัยราชภัฎ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล กลุ่มตัวอย่าง 457 คน ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกกับคณบดี 3 ท่าน</p> <p>ผลการวิจัยในเชิงปริมาณ พบว่า ตัวแปรตาม ตัวแบบการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) ที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านขั้นการตอบสนอง อยู่ในระดับมากที่สุด, ค่าเฉลี่ย 4.64 ส่วนด้านอื่นจะเรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยมากไปน้อย คือ 2) ด้านขั้นการรับรู้ มีค่าเฉลี่ย 4.31 3) ด้านขั้นการจัดระบบ มีค่าเฉลี่ย 4.30 4) ด้านขั้นการสร้างลักษณะนิสัย มีค่าเฉลี่ย 4.16 5) ด้านขั้นการเห็นคุณค่า มีค่าเฉลี่ย 4.14 ตัวแปรต้น การจัดการทุนมนุษย์(Human Capital) ที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือด้านการมุ่งมั่นเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 4.26 ส่วนด้านอื่นจะเรียงลำดับจากมากไปน้อย คือ 2) ด้านการบริหารการเปลี่ยนแปลง และด้านการทำงานเป็นทีมมีค่าเฉลี่ย 4.25 3) ด้านการเปิดใจยอมรับและแบ่งปันข้อมูล มีค่าเฉลี่ย 4.23 4) ด้านการมีความคิดสร้างสรรค์อยู่เสมอ มีค่าเฉลี่ย 4.21 </p> <p>ผลการวิจัยในเชิงคุณภาพ พบว่า ผลการสัมภาษณ์เชิงลึก กลุ่มมหาวิทยาลัยของรัฐ (ภาคใต้) กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏ (ภาคใต้) กลุ่มมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (ศรีวิชัย) ภาคใต้ ข้อคำถามในการสัมภาษณ์ จะตรงตาม ตัวแปรตาม ตัวแบบการเรียนรู้แบบผสมผสาน (BLENDED LEARNING) ซึ่งตัวแปรทุกด้านจะมีการให้น้ำหนักความสำคัญอยู่ในระดับมากที่สุด ตัวแปรต้น การจัดการทุนมนุษย์ (Human Capital) ซึ่งตัวแปรทุกด้านจะมีการให้น้ำหนักความสำคัญอยู่ในระดับมาก</p> 2025-05-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันติสุขปริทรรศน์ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP/article/view/5886 การพัฒนารูปแบบนวัตกรรมการเรียนรู้แบบผสมผสานตามความสามารถในวิชาการสัมมนาการบริหารการศึกษา 2025-03-05T11:08:07+07:00 เสกชัย ชมภูนุช sekchai@northcm.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโมเดลความสามารถการเรียนรู้แบบผสมผสานในวิชาการสัมมนาการบริหารการศึกษาเพื่อศึกษาหลักสูตรการเรียนรู้แบบผสมผสานตามความสามารถในวิชาการสัมมนาและเพื่อศึกษาแนวทางการประเมินการเรียนรู้แบบผสมผสานตามความสามารถในวิชาการสัมมนาการบริหารการศึกษารวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามกลุ่มประชากร ได้แก่ อาจารย์มหาวิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่ จำนวน 20 คน และนักศึกษาวิชาสัมมนาการบริหารการศึกษา จำนวน 100 คน รวมทั้งหมด 120 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) โมเดลความสามารถการเรียนรู้แบบผสมผสานของบัณฑิตในวิชา<br />การสัมมนาการบริหารการศึกษา ประกอบด้วยมิติสมรรถนะ 5 มิติ 25 สมรรถนะ 2) หลักสูตร<br />การเรียนรู้แบบผสมผสานตามความสามารถในวิชาการสัมมนาการบริหารการศึกษา ประกอบด้วยหลักสูตรและโมดูลการเรียนรู้ 8 โมดูล 3) แนวทางการประเมินการเรียนรู้แบบผสมผสานตามความสามารถในวิชาการสัมมนาการบริหารการศึกษา ประกอบด้วยการประเมินเพื่อพัฒนาและการประเมินผลสรุป ผลการวิเคราะห์ความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของการนำรูปแบบนวัตกรรมการเรียนรู้แบบผสมผสานตามความสามารถไปใช้เรียนรู้ในวิชาการสัมมนาการบริหารการศึกษาตามผลการวิจัยทั้ง 3 ข้อ โดยรวมอยู่ในระดับมาก ปัญหาคือ การจัดการสอนและการเรียนรู้เป็นแบบดั้งเดิมไม่ได้เน้นการสอนการเรียนรู้ตามความสามารถจึงยังไม่มีรูปแบบจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานตามความสามารถในวิชาการสัมมนา ผลการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ของวิชาแบบดั้งเดิมไม่สามารถแสดงออกถึงสมรรถนะการเรียนรู้ของผู้เรียนที่ชัดเจนและไม่สามารถประเมินสมรรถนะการเรียนรู้แบบผสมผสานตามความสามารถได้ ข้อเสนอแนะ คือ ภาควิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่ ควรส่งเสริมให้อาจารย์ผู้สอนในวิชาการสัมมนาการบริหารการศึกษาจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบนวัตกรรมการเรียนรู้แบบผสมผสานตามความสามารถเพื่อยกระดับการเรียนรู้แบบดั้งเดิมสู่รูปแบบการเรียนรู้แนวใหม่ที่เน้นการบูรณาการการเรียนรู้ตามความสามารถและการเรียนรู้แบบผสมผสาน</p> 2025-05-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันติสุขปริทรรศน์ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP/article/view/5895 พฤติกรรมผู้บริโภคกลุ่มสูงวัยในจังหวัดแพร่ในฐานะเมืองสูงวัยระดับสุดยอดของประเทศไทย 2025-03-02T13:08:56+07:00 วิกานดา ใหม่เฟย vikanda@mju.ac.th รัชนีวรรณ คำตัน vikanda@mju.ac.th กอบลาภ อารีศรีสม vikanda@mju.ac.th ภาวิณี อารีศรีสม vikanda@mju.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคกลุ่มสูงวัยในจังหวัดแพร่ในฐานะเมืองสูงวัยระดับสุดยอดของประเทศไทย และวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมดังกล่าวเป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม จากกลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุจำนวน 398 คนในพื้นที่ 8 อำเภอในจังหวัดแพร่ การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้สูงอายุวัยต้น อายุ 68 ปี ส่วนใหญ่ยังทำงานเพื่อหารายได้ และผู้ที่เกษียณแล้วพึ่งพาบำเหน็จ/บำนาญและการสนับสนุนจากบุตร รายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 18,325–19,159 บาทต่อเดือน ผู้สูงอายุส่วนมากมีบทบาททางสังคมและเข้าร่วมกิจกรรมชุมชนเป็นประจำ พฤติกรรมการบริโภคของผู้สูงวัยอยู่ในระดับมาก โดยสินค้าที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่ เสื้อผ้า เครื่องมือสื่อสาร และรองเท้า ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของภาพลักษณ์และการใช้เทคโนโลยีในการดำเนินชีวิต นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ เช่น ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ดวงตา และช่องปาก ก็ได้รับความสนใจในระดับสูง การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่าง ๆ กับพฤติกรรมการบริโภคพบว่า ระดับการศึกษาและการอ่านออกเขียนได้มีความสัมพันธ์สูงมากกับพฤติกรรมการบริโภค (r=0.977**, r=0.636**) ขณะที่รายได้และการออมมีอิทธิพลในระดับปานกลางถึงสูง (r=0.532**, r=0.679**) ด้านสังคมบทบาททางสังคมมีความสัมพันธ์ค่อนข้างสูงกับการบริโภค (r=0.661**, r=0.687**) ส่วนปัจจัยด้านจิตวิทยาพบว่า อายุมีความสัมพันธ์ในระดับค่อนข้างสูงกับพฤติกรรมการบริโภค (r=0.633**)</p> 2025-05-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันติสุขปริทรรศน์ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP/article/view/5907 รูปแบบการพัฒนาความเป็นพลเมืองดิจิทัลของครูโรงเรียน สังกัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2025-02-24T12:50:32+07:00 ภัทร์ภูมิ เหมบุรุษ patphumm@gmail.com สุธรรม ธรรมทัศนานนท์ patphumm@gmail.com <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบ สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของความเป็นพลเมืองดิจิทัลของครู 2) สร้างและตรวจสอบรูปแบบการพัฒนา 3) ทดลองใช้รูปแบบ และ 4) ประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบการพัฒนาความเป็นพลเมืองดิจิทัลของครูโรงเรียนสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กลุ่มตัวอย่างคือครูในโรงเรียนสังกัดเทศบาลนครภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 313 คน จากประชากร 1,429 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิตามสัดส่วนของประชากร คัดเลือกครูแบบอาสาสมัครกลุ่มตัวอย่างทดลองใช้จำนวน 15 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถาม แบบทดสอบ แบบสัมภาษณ์ และแบบประเมินวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ การทดสอบค่าที และค่าความต้องการจำเป็น (PNI)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ความเป็นพลเมืองดิจิทัลของครูประกอบด้วย 4 ด้าน ได้แก่ 1) การสร้างองค์ความรู้ด้านดิจิทัล 2) การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการศึกษา 3) การสื่อสารและประสานงานในโลกดิจิทัล และ 4) จริยธรรมดิจิทัล รวม 22 ตัวบ่งชี้ สภาพปัจจุบันอยู่ในระดับปานกลาง สภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมากที่สุด ด้านที่มีความต้องการจำเป็นสูงสุดคือการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล<br />เพื่อการศึกษา รูปแบบการพัฒนาประกอบด้วย หลักการ, วัตถุประสงค์, วิธีดำเนินงาน (4 หน่วย<br />การเรียนรู้ตามแนวทางพัฒนา 70:20:10), การประเมินผลและเงื่อนไขความสำเร็จ ผลการทดลองใช้พบว่า คะแนนความรู้หลังพัฒนาสูงกว่าก่อนพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 พฤติกรรมก่อนพัฒนาอยู่ในระดับปานกลางและหลังพัฒนาอยู่ในระดับมากโดยรวมมีเจตคติที่เห็นด้วยอย่างยิ่งและผู้เข้าร่วมมีระดับความพึงพอใจสูงสุด ผลการประเมินพบว่า รูปแบบมีความเหมาะสมความเป็นไปได้และประโยชน์ในระดับสูง</p> 2025-05-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันติสุขปริทรรศน์ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP/article/view/5901 นวัตกรรมการสร้างสังคมสันติสุขโดยยึดหลักพุทธศาสนาและทุนทางสังคมของชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ ในจังหวัดเชียงใหม่ 2025-03-02T13:16:12+07:00 วิราษ ภูมาศรี asksak@hotmail.com พระครูสังฆรักษ์วีรวัฒน์ วีรวฑฺฒโน asksak@hotmail.com สรวิศ พรมลี asksak@hotmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สังเคราะห์หลักพระพุทธศาสนาและทุนทางสังคมของชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ 2) สร้างและพัฒนานวัตกรรมการสร้างสังคมสันติสุขโดยยึดหลักพุทธศาสนาและทุนทางสังคมของชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ และ 3) นำเสนอนวัตกรรมการสร้างสังคมสันติสุขโดยยึดหลักพุทธศาสนาและทุนทางสังคมของชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ ในจังหวัดเชียงใหม่ เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน พื้นที่ในการวิจัย อำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มเป้าหมาย คือ นักวิชาการ อาจารย์ และผู้นำชุมชน 20 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ และการสนทนากลุ่มย่อย วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) หลักพระพุทธศาสนาสำหรับสร้างสังคมสันติสุข ประกอบด้วย (1) มิติด้านกายภาพ ได้แก่ ศีล (2) มิติด้านสังคม ได้แก่ สาราณียธรรม สังคหวัตถุ พรหมวิหาร (3) มิติด้านจิตใจ ได้แก่ สมาธิ (4) มิติด้านปัญญา ได้แก่ ปัญญา ทุนทางสังคมของชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์สำหรับสร้างสังคมสันติสุข ประกอบด้วย (4.1) ทุนมนุษย์ ได้แก่ ความรู้ ความสามารถ และขนบธรรมเนียม (4.2) ทุนเครือข่ายสังคม คือ เครือข่ายความร่วมมือชุมชน (4.3) ทุนกายภาพ ได้แก่ ภูมิปัญญา ประเพณีและวัฒนธรรม (4.4) ทุนธรรมชาติ ได้แก่ ทรัพยากรทางธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และ (4.5) ทุนภูมิปัญญาและวัฒนธรรม ได้แก่ ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปวัฒนธรรม 2) นวัตกรรมการสร้างสังคมสันติสุขโดยยึดหลักพุทธศาสนา ประกอบด้วย (1) การปฏิบัติศีล 5 (2) หลักสาราณียธรรม สังคหวัตถุ และพรหมวิหาร (3) หลักไตรสิกขา และ (4) การตระหนักรู้ เข้าใจเหตุและผล นวัตกรรมการสร้างสังคมสันติสุขโดยใช้ทุนทางสังคมของชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ประกอบด้วย (1) ขนบธรรมเนียมประเพณี (2) เครือข่ายความร่วมมือ (3) ภูมิปัญญา (4) ทรัพยากรธรรมชาติ และ (5) ความเชื่อ พิธีกรรม 3) นำเสนอนวัตกรรมการสร้างสังคมสันติสุข ผ่านพิธีกรรม กิจกรรม ประเพณีทางศาสนาและชุมชน ข้อเสนอแนะ หน่วยงานภาครัฐ และองค์กรศาสนา ควรมีกิจกรรมส่งเสริมการสร้างสันติสุขให้เกิดในชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง</p> 2025-05-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันติสุขปริทรรศน์ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP/article/view/5909 รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 2025-02-24T12:52:36+07:00 นันทวรรณ คุ้มบัว tarnkumbua@gmail.com สุธรรม ธรรมทัศนานนท์ tarnkumbua@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบ สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ ความต้องการจำเป็นและแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัลฯ 2) สร้างและตรวจสอบรูปแบบฯ 3) ทดลองใช้รูปแบบฯ และ 4) การประเมินรูปแบบฯ กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางสำเร็จรูปของเครซี่และมอร์แกน ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 123 คน โดยใช้การสุ่มอย่างง่าย และกลุ่มเป้าหมายในการทดลองใช้รูปแบบฯ จำนวน 15 คน การเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัย ใช้เทคนิคการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบทดสอบและแบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่า PNI</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำดิจิทัลฯ มี 4 องค์ประกอบ สภาพปัจจุบันอยู่ในระดับ<br />ปานกลาง สภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมากที่สุด และความต้องการจำเป็นลำดับที่ 1 ได้แก่ การจัดการดิจิทัล 2) รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัลฯ ประกอบด้วย 5 ส่วน ได้แก่ หลักการ วัตถุประสงค์ วิธีการดำเนินงาน แนวทางการประเมิน และ เงื่อนไขความสำเร็จ ขอบข่ายการเรียนรู้ประกอบด้วย 4 หน่วยการเรียนรู้ ได้แก่ การจัดการดิจิทัล วิสัยทัศน์ดิจิทัล วัฒนธรรมดิจิทัล และความร่วมมือดิจิทัล โดยใช้วิธีการพัฒนา ดังนี้ วิธีการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง วิธีการเรียนรู้จากผู้อื่น และวิธีการฝึกอบรม 3) การทดลองใช้รูปแบบ พบว่า คะแนนทดสอบความรู้และระดับพฤติกรรม หลังการเข้าร่วมพัฒนาสูงกว่าก่อนการเข้าร่วมพัฒนา และมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด 4) ผลการประเมินรูปแบบมีความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ อยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-05-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันติสุขปริทรรศน์ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP/article/view/5910 รูปแบบการบริหารเพื่อเสริมสร้างคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียนโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1 2025-03-10T20:06:14+07:00 มนธิรา สุตะนนท์ mon.thira@live.com สุธรรม ธรรมทัศนานนท์ mon.thira@live.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบคุณลักษณะอันพึงประสงค์ องค์ประกอบของรูปแบบ สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ ความต้องการจำเป็น และแนวปฏิบัติที่ดีของการบริหารเพื่อเสริมสร้างคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียน 2) สร้างรูปแบบฯ 3) ทดลองใช้รูปแบบฯ 4) ประเมินรูปแบบฯ กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางสำเร็จรูปของเครซี่และมอร์แกน ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 111 คน จากประชากร 156 คน โดยใช้การสุ่มอย่างง่าย และกลุ่มเป้าหมายในการทดลองใช้รูปแบบฯ จำนวน 20 คน การเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัย ใช้เทคนิคการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญแบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบทดสอบและแบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ และ PNI</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียน มี 6 องค์ประกอบ สภาพปัจจุบันอยู่ในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมากที่สุด ความต้องการจำเป็นอันดับ 1 คือ ด้านความซื่อสัตย์สุจริต 2) รูปแบบประกอบด้วย 5 ส่วน ได้แก่ (1) หลักการ (2) วัตถุประสงค์ (3) วิธีการดำเนินงานตามทฤษฎีการจัดการสมัยใหม่ POLC ประกอบด้วย การวางแผน การจัดองค์การ การนำ และการควบคุม (4) แนวทางการประเมินผล และ (5) เงื่อนไขความสำเร็จ 3) การทดลองใช้รูปแบบ พบว่า คะแนนความรู้ความเข้าใจและระดับพฤติกรรมหลังการใช้รูปแบบสูงกว่าก่อนการใช้ และมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก 4) ผลการประเมินรูปแบบมีความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในระดับมากที่สุด</p> 2025-05-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันติสุขปริทรรศน์ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP/article/view/5911 รูปแบบการพัฒนาการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 2025-03-05T11:16:31+07:00 วุฒิพงษ์ ศรีจันทรา 659210200107@rmu.ac.th ชยากานต์ เรืองสุวรรณ 659210200107@rmu.ac.th กฤษกนก ดวงชาทม 659210200107@rmu.ac.th <p>วิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาองค์ประกอบและตัวชี้วัด สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ ความต้องการจำเป็น การสร้างรูปแบบ และ ผลการทดลองใช้รูปแบบการพัฒนาการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถม ศึกษาขอนแก่นเขต 5 เป็นการวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษาครู และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 317 คน เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง แบบประเมิน สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ความถี่ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า องค์ประกอบและตัวชี้วัด ประกอบด้วย การมีส่วนร่วมพัฒนาหลักสูตร การมีส่วนร่วมจัดการเรียนรู้ การมีส่วนร่วมวัดและประเมินผล และ การมีส่วนร่วมนิเทศการศึกษา ผลการประเมินความเหมาะสมโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด สภาพปัจจุบันโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง สภาพที่พึงประสงค์โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ความต้องการจำเป็น มีค่า 0.26 – 0.50 รูปแบบมีวิธีการในการพัฒนา คือ การอบรมเชิงปฏิบัติการ และการศึกษาดูงาน ประกอบด้วย 4 โมดูล คือ การมีส่วนร่วมจัดการเรียนรู้ การมีส่วนร่วมนิเทศการศึกษา การมีส่วนร่วมวัดและประเมินผล และการมีส่วนร่วมพัฒนาหลักสูตร มีผลการประเมินด้านความเหมาะสม ด้านความเป็นไปได้ และด้านความเป็นประโยชน์ อยู่ในระดับมากที่สุด ผลการทดลองใช้รูปแบบหลังการทดลองใช้รูปแบบสูงกว่าก่อนทดลองใช้ ผลการวิจัยครั้งนี้ ผู้บริหารสถานศึกษา ครู และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน โรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก สามารถนำรูปแบบไปประยุกต์และพัฒนางานวิชาการร่วมกันได้ไปประยุกต์ใช้ในงาน การมีส่วนร่วมพัฒนาหลักสูตรการมีส่วนร่วมจัดการเรียนรู้ การมีส่วนร่วมวัดและประเมินผล และการมีส่วนร่วมนิเทศการศึกษา</p> 2025-05-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันติสุขปริทรรศน์ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP/article/view/5916 การมีส่วนร่วมของคนไทยและแรงงานเมียนมาร์ในประเพณีชักพระ ชุมชนบ้านเกาะสิเหร่ จังหวัดภูเก็ต 2025-03-02T13:10:19+07:00 ราชรถ ปัญญาบุญ rachroat.p@pkru.ac.th พระมหาภาณุวิชญ์ ภาณุวิชฺชโญ rachroat.p@pkru.ac.th พรพิมล เตียมวัง rachroat.p@pkru.ac.th ธนกฤต ขวัญทอง rachroat.p@pkru.ac.th เสาวภาคย์ สุรจิตติพงศ์ rachroat.p@pkru.ac.th <p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพัฒนาการและระดับการมีส่วนร่วมของคนไทยและแรงงาน เมียนมาร์ในประเพณีชักพระของชุมชนบ้านเกาะสิเหร่ จังหวัดภูเก็ต เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน โดยเก็บข้อมูลจากประชาชน 400 คนผ่านแบบสอบถาม และสัมภาษณ์เชิงลึกผู้นำชุมชน หน่วยงานภาครัฐ เอกชน ผู้นำศาสนาและผู้นำชาวเมียนมาร์ รวม 11 คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยวิธีพรรณนาวิเคราะห์ และเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า พัฒนาการของการมีส่วนร่วมในงานประเพณีชักพระ ชุมชนบ้านเกาะสิเหร่ จังหวัดภูเก็ต ในอดีตชาวไทยพุทธในชุมชนและกรรมการวัดเกาะสิเหร่ได้จัดประเพณีชักพระขึ้นเป็นประจำ ต่อมาปี พ.ศ. 2552 มีแรงงานเมียนมาร์ซึ่งนับถือศาสนาพุทธเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว และในปี พ.ศ. 2556 จนถึงปัจจุบัน ตัวแทนแรงงานเมียนมาร์ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการการจัดกิจกรรมทางศาสนา ซึ่งมีความร่วมมืออันดีต่อกัน และ ระดับการมีส่วนร่วมของคนไทยและแรงงานเมียนมาร์ ในประเพณีชักพระ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน โดยการมีส่วนร่วมด้านการร่วมรับผลประโยชน์มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา คือ ด้านการร่วมติดตามและประเมินผล ด้านการร่วมดำเนินการ และด้านการร่วมตัดสินใจ ตามลำดับ</p> 2025-05-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันติสุขปริทรรศน์ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP/article/view/5918 ตัวแบบการพัฒนาชุมชนเข้มแข็งโดยใช้ทุนของชุมชนเป็นฐาน กรณีศึกษาหมู่บ้านเกษตรพัฒนาหมู่ 15 ตำบลป่าไผ่ อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ 2025-03-28T13:53:10+07:00 ธรรมพร ตันตรา thammaporn9999@gmail.com <p>บทความการวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการมีอยู่ของทุนชุมชนที่สามารถนำมาหนุนเสริมการพัฒนาชุมชนหมู่บ้านเกษตรให้มีความเข้มแข็ง และศึกษารวบรวมข้อมูลและจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาเชิงบูรณาการ เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญประกอบด้วย ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำกลุ่มองค์กรชุมชน ผู้นำปราชญ์ชุมชน ผู้แทนผู้นำภาคราชการ ผู้แทนผู้นำภาคเอกชน ผู้แทนด้านศาสนา ผู้แทนภาควิชาการ คณะกรรมการหมู่บ้าน และประชาชน มีจำนวนทั้งหมด 43 คน มีเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง และการสนทนากลุ่มย่อย วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ทุนของชุมชนหมู่บ้านเกษตรพัฒนาประกอบด้วย ทุนทางด้านประชาชน ทุนทางด้านผู้นำ ทุนทางด้านกลุ่มองค์กรชุมชน ทุนทางด้านทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ทุนทางด้านเงินทุน และทุนทางด้านเครือข่ายความร่วมมือโดยทุนทั้งหมดสามารถนำมาเป็นฐานในการหนุนเสริมการพัฒนาชุมชนให้มีความเข้มแข็งได้ ยุทธศาสตร์การพัฒนาแบบบูรณาการ ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์การสร้างความตระหนักรู้ในบทบาทหน้าที่ความเป็นพลเมือง ยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพผู้นำชุมชน ยุทธศาสตร์การพัฒนากลุ่มองค์กรชุมชน ยุทธศาสตร์กระบวนการสร้างความร่วมมือในการพัฒนาชุมชน ยุทธศาสตร์ชุมชนเชิงพหุวัฒนธรรม และยุทธศาสตร์ชุมชนแห่งการเรียนรู้ โดยยุทธศาสตร์สามารถนำสู่การปฏิบัติให้เกิดผลเชิงรูปธรรมได้อย่างแท้จริง</p> 2025-05-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันติสุขปริทรรศน์ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP/article/view/6201 การออกแบบและพัฒนาระบบบริหารจัดการงานวิจัยเชิงกลยุทธ์เพื่อยกระดับคุณภาพสถาบันวิจัยญาณสังวร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2025-04-05T11:12:26+07:00 นฤเบศร์ พาผล narubet.rmuti@gmail.com รุ่งทิพย์ มณเทียร narubet.rmuti@gmail.com เจษฎา แตงเจริญ narubet.rmuti@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มุ่งศึกษาสภาพปัญหาและแนวทางการพัฒนาระบบบริหารจัดการงานวิจัยของสถาบันวิจัยญาณสังวร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย เพื่อยกระดับคุณภาพงานวิจัยให้มีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความต้องการของสังคม โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสานในส่วนของการวิจัยเชิงปริมาณ ได้เก็บรวบรวมข้อมูลจากอาจารย์และนักวิจัยจำนวน 133 คน เครื่องมือการวิจัยคือ แบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ขณะที่การวิจัยเชิงคุณภาพดำเนินการผ่านการสัมภาษณ์และการสนทนากลุ่มย่อยกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 9 คน ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในกระบวนการบริหารจัดการงานวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เทคนิควิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ระบบบริหารจัดการงานวิจัยของสถาบันยังมีข้อจำกัดในหลายด้าน ได้แก่ ปัญหาด้านบุคลากร โครงสร้างองค์กรกระบวนการผลิตองค์ความรู้ เทคโนโลยีสารสนเทศ และความร่วมมือทางวิชาการ ปัญหาเหล่านี้ส่งผลให้การวิจัยขาดความต่อเนื่อง ขาดยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน และขาดการสนับสนุนด้านทรัพยากรและงบประมาณ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว มีการออกแบบและการพัฒนาระบบบริหารจัดการงานวิจัยเชิงกลยุทธ์ผ่าน 9 แนวทางหลัก ได้แก่ 1) การพัฒนาแพลตฟอร์มเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บและติดตามผลวิจัย 2) การเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือทั้งภายในและภายนอก 3) การพัฒนาทักษะของนักวิจัยผ่านการฝึกอบรม 4) การเพิ่มแหล่งทุนวิจัยและการสนับสนุนงบประมาณ 5) การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของนักวิจัยในกระบวนการตัดสินใจ 6) การปรับปรุงระบบติดตามและประเมินผลการวิจัย 7) การจัดสรรทรัพยากรและสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็น 8) การสร้างแรงจูงใจและการเชิดชูผลงานวิจัย และ 9) การเผยแพร่และส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยเพื่อสร้างผลกระทบต่อสังคม</p> 2025-05-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันติสุขปริทรรศน์ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP/article/view/6242 ปฏิบัติการของภาคประชาชนนครศรีธรรมราชเพื่อร่วมสร้างพื้นที่กลางขับเคลื่อน “นครแห่งความสุข” 2025-04-21T09:39:56+07:00 พรไทย ศิริสาธิตกิจ vanpra.s@tsu.ac.th บรรเจิด สิงคะเน vanpra.s@tsu.ac.th วันพระ สืบสกุลจินดา vanpra.s@tsu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพลวัตและปฏิบัติการสร้างพื้นที่กลางของภาคประชาชนนครศรีธรรมราชเพื่อสร้างอำนาจต่อรองในการพัฒนาของภาคประชาชน เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม เก็บข้อมูลจากการจัดเวทีประชาคม จำนวน 4 ครั้ง จากตัวแทนเครือข่ายภาคประชาชนจังหวัดนครศรีธรรมราช และการสัมภาษณ์เชิงลึกแกนนำภาคประชาชนจังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 5 คน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ความเคลื่อนไหวภาคประชาชนจังหวัดนครศรีธรรมราช นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2527 ได้ก่อตั้งกลุ่มออมทรัพย์ในระดับชุมชน ต่อมาในปี พ.ศ.2540 ได้มีการเติบโตขึ้นของภาคประชาชนในระดับพื้นที่อย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง จนกระทั่งในช่วงปี พ.ศ.2545–2550 เกิดกระบวนการขับเคลื่อน พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ทำให้ประชาชนเกิดการมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศด้านสุขภาวะและการพัฒนาคุณภาพชีวิตในทุกพื้นที่ของประเทศไทย โดยพระราชบัญญัติดังกล่าวนี้ ทำให้จังหวัดนครศรีธรรมราชมีการรวมตัวของเครือข่ายภาคประชาชน ภายใต้ชื่อ “ดับบ้าน-ดับเมือง” ปัจจุบันเครือข่ายภาคประชาชนได้ร่วมมือกันเป็นคณะทำงานสมัชชาสุขภาพจังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 19 เครือข่าย เพื่อร่วมขับเคลื่อน “นครแห่งความสุข” โดยใช้ปฏิบัติการ 5 ส. ได้แก่ 1) สร้างข้อมูลกลางเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหา 2) สร้างแกนนำภาคประชาชนรุ่นใหม่ที่มีความเชี่ยวชาญในการสร้างพลังการมีส่วนร่วม 3) ส่งเสริมให้เกิดกลไกความร่วมมือขององค์กรเครือข่ายที่เข้มแข็ง 4) สร้างสภาองค์กรชุมชนที่เข้มแข็งเป็นพลังสร้างการเปลี่ยนแปลงจากฐานระดับตำบล และ 5) สานพลังสร้างสถาบันอำนาจภาคประชาชนตามวิถีประชาธิปไตยจากฐานชุมชน</p> 2025-05-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันติสุขปริทรรศน์ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP/article/view/6077 การพัฒนารูปแบบการบริหารความปลอดภัยในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคามเขต 1 2025-03-20T14:47:04+07:00 ขนิษฐา กำเนิดทอง 659210200101@rmu.ac.th ชยากานต์ เรืองสุวรรณ 659210200101@rmu.ac.th ปองภพ ภูจอมจิตร 659210200101@rmu.ac.th <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) องค์ประกอบและตัวชี้วัด 2) สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็น และ 3) การสร้างและทดลองใช้รูปแบบการบริหารความปลอดภัยในสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคามเขต 1 ตัวอย่าง จำนวน 302 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา 35 คน และครู 267 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง แบบประเมินองค์ประกอบและตัวชี้วัด แบบสอบถาม และแบบประเมินผลการทดลองใช้รูปแบบ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ความถี่ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) องค์ประกอบการบริหารความปลอดภัยมี 4 ด้าน 20 ตัวชี้วัด ได้แก่ อุบัติเหตุ (5 ตัวชี้วัด) อุบัติภัย (4 ตัวชี้วัด) ปัญหาทางสังคม (7 ตัวชี้วัด) และสุขภาพอนามัยของนักเรียน (4 ตัวชี้วัด) โดยมีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด 2) สภาพปัจจุบันอยู่ในระดับปานกลาง สภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมากที่สุด และค่าความต้องการจำเป็นอยู่ระหว่าง 0.38–0.45 3) รูปแบบที่พัฒนาประกอบด้วย 5 หน่วย มีความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ในระดับมากที่สุด 4) การทดลองใช้พบว่า ผลหลังทดลองมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าก่อนทดลอง ด้านปัญหาทางสังคมเป็นลำดับแรกที่ต้องพัฒนา ดังนั้น ผู้บริหารและครูควรให้ความสำคัญกับแนวทางบริหารด้านนี้เพิ่มขึ้น</p> 2025-05-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันติสุขปริทรรศน์ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP/article/view/5881 The Reduce Administrative Staff Brain Drain Strategies of Guizhou Vocational College of Industry and Commerce, Guizhou, China 2025-02-23T15:43:28+07:00 Xin Zhan winit.phacharuen@gmail.com Winit Pharcharuen winit.phacharuen@gmail.com Non Napratansuk winit.phacharuen@gmail.com Jariya Komen winit.phacharuen@gmail.com <p>This study explores the brain drain phenomenon among administrative staff at Guizhou Vocational College of Industry and Commerce, aiming to identify its root causes and propose effective retention strategies. Grounded in the Two-Factor Theory, Maslow’s Hierarchy of Needs, and Human Resource Strategic Management Theory, the research employs a quantitative approach to assess the current situation, key influencing factors, and potential solutions.</p> <p>Findings reveal that overall job satisfaction among administrative staff is low, with major contributing factors including inadequate salaries, unfair performance evaluations, poor office conditions, and ineffective communication of policy updates. Based on data analysis, the study recommends increasing salaries and enhancing the fairness and transparency of performance evaluation standards to improve staff retention and organizational stability.</p> 2025-05-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันติสุขปริทรรศน์ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP/article/view/5847 Explore the Key Aspects of Women's Development: to Enhancing Women's Management Abilities - Research on the Management Ability of Female Leaders in Universities in Kunming, Yunnan Province, China 2025-02-19T12:16:55+07:00 Luoyi Jin bkmas@mju.ac.th Bongkochmas Ek-lem bkmas@mju.ac.th Chalermchai Panyadee bkmas@mju.ac.th Pradtana Yossuck bkmas@mju.ac.th Non Napratansuk bkmas@mju.ac.th <p>This study aims to explore the management abilities of female leaders in universities in Kunming, Yunnan Province, China, focusing on six key aspects: strategic thinking ability, creative thinking ability, decision ability, emotion management ability, emergency ability, and sense of efficacy. The research objectives are to analyze the level of management ability among female leaders and to propose recommendations for enhancing their abilities of management. The study employs a quantitative research design, utilizing a questionnaire survey as the primary research instrument. Data were collected from 264 female leaders across nine universities in Kunming. Data analysis involved multiple linear regression to examine the impact of social participation, social support, and achievement motivation on management abilities. The findings reveal that social participation, social support, and achievement motivation significantly and positively influence the management abilities of female leaders, with achievement motivation having the strongest impact. Based on these results, the study recommends strengthening social participation, establishing multi-level social support systems, and implementing effective achievement incentives to enhance the management abilities of female leaders. These measures aim to foster the development of female leaders and contribute to the overall optimization of university management.</p> 2025-05-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันติสุขปริทรรศน์ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP/article/view/5870 The Improvement of Fire Safety Awareness Management in Xinyue community, Shandong, China 2025-02-23T10:31:08+07:00 Jingkang Wei winit.phacharuen@gmail.com Winit Pharcharuen winit.phacharuen@gmail.com Jariya Komentand winit.phacharuen@gmail.com Non Napratansuk winit.phacharuen@gmail.com <p>The purpose of this study is to (1) analyze the current level of fire safety awareness among the management staff of the Xinyue community, (2) examine the factors influencing fire safety awareness in the community management, and (3) propose strategies to improve fire safety awareness and management levels among the community management staff. This research is a descriptive survey study. A questionnaire was used as the data collection tool. The target population consisted of 200 community management staff and residents of the Xinyue community in Shandong, China. Descriptive statistics, including percentages and means, were used for data analysis.</p> <p>The findings of the study revealed that (1) the level of fire safety awareness among the management staff of the Xinyue community was found to be inadequate, with many respondents expressing dissatisfaction with the frequency of training and the maintenance of fire safety equipment, (2) the key factors affecting fire safety awareness include insufficient training, weak management systems, and a lack of effective fire prevention education, and (3) proposed improvements include strengthening fire safety education for residents, increasing regular publicity activities, and improving service quality and equipment inspections. The study suggests that continuous fire safety education and training should be implemented for both management staff and residents to enhance their fire prevention capabilities and reduce the risk of fire-related incidents in the future.</p> 2025-05-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันติสุขปริทรรศน์ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP/article/view/5873 The Student Management Problems in Kunming Health Vocational College, Yunnan, People Republic of China 2025-02-23T10:31:59+07:00 Yi Tie nonnaprathansuk@hotmail.com Non Naprathansuk nonnaprathansuk@hotmail.com Pit Jitpakdee nonnaprathansuk@hotmail.com Suriyajaras Techatunminasakul nonnaprathansuk@hotmail.com <p>The purpose of this study is to explore the current situation, influencing factors and optimization methods of student management in Kunming Health Vocational College, based on the theories of New Public Management, Flexible Management and Process Management, and surveyed 400 students (calculated by Taro Yamane's formula) by using quantitative research method. Through random sampling questionnaire and socio-statistical analysis, Cronbach model was used to verify the reliability of the data, and the quality of management was assessed in terms of mean, multitude, and median, and ultimately optimization strategies were proposed to improve the level of student management.</p> <p>The results show that the overall student management of the college is good, but there are problems such as insufficient rationality of management policies, lack of attractiveness of extracurricular activities, and transparency and fairness of dormitory management to be improved. The study shows that competition mechanism is scholarships, result orientation is employment rate, intra-campus competitiveness, process management and teaching quality are the key factors affecting the quality of management. In this regard, colleges should conduct regular satisfaction surveys, strengthen student communication, establish clear norms, encourage student participation in decision-making, improve feedback mechanisms, and regularly evaluate and adjust strategies in order to optimize the student experience and enhance campus satisfaction.</p> 2025-05-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันติสุขปริทรรศน์ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP/article/view/5877 The Impact of Smart Classrooms to Improving Teaching Quality in Guizhou Vocational College of Industry and Commerce 2025-03-05T12:28:44+07:00 Yaran Liu nonnaprathansuk@hotmail.com Non Naprathansuk nonnaprathansuk@hotmail.com Bongkochmas Ekiem nonnaprathansuk@hotmail.com Suriyajaras Techatunminasakul nonnaprathansuk@hotmail.com <p>This study examines teaching quality in regular classrooms and evaluates the impact of smart classrooms at Guizhou Vocational College of Industry and Commerce. Guided by Educational Quality Theory, Educational Management Theory, and Teaching Assessment Theory, the research focuses on three objectives: 1) assessing the current teaching quality in regular classrooms, 2) identifying key factors influencing teaching quality, and 3) evaluating the effect of smart classrooms. A quantitative approach was used, with data collected from 315 full-time teachers via a questionnaire employing a five-point Likert scale. SPSS software was used for analysis, including descriptive statistics, reliability testing (Cronbach’s alpha), and factor analysis (KMO test).</p> <p>Findings indicate that while 60% of respondents rate regular classroom teaching quality as good, areas such as professional experience, self-study skills, and student interaction need improvement. Smart classrooms significantly enhance teacher satisfaction, student engagement, and classroom interaction. Key factors affecting teaching quality include technology integration, teacher training, and administrative support. The study recommends improving smart classroom infrastructure, enhancing personalized learning support, and integrating technology more effectively into teaching practices. These insights can help educational institutions enhance teaching quality through technological advancements.</p> 2025-05-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันติสุขปริทรรศน์ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP/article/view/5323 ภาคีภิบาล: การพัฒนาเมืองอัจฉริยะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสู่ความยั่งยืน 2024-11-13T19:10:22+07:00 ก้องกิดากร หทัยวิวัฒน์กุล h.kongkidakon@gmail.com <p>บทความวิชาการเรื่อง ภาคีภิบาล: การพัฒนาเมืองอัจฉริยะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสู่ความยั่งยืน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาเมืองอัจฉริยะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นผ่านภาคีภิบาล โดยรวบรวมข้อมูลจากเอกสารวิชาการ หนังสือ ตำรา งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสื่อออนไลน์ต่าง ๆ วิธีการศึกษาใช้การวิเคราะห์เอกสารจากแหล่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ โดยเน้นการศึกษาเกี่ยวกับแนวคิดภาคีภิบาล เมืองอัจฉริยะ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กลุ่มประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาเป็นข้อมูลจากการวิจัยและการปฏิบัติในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ ที่ขับเคลื่อนดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมและประสบความสำเร็จในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาเป็นการวิเคราะห์เชิงเนื้อหาและการสังเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งที่มา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า การพัฒนาเมืองอัจฉริยะมีกระบวนการที่ซับซ้อนต้องใช้กลไกและเครื่องมือที่หลากหลาย โดยเฉพาะในระดับท้องถิ่น แม้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะพยายามนำแนวคิดนี้มาปรับใช้ในด้านโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งแวดล้อม แต่ยังคงมีข้อจำกัดในด้านกฎระเบียบ งบประมาณ และการจัดการที่ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ทำให้การพัฒนาเพียงลำพังเป็นไปได้ยาก ภาคีภิบาลจึงมีบทบาทสำคัญในการร่วมขับเคลื่อน โดยช่วยสนับสนุนทั้งการวิเคราะห์ข้อมูลการพัฒนาเทคโนโลยี การจัดหาทรัพยากรและเงินทุน รวมถึงส่งเสริมให้เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชน การให้ข้อมูลและการสร้างความเข้าใจในประโยชน์ของเมืองอัจฉริยะยังช่วยสร้างความไว้วางใจและการมีส่วนร่วมจากประชาชน สร้างรากฐานที่ยั่งยืนเพื่อการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในอนาคต</p> 2025-05-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันติสุขปริทรรศน์ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JPP/article/view/5141 บทบาทของสภากาแฟกับการเมืองไทยในมิติชุมชน กรณีศึกษาอำเภอบ้านนาเดิม จังหวัดสุราษฎร์ธานี 2025-05-10T09:35:14+07:00 ปฏิพัทธ์ เพชรศรี kanpatiphat0702@gmail.com <p>บทความนี้มุ่งศึกษาบทบาทของ “สภากาแฟ” ในฐานะพื้นที่ของการเมืองภาคประชาชน ผ่านกรณีศึกษาอำเภอบ้านนาเดิม จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยใช้กรอบแนวคิดเวทีสาธารณะของ Jürgen Habermas “ทุนทางสังคม” ของ Robert Putnam และแนวคิดการมีส่วนร่วมแบบไม่เป็นทางการ เพื่อวิเคราะห์ว่าสภากาแฟ ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันของชาวบ้าน กลับมีความสำคัญในการเปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางสังคมและการเมืองในลักษณะที่ไม่ขึ้นกับโครงสร้างทางการ ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าสภากาแฟทำหน้าที่เป็นเวทีสาธารณะในระดับชุมชน ที่เอื้อต่อการสื่อสาร การวิพากษ์วิจารณ์นโยบายสาธารณะ และการรวมตัวกันของประชาชนเพื่อแสดงออกทางการเมือง แม้จะไม่มีสถานะหรือโครงสร้างทางการอย่างชัดเจน แต่สภากาแฟสามารถสะท้อนเจตจำนงของชุมชน และเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมในระดับท้องถิ่น</p> 2025-05-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสันติสุขปริทรรศน์