วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JOEMSU <p><strong>ภาษาไทย : </strong>วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม<br /><strong>English : </strong>Journal of Education Mahasarakham University</p> <p>ISSN: 3027-6268 (Online)<br /><br /><strong>การรับรองคุณภาพวารสาร</strong><br />วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ผ่านการรับรองคุณภาพของ ศูนย์ดัชนีอ้างอิงวารสารไทย Thai-Journal Citation Index Centre (TCI) ถึง 31 ธันวาคม 2572 อยู่ในฐานข้อมูล TCI กลุ่มที่ 2</p> <p><strong>จุดมุ่งหมายและขอบเขต</strong><br /> วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งเผยแพร่ ผลงานทางวิชาการที่มีคุณภาพของนักวิชาการทั้งในและต่างประเทศโดยเผยแพร่ บทความวิชาการ บทความวิจัย/วิทยานิพนธ์ และบทวิจารณ์หนังสือ ในสาขาวิชาต่างๆ ได้แก่ การพัฒนาคุณภาพการศึกษา การพัฒนาการเรียนการสอน และการพัฒนาวิชาชีพครู โดยครอบคลุมสาขา<em>วิ</em>ชาหลักสูตรและการสอน การบริหารการศึกษา เทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์ศึกษา จิตวิทยาและแนะแนวการศึกษา การวัดและประเมินผลทางการศึกษา สถิติและวิจัยทางการศึกษา และสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องทางด้านการศึกษา </p> <p><strong>กำหนดการออกเผยแพร่</strong><br />วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กำหนดออกและตีพิมพ์เผยแพร่ ปีละ 4 ฉบับ<br />- ฉบับที่ 1 มกราคม – มีนาคม<br />- ฉบับที่ 2 เมษายน – มิถุนายน<br />- ฉบับที่ 3 กรกฎาคม – กันยายน<br />- ฉบับที่ 4 ตุลาคม – ธันวาคม<br />บทความที่พิมพ์เผยแพร่ในวารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งวารสารนี้จัดทำเป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Online) ในระบบ thaijo (ปีที่ 17 ฉบับที่ 4) เป็นต้นไป จะเผยแพร่บทความในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Online) เท่านั้น</p> <p><strong>บรรณาธิการ :</strong><br />รองศาสตราจารย์ ดร.จิระพร ชะโน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม<br /><br /><strong>กระบวนการพิจารณา</strong><br /> บทความที่ส่งพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จะต้องผ่านการพิจารณากลั่นกรองคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิในลักษณะผู้พิจารณาไม่ทราบชื่อผู้แต่งและผู้แต่งไม่ทราบชื่อผู้พิจารณา (Double-Blind Peer Review) ตามกระบวนการที่กองบรรณาธิการกำหนด ทั้งนี้บทความได้รับการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆ จากหลากหลายสถาบัน และไม่อยู่ในสังกัดสถาบันเดียวกันกับผู้นิพนธ์</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</strong></p> <p> * กรณีผู้นิพนธ์เป็น คณาจารย์และบุคลากร มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จ่ายค่าพิจารณาบทความในอัตรา 3,000 บาท/1 บทความ<br /> * กรณีผู้นิพนธ์เป็น สมาชิกตลอดชีพสมาคมศิษย์เก่า คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จ่ายค่าพิจารณาบทความในอัตรา 3,000 บาท/1 บทความ<br /> * กรณีผู้นิพนธ์เป็น บุคคลทั่วไป จ่ายค่าพิจารณาบทความในอัตรา 3,500 บาท/1 บทความ</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> </span><strong>การชำระเงิน</strong></p> <p><strong> </strong> * จะชำระเมื่อทางวารสารได้ตรวจสอบความถูกต้องเบื้องต้นจากกอง บก. และติดต่อกลับในช่องทางแชทในระบบ ThaiJo <strong>ก่อนนำเสนอต่อผู้ทรงคุณวุฒิ</strong><br /> * การชำระเงิน ชำระค่าธรรมเนียมผ่านทางธนาคาร<br /> ธนาคารทหารไทยธนชาต สาขาเสริมไทยคอมเพล็กซ์ มหาสารคาม<br /> ชื่อบัญชี คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม บัญชีเลขที่ 438-7-98306-9<br /><br /><strong>หมายเหตุ</strong><br /> * กองบรรณาธิการจะไม่คืนเงินในกรณีที่บทความไม่ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ ไม่ว่ากรณีใดๆ เพราะเป็นค่าตอบแทนการพิจารณาบทความของผู้ทรงคุณวุฒิ </p> คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม th-TH วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 3027-6268 การส่งเสริมการรู้เท่าทันดิจิทัลสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นโดยใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์การส่งเสริมการรู้เท่าทันดิจิทัลสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นโดยใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JOEMSU/article/view/5771 <p>การศึกษาครั้งนี้มุ่งส่งเสริมการรู้เท่าทันดิจิทัลโดยใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ โดยผู้วิจัยดำเนินการวิจัยประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การศึกษาประสบการณ์ของครูและนักเรียนที่เกี่ยวกับการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์และการรู้เท่าทันดิจิทัล 2) การออกแบบและพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ส่งเสริมการรู้เท่าทันดิจิทัล 3) การตรวจสอบคุณภาพและการทดลองใช้ และ 4) การเผยแพร่และใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งเสริมการรู้เท่าทันดิจิทัล กลุ่มเป้าหมายคือ ครูผู้สอนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 50 คน และนักเรียนในเขตกรุงเทพมหานครระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 1,000 คน ในกระบวนการศึกษาใช้และศึกษาผลการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง และแบบสอบถามสำหรับกระบวนการพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ มีข้อคำถามเกี่ยวกับประสบการณ์ของครูและนักเรียนต่อการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์และสถานการณ์เกี่ยวกับการรู้เท่าทันดิจิทัล และแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง และแบบสอบถามสำหรับสำหรับการศึกษาผลการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ในสวนของการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา ข้อมูลเชิงปริมาณใช้การวิเคราะห์ด้วยสถิติบรรยาย</p> <p>ผลการวิจัย คือ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งเสริมการรู้เท่าทันดิจิทัล ที่สามารถใช้ได้ทั้งรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ จำนวน 5 เรื่อง ซึ่งออกแบบเนื้อหาที่สอดคล้องกับการรู้เท่าทันดิจิทัล 3 ด้าน คือ การรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) การรู้เท่าทันสารสนเทศ (Information Literacy) และการรู้เท่าทันดิจิทัล (Digital Literacy) มีลักษณะการนำเสนอแบบการ์ตูน โดยร้อยเรียงเรื่องราวที่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับนักเรียนบ่อยครั้ง และยังคงเป็นสถานการณ์ที่ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งออกแบบให้สอดคล้องกับความสนใจจากการวิเคราะห์ประสบการณ์ของนักเรียน นักเรียนมีความคิดเห็นหลังจากศึกษาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ผลการใช้หนังสือ พบว่า หนังสือสามารถช่วยสร้างความตระหนักรู้ในการเลือกสารสนเทศที่น่าเชื่อถือได้ในระดับมากที่สุด (Mean = 4.78, SD = .49) รองลงมาคือ เกิดความสามารถในการจำแนกแยกแยะข้อมูลก่อนการเผยแพร่อยู่ในระดับมากที่สุด (Mean = 4.64, SD = .51) สามารถรู้แนวทางป้องกันการเป็นสื่อจากโลกดิจิทัลได้ในระดับมากที่สุด (Mean = 4.59, SD = .36) และตระหนักถึงการนำเสนอข้อมูลที่เหมาะสมบนโลกดิจิทัลได้ในระดับมากที่สุด (Mean = 4.54, SD = .46)</p> อัญชลี ศรีกลชาญ พิมพ์ตะวัน จันทัน รัฐอัครธีร์ อัครธีรฐิติภูมิ สุรีย์พร นิพิฐวิทยา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-29 2025-09-29 19 3 1 21 ประสิทธิภาพการจ่ายเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JOEMSU/article/view/5769 <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการจ่ายเงินผ่านระบบอิเลคทรอนิกส์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ศึกษาปัญหาเกี่ยวกับประสิทธิภาพการจ่ายเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์และเปรียบเทียบความคิดเห็นเกี่ยวกับประสิทธิภาพการจ่ายเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ของผู้ปฏิบัติงานด้านบัญชีและการเงินของมหาวิทยาลัยมหาสารคามที่มี อายุ ระยะเวลาในการปฏิบัติงาน รายได้ต่อเดือน และระดับการศึกษาแตกต่างกัน โดยเก็บข้อมูลจากบุคลากรผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินผ่านระบบอิเลคทรอนิกส์ของมหาวิทยาลัยมหาสารคามจำนวน 118 คน โดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบเป็นชั้น เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (one-way ANOVA)</p> <p>ผลการศึกษาพบว่าผู้ปฏิบัติงานด้านบัญชีและการเงินของมหาวิทยาลัยมหาสารคามมีความคิดเห็นเกี่ยวกับประสิทธิภาพการจ่ายเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ มหาวิทยาลัยมหาสารคามโดยรวม อยู่ในระดับมาก ผู้ปฏิบัติงานด้านบัญชีและการเงินของมหาวิทยาลัยมหาสารคามที่มีอายุ ระดับการศึกษา ระยะเวลาในการทำงาน รายได้ต่อเดือนแตกต่างกัน มีความคิดความคิดเห็นเกี่ยวกับการจ่ายเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ มหาวิทยาลัยมหาสารคามโดยรวม ด้านความถูกต้องแม่นยำ ด้านความรวดเร็ว และด้านความโปร่งใส ไม่แตกต่างกัน บุคลากรที่มีรายได้ต่อเดือนแตกต่างกัน มีความคิดความคิดเห็นเกี่ยวกับการจ่ายเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ด้านความประหยัดค่าใช้จ่ายแตกต่างกัน </p> สุนันทา เอื้อศิริตระกูล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-29 2025-09-29 19 3 22 36 การพัฒนาความสามารถในการให้เหตุผลเชิงวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และ 5 ที่เรียนด้วยหน่วยการเรียนรู้สำหรับนักเรียนคละชั้น โดยการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JOEMSU/article/view/5750 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาความสามารถในการให้เหตุผลเชิงวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และ 5 จำนวน 9 คน โรงเรียนทางฝัน จังหวัดสุรินทร์ ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 โดยใช้หน่วยการเรียนรู้สำหรับนักเรียนคละชั้น และการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม (STS) กำหนดเกณฑ์ว่านักเรียนร้อยละ 70 ต้องผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็มสำหรับทั้งสองด้าน</p> <p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ 3 วงจร เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย 1) เครื่องมือปฏิบัติการ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ 2) เครื่องมือสะท้อนผล ได้แก่ แบบบันทึกผลการจัดการเรียนรู้, แบบสังเกตพฤติกรรม, แบบสัมภาษณ์นักเรียน, แบบวัดความสามารถในการให้เหตุผลเชิงวิทยาศาสตร์ท้ายวงจร และแบบวัดจิตวิทยาศาสตร์ท้ายวงจร 3) เครื่องมือประเมินผล ได้แก่ แบบวัดความสามารถในการให้เหตุผลเชิงวิทยาศาสตร์ (24 ข้อ) และแบบวัดจิตวิทยาศาสตร์ (20 ข้อ) วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และร้อยละ ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพวิเคราะห์โดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า:<br /><span style="font-size: 0.875rem;">1.ความสามารถในการให้เหตุผลเชิงวิทยาศาสตร์ นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 74.53 โดยมีนักเรียนจำนวน 7 คน (ร้อยละ 77.78) ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ องค์ประกอบที่มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุดคือ การให้เหตุผลแบบอธิบาย คิดเป็นร้อยละ 83.33<br /></span><span style="font-size: 0.875rem;">2. จิตวิทยาศาสตร์ นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 77.40 โดยมีนักเรียนจำนวน 8 คน (ร้อยละ 88.89) ผ่านเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ องค์ประกอบที่มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุดคือ คุณค่าของวิทยาศาสตร์ คิดเป็นร้อยละ 88.14</span></p> กฤตภาส ยิ่งกล้า ปริณ ทนันชัยบุตร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-29 2025-09-29 19 3 37 55 การพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การบวก การลบ เศษส่วนและจำนวนคละของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคเกมกลุ่มแข่งขันร่วมกับแอปพลิเคชัน QUIZIZZ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JOEMSU/article/view/6364 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคเกมกลุ่มแข่งขันร่วมกับแอปพลิเคชัน Quizizz เรื่อง การบวก การลบ เศษส่วนและจำนวนคละ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อศึกษาความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง การบวก การลบ เศษส่วนและจำนวนคละของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคเกมกลุ่มแข่งขันร่วมกับแอปพลิเคชัน Quizizz 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การบวก การลบ เศษส่วนและจำนวนคละของนักเรียนระหว่างก่อนและหลังเรียน โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคเกมกลุ่มแข่งขันร่วมกับแอปพลิเคชัน Quizizz กลุ่มเป้าหมายคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 16 คน ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนวัดนทีมุขาราม โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคเกมกลุ่มแข่งขันร่วมกับแอปพลิเคชัน Quizizz จำนวน 4 ชั่วโมง 2) แบบประเมินความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การหาค่าทีแบบกลุ่มเดียว ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบเทคนิคเกมกลุ่มแข่งขันร่วมกับแอปพลิเคชัน Quizizz มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 81.41/80.25 เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด 2) ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เฉลี่ยอยู่ในระดับดี (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation" />= 2.51, S.D.= 0.51) และ 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน มีร้อยละความก้าวหน้า 20.90</p> ศิริลักษณ์ จันทร์คง ปารณีย์ ชั่งกฤษ พิชามญชุ์ สุรียพรรณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-29 2025-09-29 19 3 56 71 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้กระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาร่วมกับบาร์โมเดล ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JOEMSU/article/view/6366 <p> การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 กับเกณฑ์ร้อยละ 75 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้การแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ โดยใช้กระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาร่วมกับบาร์โมเดล ซึ่งเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นให้นักเรียนปฏิบัติตามขั้นตอนของโพลยา ได้แก่ 1) การทำความเข้าใจปัญหา 2) การวางแผนการแก้ปัญหา 3) การดำเนินการตามแผน และ 4) การตรวจสอบผล โดยใช้ บาร์โมเดลเป็นเครื่องมือช่วยในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของข้อมูลในโจทย์ ทำให้สามารถมองเห็นภาพรวมของปัญหาและแก้ปัญหาได้อย่างเป็นระบบ ตัวอย่างในการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านดงแดงหนองเพียขันธ์ จำนวน 15 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 ซึ่งได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้การแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ โดยใช้กระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาร่วมกับบาร์โมเดล จำนวน 12 แผน 2) แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ จำนวน 30 ข้อ เป็นแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก 3) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนโดยใช้กระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาร่วมกับบาร์โมเดล แบบมาตราส่วนประมาณค่า 3 ระดับ จำนวน 12 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติทดสอบแบบไม่อิงพารามิเตอร์ ชนิดการทดสอบอันดับของวิลคอกซัน</p> <p> ผลการวิจัยปรากฏดังนี้ 1) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมโดยใช้กระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาร่วมกับบาร์โมเดล มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 2) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมโดยใช้กระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาร่วมกับบาร์โมเดล มีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมาก</p> ขวัญฤทัย บุญตน สุมาลี ชูกำแพง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-29 2025-09-29 19 3 72 87 การบริหารแหล่งเรียนรู้ที่ส่งผลต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบุรี https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JOEMSU/article/view/6398 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ระดับการบริหารแหล่งเรียนรู้ที่ส่งผลต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูในสถานศึกษา 2) ระดับการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูในสถานศึกษา 3) การบริหารแหล่งเรียนรู้ที่ส่งผลต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบุรี กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหาร ครูในโรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดเพชรบุรี จำนวน 278 คน ได้มาจากการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.943 สถิติที่ใช้ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัย พบว่า 1) การบริหารแหล่งเรียนรู้ที่ส่งผลต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูในสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) การจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู โดยรวมอยู่ในระดับมาก 3) การบริหารแหล่งเรียนรู้ที่ส่งผลต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู มีค่าสัมประสิทธิ์ถดถอย (R) = 0.599 มีประสิทธิภาพในการทำนาย ร้อยละ 35.90 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 นำมาเขียนเป็นสมการถดถอยได้ดังนี้ <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\widehat{Y}" alt="equation" /><sub>tot</sub> = 2.190 + 0.212(x<sub>1</sub>) + 0.180(x<sub>2</sub>) + 0.116(x<sub>4</sub>)</p> จิตสุโข รวยรุ่ง จุฬาพร ศรีรังสรรค์ อภิชาติ เลนะนันท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-29 2025-09-29 19 3 88 106 การศึกษาเพื่อพัฒนานโยบายและมาตรการป้องกันการรังแกผ่านพื้นที่ไซเบอร์ต่อสตรี เด็ก และเยาวชน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JOEMSU/article/view/6546 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษารูปแบบ สาเหตุ และพฤติกรรมการรังแกผ่านพื้นที่ไซเบอร์ของสตรี เด็ก และเยาวชน รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นในมิติด้านกฎหมาย เศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี และ 2) เพื่อจัดทำมาตรการป้องกันการรังแกคุกคามผ่านพื้นที่ไซเบอร์ อันจะนำไปสู่การส่งเสริมการใช้สื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างสร้างสรรค์และปลอดภัย การวิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน โดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ครอบครัว สถานศึกษา ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา หน่วยงานภาครัฐและภาคประชาสังคม จำนวนไม่น้อยกว่า 40 ราย และการสำรวจด้วยแบบสอบถามเชิงปริมาณจากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศจำนวนไม่น้อยกว่า 1,600 คน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า การรังแกผ่านพื้นที่ไซเบอร์มีลักษณะของการใช้อำนาจกดทับ เช่น การโพสต์ข้อความ รูปภาพ หรือคลิปวิดีโอในเชิงดูหมิ่น ด่าทอ หรือทำลายความมั่นใจของผู้ถูกกระทำ ส่งผลให้เหยื่อเกิดผลกระทบทั้งด้านจิตใจและสังคม โดยวิธีรับมือส่วนใหญ่มักเลือกที่จะนิ่งเฉยหรือไม่โต้ตอบ ซึ่งอาจทำให้กลายเป็นเป้าถูกกระทำซ้ำ ข้อเสนอแนะจากการศึกษาชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการจัดทำมาตรการเฝ้าระวังเชิงระบบ ควบคู่กับการสร้างเสริมทักษะความฉลาดด้านดิจิทัลให้กับสตรี เด็ก และเยาวชน เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตในโลกออนไลน์อย่างปลอดภัยและมีคุณภาพ</p> ณัฐพล ประดิษฐผลเลิศ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-29 2025-09-29 19 3 107 133 การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับเทคนิคการสอนแบบสาธิตที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้งานช่างไฟฟ้าในบ้าน รายวิชาการงานอาชีพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JOEMSU/article/view/6628 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับเทคนิคการสอนแบบสาธิต หน่วยการเรียนรู้งานช่างไฟฟ้าในบ้าน รายวิชาการงานอาชีพ และ 2) ศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับเทคนิคการสอนแบบสาธิต หน่วยการเรียนรู้งานช่างไฟฟ้าในบ้าน รายวิชาการงานอาชีพ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 26 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับเทคนิคการสอนแบบสาธิต แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับเทคนิคการสอนแบบสาธิต หน่วยการเรียนรู้งานช่างไฟฟ้าในบ้าน รายวิชาการงานอาชีพ สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 และ 2) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านร่วมกับเทคนิคการสอนแบบสาธิต หน่วยการเรียนรู้งานช่างไฟฟ้าในบ้าน รายวิชาการงานอาชีพ อยู่ในระดับมากที่สุด</p> อนิรุจน์ มะโนธรรม ศิริมา เอมวงษ์ ธนวรกฤต โอฬารธนพร มัตติกา บุญมา รุ่งเรือง ฌานชีวิน สันติ วงศ์ใหญ่ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-29 2025-09-29 19 3 134 147 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูง รายวิชา คณิตศาสตร์เพิ่มเติม 4 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนแก้งคร้อวิทยา https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JOEMSU/article/view/6700 <p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน 2) พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ 3) เปรียบเทียบทักษะการคิดขั้นสูง 4) ศึกษาผลประเมินการใช้ แหล่งข้อมูลและกลุ่มตัวอย่าง คือ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ครูผู้สอน 5 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนแก้งคร้อวิทยา ปีการศึกษา 2567 จำนวน 36 คน และผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม แบบสัมภาษณ์ แบบประเมินทักษะการคิดขั้นสูง แบบบันทึกการประชุมแบบมีส่วนร่วม แบบประเมินร่างรูปแบบการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 10 แผน มีความเหมาะสมระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation" />=4.68, S.D = 0.47) แบบสอบถามวัดความพึงพอใจต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.80 การวิเคราะห์ข้อมูล ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และร้อยละ การทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ การทดสอบที (t-test) แบบ Dependent Samples</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. จากการศึกษางานวิจัย สนทนากลุ่ม และสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่า การพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูงอย่างมีประสิทธิภาพควรบูรณาการการเรียนรู้แบบเปิด การเรียนรู้แบบร่วมมือ และการสะท้อนคิด ผ่านกิจกรรมที่เชื่อมโยงสถานการณ์จริง เน้นการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ทั้งนี้ ผลการประเมินตนเองของนักเรียนพบว่าระดับทักษะการคิดขั้นสูงอยู่ในระดับน้อย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\overline{X}" alt="equation" />= 2.10, S.D.= 0.49)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. รูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูง รายวิชา คณิตศาสตร์เพิ่มเติม 4 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มี 6 องค์ประกอบ คือ 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) กระบวนการเรียนรู้ แบบ CIPPAR 4) บทบาทของผู้สอนและนักเรียน 5) ระบบสนับสนุน 6) หลักการตอบสนอง มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. นักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบที่พัฒนาขึ้นมีทักษะการคิดขั้นสูงหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">4. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาพรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด</span></p> นางวิยะดา ธีร์รัตน์คุณากร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-29 2025-09-29 19 3 148 165 การพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับนิทาน ในรายวิชาวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JOEMSU/article/view/6707 <p>การวิจัยครั้งนี้มี<a name="_Toc175490417"></a>วัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับนิทาน ในรายวิชาวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75<a name="_Toc175490418"></a> 2) เปรียบเทียบการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับนิทาน กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1/2 โรงเรียนหลักเมืองมหาสารคาม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 30 คน ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับนิทาน จำนวน 7 แผน 14 ชั่วโมง มีคะแนนความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่ 4.45 ถึง 4.56 2) แบบวัดการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 15 ข้อ ค่าความยากอยู่ระหว่าง 0.39 ถึง 0.75 ค่าอำนาจจำแนกรายข้ออยู่ระหว่าง 0.23 ถึง 0.32 ค่าความเชื่อมั่นของแบบวัดการคิดวิเคราะห์ทั้งฉบับโดยใช้สูตร KR-20 ของคูเดอร์ – ริชาร์ดสัน <strong>(</strong>Kuder - Richardson Method) มีค่าเท่ากับ 0.87 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติทีแบบกลุ่มไม่อิสระ (Dependent samples t-test)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับนิทาน ในรายวิชาวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 77.27/78.44 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ 75/75 2) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับนิทาน มีการคิดวิเคราะห์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> อรสา อันทะรินทร์ จิตรา ชนะกุล กิตติศักดิ์ เกตุนุติ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-29 2025-09-29 19 3 166 180