วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการศึกษา https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JISSE <p><strong>"วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการศึกษา" </strong>เป็นวารสารสำหรับการเผยแพร่ผลงานวิชาการและผลงานวิจัยทางสังคมศาสตร์ของคณาจารย์ นักวิชาการ นิสิต นักศึกษาและผู้สนใจทั่วไป โดยแขนงวิชาที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นผลงานในเชิงบูรณาการด้านสหวิทยาการ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมวิทยา การพัฒนาชุมชน การพัฒนาสังคม นิติศาสตร์ การจัดการ บริหารธุรกิจ การศึกษา การบริหารการศึกษา และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องทางสังคมศาสตร์<br /><strong>กำหนดการตีพิมพ์เผยแพร่ </strong>ปีละ 6 ฉบับคือ</p> <ul> <li>ฉบับที่ 1 มกราคม - กุมภาพันธ์</li> <li>ฉบับที่ 2 มีนาคม - เมษายน</li> <li>ฉบับที่ 3 พฤษภาคม - มิถุนายน</li> <li>ฉบับที่ 4 กรกฎาคม - สิงหาคม</li> <li>ฉบับที่ 5 กันยายน - ตุลาคม</li> <li>ฉบับที่ 6 พฤศจิกายน – ธันวาคม</li> </ul> สมาคมนักวิชาการไทย (Thai Academic Association) th-TH วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการศึกษา 3057-1243 <p>บทความนี้ได้รับการเผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0) ซึ่งอนุญาตให้ผู้อื่นสามารถแชร์บทความได้โดยให้เครดิตผู้เขียนและห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าหรือดัดแปลง หากต้องการใช้งานซ้ำในลักษณะอื่น ๆ หรือการเผยแพร่ซ้ำ จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากวารสาร</p> ภาพลักษณ์ของครูในนวนิยายเรื่อง “ครูบ้านนอก” ของ คำหมาน คนไค https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JISSE/article/view/6025 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาพลักษณ์ความเป็นครูที่ปรากฏในนวนิยายเรื่อง ครูบ้านนอก ของคำหมาน คนไค โดยวิธีการดำเนินการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เลือกกลุ่มเป้าหมายแบบเจาะจงจากการศึกษาตัวบทเอกสารสื่อสิ่งพิมพ์ ได้แก่ หนังสือนวนิยายเรื่องครูบ้านนอก ของคำหมาน คนไค จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์มิ่งมิตร พุทธศักราช 2553 มาเป็นข้อมูล นำเสนอผลการวิจัยด้วยการพรรณนาวิเคราะห์</p> <p> ผลการการวิจัย พบว่า ภาพลักษณ์ครูที่ปรากฏในนวนิยายเรื่อง ครูบ้านนอก ของคำหมาน คนไค แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ภาพลักษณ์เชิงบวกและภาพลักษณ์เชิงลบ โดยภาพลักษณ์เชิงบวก พบ 4 ภาพลักษณ์ คือ 1. ครูผู้ปฏิบัติหน้าที่และความรับผิดชอบ 2. ครูผู้อุทิศตนเพื่อสังคม 3. ครูผู้ยึดมั่นในอุดมการณ์ความเป็นครู และ 4. ครูผู้มีเมตตา และภาพลักษณ์เชิงลบ พบ 4 ภาพลักษณ์ คือ 1. ครูผู้ขาดความรับผิดชอบต่อหน้าที่ 2. ครูผู้ใช้อำนาจโดยมิชอบ 3. ครูผู้ขาดศีลธรรมจริยธรรม 4. ครูผู้ขาดจิตวิญญาณความเป็นครู การศึกษาภาพลักษณ์ของครูในนวนิยายเรื่อง ครูบ้านนอก ทำให้ทราบมุมมองของนักเขียนที่มีต่อภาพลักษณ์ของครู ส่วนใหญ่ภาพลักษณ์ที่ปรากฏเป็นภาพลักษณ์เชิงลบ เพื่อสะท้อนปัญหาของครูในสังคมชนบท</p> ชาญยุทธ สอนจันทร์ ปริญญา บุญแตง สุดารัตน์ อินทร์โท่โล่ ปิยฉัตร สุดสาคร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-08 2025-12-08 1 6 1 14 ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากับประสิทธิภาพ การวางแผนภาษีของผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารในจังหวัดมหาสารคาม https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JISSE/article/view/6044 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารในจังหวัดมหาสารคาม 2) เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับประสิทธิภาพการวางแผนภาษีของผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารในจังหวัดมหาสารคาม และ 3) เพื่อทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากับประสิทธิภาพการวางแผนภาษีของผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารในจังหวัดมหาสารคาม การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารในจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งไม่ทราบขนาดของประชากรที่แน่นอน โดยผู้วิจัย ได้ กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างด้วยสูตรของ Cochran (1953) ที่ระดับความเชื่อมั่นที่ร้อยละ 95 และยอมรับให้เกิดความคลาดเคลื่อนได้ร้อยละ 5 จะได้กลุ่มตัวอย่างที่ควรใช้ในการวิจัยอย่างน้อย 246 ราย มีการตอบกลับมาจำนวน 261 ราย ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอยู่ในระดับดี โดยมีค่าเฉลี่ยสูงสุดด้านการคำนวณภาษี และด้านการยื่นภาษี การเสียภาษีและการขอคืนภาษี อยู่ในระดับดีมาก 2) ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับประสิทธิภาพการวางแผนภาษีของผู้ประกอบการโดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยสูงสุดในด้านการปลอดจากภาระภาษีที่อาจเกิดขึ้น และ 3) ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ด้านการจำแนกประเภทของเงินได้ ด้านการหักลดหย่อน และด้านการหักค่าใช้จ่าย มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับประสิทธิภาพการวางแผนภาษีโดยรวม องค์ความรู้ที่ได้รับจากงานวิจัยนี้ ช่วยให้ผู้ประกอบการตระหนักถึงความสำคัญของการมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการวางแผนภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดภาระทางภาษีที่ไม่จำเป็น และลดความเสี่ยงจากการถูกตรวจสอบย้อนหลังได้</p> พิมรพัฒน์ เพ็งพล ยุวธิดา จั้นเขว้า ภัทราภรณ์ ศรีบุญเรือง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-08 2025-12-08 1 6 15 30 การบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อส่งเสริมความปลอดภัยในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JISSE/article/view/6580 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและเสนอแนะแนวทางการบริหารแบบมีส่วนร่วมต่อความปลอดภัยในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2การวิจัยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ได้ศึกษาแนวคิดการบริหารแบบมีส่วนร่วมกลุ่มตัวอย่าง คือครูจำนวน 15 คน นักเรียนจำนวน 15 คน ผู้บริหารสถานศึกษาที่จำนวน 10 คน และผู้ปกครองจำนวน 10 คน รวมทั้งหมด 50 คน โดยใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เพื่อให้ได้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและประสบการณ์ตรงในด้านความปลอดภัยในสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์เชิงลึกและแบบสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) จำนวน 2 ชนิด นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ด้วยวิธีวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพการบริหารแบบมีส่วนร่วมที่ใช้ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 โรงเรียนมากกว่าร้อยละ 80 ได้นำการบริหารแบบมีส่วนร่วมมาใช้ผ่านการจัดตั้งคณะกรรมการความปลอดภัยที่ประกอบด้วยผู้บริหาร ครู นักเรียน และผู้ปกครอง รวมถึงการจัดเวทีประชุมและกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายแสดงความคิดเห็นและร่วมวางแผนมาตรการความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อความปลอดภัยในสถานศึกษาอย่างชัดเจน โดยโรงเรียนได้ริเริ่มจัดการความปลอดภัยผ่านการจัดตั้งคณะกรรมการความปลอดภัย พร้อมกับการสื่อสารข้อมูลและรายงานเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยผ่านช่องทางที่หลากหลายอย่างเป็นระบบผลจากการบริหารแบบมีส่วนร่วมนี้ทำให้เกิดการเพิ่มความตระหนักรู้และความรับผิดชอบร่วมกันในเรื่องความปลอดภัยของทุกฝ่ายในโรงเรียนอย่างเห็นได้ชัด และ2) แนวทางการบริหารแบบมีส่วนร่วมต่อความปลอดภัยในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 ในการสร้างสถานศึกษาที่ปลอดภัยอย่างยั่งยืนนั้น จำเป็นต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะ 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ ผู้บริหาร ครู นักเรียน และผู้ปกครอง ซึ่งแต่ละกลุ่มมีบทบาทและความสำคัญที่แตกต่างกัน แต่ล้วนเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนให้เกิดผลสำเร็จการสร้างกลไกที่ส่งเสริมการสื่อสาร การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และการตัดสินใจร่วมกัน จะนำไปสู่สถานศึกษาที่ปลอดภัย</p> นิษฐ์ฐา พีระชัยภาวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-08 2025-12-08 1 6 31 44 ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการบริหารงานแนะแนวโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดกลางของโรงเรียนในสหวิทยาเขตพระนอนจักรสีห์ ตามแนวคิดการตั้งเป้าหมาย https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JISSE/article/view/6812 <p style="font-weight: 400;">การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงบรรยาย (Descriptive Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการบริหารงานแนะแนวตามแนวคิดการตั้งเป้าหมายของโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดกลาง ในสหวิทยาเขตพระนอนจักรสีห์ ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 14 คน ข้าราชการครู/บุคลากรทางการศึกษาจำนวน 56 คน ในโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดกลาง ในสหวิทยาเขตพระนอนจักรสีห์ รวมทั้งสิ้น 70 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล&nbsp; ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีความต้องการจำเป็น (PNI<sub> modified</sub>) &nbsp;</p> <p style="font-weight: 400;">ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันของการพัฒนาการบริหารงานแนะแนวตามแนวคิดการตั้งเป้าหมายในภาพรวมอยู่ในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์ของการพัฒนาการบริหารงานแนะแนวตามแนวคิดการตั้งเป้าหมายในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการบริหารงานแนะแนวตามแนวคิดการตั้งเป้าหมายในภาพรวม พบว่า ด้านที่มีความต้องการจำเป็นในการพัฒนาที่สูงสุด คือ ด้านข้อมูล (PNI <sub>modified </sub>= 0.262)รองลงมา ด้านการให้คำปรึกษา (PNI <sub>modified </sub>= 0.252) ด้านการติดตามและประเมินผล (PNI <sub>modified </sub>= 0.232) ด้านสารสนเทศ (PNI <sub>modified </sub>= 0.201) และด้านการจัดวางตัวบุคคล &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;(PNI <sub>modified </sub>= 0.190) ตามลำดับ</p> <p style="font-weight: 400;">การวิจัยครั้งนี้นำไปสู่การสังเคราะห์องค์ความรู้ใหม่เกี่ยวกับการพัฒนาการบริหารงานแนะแนวตามแนวคิดการตั้งเป้าหมายในบริบทของโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดกลาง ซึ่งชี้ให้เห็นว่า การแนะแนวเชิงเป้าหมายไม่อาจจำกัดอยู่เพียงในรูปแบบของการให้คำแนะนำแบบรายบุคคล แต่ต้องอาศัย ระบบบริหารจัดการข้อมูล การวางเป้าหมาย การติดตามผล &nbsp;และการจัดสภาพแวดล้อมทางเลือก ที่ทำงานอย่างบูรณาการและมีเป้าหมายร่วมกันอย่างแท้จริง</p> ชัยภัสร์ เถาว์หมอ ธีรภัทร กุโลภาส ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-08 2025-12-08 1 6 45 57 แบบจำลองการบริหารทรัพยากรมนุษย์เพื่อความสำเร็จของธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JISSE/article/view/6363 <p><strong> </strong>บทความฉบับนี้มุ่งนำเสนอแบบจำลองการบริหารทรัพยากรมนุษย์เพื่อความสำเร็จของธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย ท่ามกลางบริบทของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในอุตสาหกรรมบริการ โดยเฉพาะความท้าทายที่ส่งผลต่อระบบทรัพยากรมนุษย์ทั้งในระดับกลยุทธ์และการปฏิบัติการ การศึกษานี้ใช้กระบวนการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ เพื่อรวบรวมและสังเคราะห์องค์ความรู้จากเอกสารวิชาการที่ตีพิมพ์ในช่วงปี 2566 <strong>–</strong>2568 ควบคู่กับการใช้เครื่องมือ PESTLE Analysis เพื่อจำแนกและวิเคราะห์ปัจจัยมหภาคที่มีอิทธิพลต่อการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในธุรกิจโรงแรมไทย ผลการวิเคราะห์เชิงประเด็นนำไปสู่การสกัดประเด็นท้าทายหลัก ได้แก่ อัตราการลาออกของพนักงานที่สูง การขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะเฉพาะ ความคาดหวังของแรงงานรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนแปลง ความล่าช้าในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีด้าน HR ความไม่สอดคล้องระหว่างกลยุทธ์องค์กรกับ HRM และการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในองค์กร องค์ความรู้ถูกนำมาใช้ในการพัฒนาแบบจำลองเชิง<br />กลยุทธ์ที่มีชื่อว่า F<strong>.</strong>L<strong>.</strong>A<strong>.</strong>I<strong>.</strong>R<strong>. </strong>HRM Model for Hotel Success ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 5 ด้าน ได้แก่ 1) การพัฒนาทักษะเพื่ออนาคต 2) การสร้างประสบการณ์พนักงานที่ต่อเนื่อง 3) การบริหารผลงานอย่างยืดหยุ่น 4) การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ยั่งยืนและมีส่วนร่วม และ 5) การสรรหาเชิงกลยุทธ์ แบบจำลองที่พัฒนาขึ้นนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการในการออกแบบระบบการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอกองค์กรอย่างเป็นระบบ โดยมีส่วนเติมเต็มช่องว่างองค์ความรู้ด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในบริบทธุรกิจโรงแรมไทย และสามารถใช้เป็นแนวทางเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติในการยกระดับขีดความสามารถขององค์กรในระดับสากล</p> อนิรุทธิ์ เจริญสุข ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการศึกษา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-08 2025-12-08 1 6 58 75