https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JISSE/issue/feed
วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการศึกษา
2025-06-01T09:18:31+07:00
ดร.ศิวาพัชญ์ บำรุงเศรษฐพงษ์
siwapatb@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>"วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการศึกษา" </strong>เป็นวารสารสำหรับการเผยแพร่ผลงานวิชาการและผลงานวิจัยทางสังคมศาสตร์ของคณาจารย์ นักวิชาการ นิสิต นักศึกษาและผู้สนใจทั่วไป โดยแขนงวิชาที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นผลงานในเชิงบูรณาการด้านสหวิทยาการ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมวิทยา การพัฒนาชุมชน การพัฒนาสังคม นิติศาสตร์ การจัดการ บริหารธุรกิจ การศึกษา การบริหารการศึกษา และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องทางสังคมศาสตร์<br /><strong>กำหนดการตีพิมพ์เผยแพร่ </strong>ปีละ 6 ฉบับคือ</p> <ul> <li>ฉบับที่ 1 มกราคม - กุมภาพันธ์</li> <li>ฉบับที่ 2 มีนาคม - เมษายน</li> <li>ฉบับที่ 3 พฤษภาคม - มิถุนายน</li> <li>ฉบับที่ 4 กรกฎาคม - สิงหาคม</li> <li>ฉบับที่ 5 กันยายน - ตุลาคม</li> <li>ฉบับที่ 6 พฤศจิกายน – ธันวาคม</li> </ul> <p> </p>
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JISSE/article/view/5990
การใช้ศิลปะบำบัดเพื่อการพัฒนาศักยภาพและการฟื้นฟูของคนพิการ
2025-03-14T08:34:18+07:00
ธนวิชญ์ กิชเดช
thanawitkitdet@gmail.com
นฤพันธ์ สมเจริญ
Thanawitkitdet@gmail.com
ปิ่นปินัทธ์ เหลืองพิทักษ์
Thanawitkitdet@gmail.com
สมชาย มะรินทร์
Thanawitkitdet@gmail.com
เอื้องฟ้า ตุระวิพาค
Thanawitkitdet@gmail.com
<p>จากการประเมินผลบทความวิชาการ พบว่าศิลปะบำบัด (ดนตรีบำบัด, การละครบำบัด, วาดรูปบำบัด) ที่เน้นความสร้างสรรค์และผ่อนคลาย มีศักยภาพสูงในการฟื้นฟูผู้พิการทางสติปัญญาและการเรียนรู้ ทั้งในเด็กและผู้สูงอายุ ศิลปะบำบัดช่วยให้การดูแลรักษา ผู้พิการทางสติปัญญาและการเรียนรู้ ที่อาจมีปัญหาด้านอารมณ์และพฤติกรรมง่ายขึ้น ผู้รับบริการผ่อนคลายและให้ความร่วมมือมากขึ้น ส่งผลให้การฟื้นฟูมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายได้ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง ผู้พิการทางสติปัญญาและการเรียนรู้, ครอบครัว และผู้ดูแล ซึ่งสำคัญต่อการฟื้นฟูแบบองค์รวม อย่างไรก็ตาม องค์ความรู้ศิลปะบำบัดสำหรับ ผู้พิการทางสติปัญญาและการเรียนรู้ ในไทยยังจำกัด เมื่อเทียบกับจำนวน เด็กและผู้สูงอายุพิการทางสติปัญญาและการเรียนรู้ และครอบครัวที่ต้องการความช่วยเหลือ</p> <p>ดังนั้น จึงได้ข้อสรุปประเด็นที่จะศึกษา : 1.เร่งศึกษาวิจัย เพื่อพัฒนารูปแบบศิลปะบำบัดที่เหมาะสมกับ ผู้พิการทางสติปัญญาและการเรียนรู้ ในบริบทไทย 2.จัดทำคู่มือมาตรฐาน โดยหน่วยงานภาครัฐ (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) เพื่อเป็นแนวทางในการใช้ศิลปะบำบัดกับ เด็กและผู้สูงอายุพิการทางสติปัญญาและการเรียนรู้ แต่ละประเภท 3.สร้างเครือข่าย ผู้ใช้ศิลปะบำบัด เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และพัฒนาองค์ความรู้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการฟื้นฟู ผู้พิการทางสติปัญญาและการเรียนรู้ ทั้งเด็กและผู้สูงอายุ โดยเน้นการใช้ศิลปะบำบัดเป็นเครื่องมือหลักในการพัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิต</p>
2025-06-01T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการศึกษา
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JISSE/article/view/6039
การบริหารโครงการก่อสร้างด้วยแนวคิด Lean Construction: กรณีศึกษาความสำเร็จและบทเรียนในประเทศไทย
2025-03-14T08:24:29+07:00
ปรินทร ศิริเอี้ยวพิกูล
parinthorn@hitechthai.com
<p>บทความวิชาการนี้มุ่งศึกษาการประยุกต์ใช้แนวคิด Lean Construction ในโครงการก่อสร้างของประเทศไทย โดยการทบทวนวรรณกรรมจากงานวิจัยและบทความวิชาการที่เผยแพร่ในประเทศไทยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จ อุปสรรค และบทเรียนที่ได้จากการนำแนวคิดดังกล่าวมาใช้ ผลการศึกษาพบว่าการประยุกต์ใช้ Lean Construction ในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยสามารถลดความสูญเปล่าในกระบวนการก่อสร้าง เพิ่มผลิตภาพแรงงาน และลดระยะเวลาการก่อสร้างได้อย่างมีนัยสำคัญ ปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญประกอบด้วย การสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูง การฝึกอบรมบุคลากร และการบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัล ส่วนอุปสรรคที่พบมากได้แก่ การขาดความรู้ความเข้าใจในหลักการ Lean และวัฒนธรรมการทำงานแบบดั้งเดิม บทความนี้นำเสนอกรอบแนวคิดสำหรับการประยุกต์ใช้ Lean Construction ในบริบทของประเทศไทย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อนักวิชาการและผู้ปฏิบัติงานในอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย</p>
2025-06-01T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการศึกษา
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JISSE/article/view/5944
มุมมองของผู้บริโภคที่มีต่อการโฆษณาในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว : กรณีศึกษานักศึกษาวิทยาลัยเอกชนในกรุงเทพมหานคร
2025-03-15T15:41:22+07:00
กนกวรรณ อุมาธร
70002@Wbac.ac.th
เพชรลดา ธารนพ
70002@Wbac.ac.th
ศุภกิตติ์ เศษรักษา
su.ponpond@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาพฤติกรรมของนักศึกษาที่ตอบสนองต่อโฆษณาในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว (2) ศึกษาปัจจัยด้านมุมมองของนักศึกษาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานครที่มีต่อการโฆษณาในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และ (3) ศึกษาปัจจัยด้านมุมมองที่ส่งผลต่อการรับรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมของนักศึกษาดังกล่าวที่มีต่อการโฆษณาด้านการท่องเที่ยว กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยคือ นักศึกษาที่พักอาศัยหรือศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 20 คน โดยเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) และใช้แบบสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงคุณภาพ (Content Analysis)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า (1) นักศึกษามีแนวโน้มให้ความสนใจกับโฆษณาที่มีเนื้อหาสร้างสรรค์และทันสมัย โดยเฉพาะโฆษณาที่มี Influencers เป็นตัวแทน (2) โซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram, TikTok และ YouTube เป็นช่องทางที่มีอิทธิพลมากที่สุดในการรับข้อมูลการท่องเที่ยว (3) นักศึกษามักจะตัดสินใจเลือกสถานที่ท่องเที่ยวจากโฆษณาที่มีข้อมูลที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือ เช่น รีวิวจากผู้ใช้จริงหรือข้อมูลที่โปร่งใส โฆษณาที่ไม่เกินจริงจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการตัดสินใจ</p> <p>ข้อเสนอแนะจากการวิจัยคือ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวควรปรับกลยุทธ์โฆษณาให้ตรงกับพฤติกรรมการใช้สื่อของนักศึกษา โดยเน้นการใช้โซเชียลมีเดียในการนำเสนอเนื้อหาที่สร้างสรรค์และน่าเชื่อถือ เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจเลือกใช้บริการท่องเที่ยวในกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-06-01T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการศึกษา
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JISSE/article/view/5978
การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานของ ผู้ประกอบการร้านอาหารในจังหวัดนราธิวาส
2025-03-14T08:33:14+07:00
อนันย์ แวสตาปอ
is_memee@hotmail.com
เบญจพร ธัญวงษ
is_memee@hotmail.com
อัฟซา อาแว
is_memee@hotmail.com
<p><strong> </strong>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในกระบวนการดำเนินงานของผู้ประกอบการร้านอาหารในจังหวัดนราธิวาส 2) วิเคราะห์ผลกระทบของเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานในด้านความเร็วในการให้บริการ การลดต้นทุน และคุณภาพการบริการ และ 3) ประเมินความสัมพันธ์ระหว่างระดับการใช้เทคโนโลยีกับประสิทธิภาพการดำเนินงาน การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ โดยเก็บข้อมูลจากผู้ประกอบการร้านอาหารจำนวน 370 รายที่สุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ใช้ระบบ POS (92%) และระบบสั่งอาหารออนไลน์ (68%) ซึ่งช่วยเพิ่มความเร็วในการให้บริการโดยเฉลี่ย 25% และลดข้อผิดพลาดในการสั่งซื้อได้ถึง 90% นอกจากนี้ ระบบจัดการสต็อกสามารถลดต้นทุนได้เฉลี่ย 15% ต่อเดือน การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วยการถดถอยพหุคูณพบว่า ระดับการใช้เทคโนโลยีมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (R² = 0.72) งานวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจร้านอาหาร</p> <p>องค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่าการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในธุรกิจร้านอาหารสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดต้นทุน และเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน ผู้ประกอบการร้านอาหารควรให้ความสำคัญกับการลงทุนในเทคโนโลยี รวมถึงพัฒนาทักษะบุคลากรเพื่อให้สามารถใช้งานเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด</p>
2025-06-01T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการศึกษา
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JISSE/article/view/6010
การพัฒนาทักษะการคูณด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ SCPS ร่วมกับการ์ดเกม (Card Game) ของผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านจันทัย
2025-03-11T14:09:47+07:00
จิรัฐิติพร จำนงค์
cherkungsci@gmail.com
พีรกฤต เครือลุนทีระยุทธ
krunawattakorn@gmail.com
อัมรินทร์ จาระงับ
cherkungsci@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะการคูณด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ SCPS ร่วมกับการ์ดเกม (Card Game) ของผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านจันทัย โดยมีคะแนนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านจันทัย อำเภอศรีเมืองใหม่จังหวัดอุบลราชธานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 3 จำนวน 14 คน ที่ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช่ในการวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้แบบ SCPS ร่วมกับการ์ดเกม (Card Game) และแบบวัดทักษะการคูณ สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบค่าทีแบบกลุ่มสัมพันธ์ (Paired Sample t-test) ผลการวิจัยพบว่า ผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านจันทัย มีคะแนนทักษะการคูณก่อนเรียนเฉลี่ยเท่ากับ 13.29 จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 66.43 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.96 และคะแนนทักษะการคูณหลังเรียนเฉลี่ยเท่ากับ 16.57 จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 82.86 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.08 แสดงว่า ผู้เรียนมีคะแนนทักษะการคูณหลังเรียนสูงกว่าคะแนนทักษะการคูณก่อนเรียน และผู้เรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบ SCPS ร่วมกับการ์ดเกม (Card Game) มีทักษะการคูณสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2025-06-01T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการสังคมศาสตร์และการศึกษา