https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JDES/issue/feed วารสารพัฒนศึกษาศาสตร์ 2025-10-01T21:00:19+07:00 Open Journal Systems <p><strong>วารสารพัฒนศึกษาศาสตร์ <br />(Journal of Development and Education Science)<br /><br />ISSN: 3057-1995 (Online)</strong><br /><br /><strong>วารสารพัฒนศึกษาศาสตร์</strong> ดำเนินการโดยหน่วยงานเอกชน คือ สถาบันพัฒนาวิชาการปัญญาภา เริ่มต้นดำเนินการในเดือนมกราคม 2568 เป็นวารสารสาขาสังคมศาสตร์ (Social Sciences) ที่เน้นรับบทความด้านการพัฒนาสังคม รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ การศึกษา ภาษาศาสตร์ ไทยคดีศึกษา ศาสนาปรัชญา ศิลปวัฒนธรรม และสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์<br /><br /></p> <p><strong>วัตถุประสงค์<br /></strong>วารสารพัฒนศึกษาศาสตร์มีวัตถุประสงค์เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานวิชาการของคณาจารย์ นักศึกษาระดับปริญญาตรีและบัณฑิตศึกษา นักวิจัย และผู้สนใจทั่วไปที่เกิดขึ้นจากกระบวนการวิจัย การศึกษาค้นคว้าเรียบเรียงอย่างเป็นระบบในรูปแบบบทความวิจัย บทความวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือ<strong><br /></strong></p> <p><strong>ขอบเขต</strong><br />วารสารพัฒนศึกษาศาสตร์เป็นวารสารสาขาสังคมศาสตร์ (Social Sciences) ที่เน้นรับบทความด้านต่าง ๆ ดังนี้<br />1.การพัฒนาสังคม <br />2.รัฐศาสตร์ <br />3.รัฐประศาสนศาสตร์ <br />4.การศึกษา <br />5.ภาษาศาสตร์ ไทยคดีศึกษา และ คติชนวิทยา<br />6.ศาสนาปรัชญา <br />7.ศิลปวัฒนธรรม และ<br />8.สหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</p> <p><strong>ประเภทของบทความที่รับตีพิมพ์<br /></strong>1.บทความวิจัย (Research article)<br />2.บทความวิชาการ (Academic article)<br />3.บทวิจารณ์หนังสือ (Book review)</p> <p><strong>กำหนดตีพิมพ์เผยแพร่:</strong> ปีละ 3 ฉบับ ได้แก่<br />ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม-เมษายน<br />ฉบับที่ 2 เดือน พฤษภาคม-สิงหาคม<br />ฉบับที่ 3 เดือน กันยายน-ธันวาคม</p> <p><strong>ภาษาที่รับตีพิมพ์:</strong> ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ </p> <p><strong>กระบวนการพิจารณาบทความ:</strong> ทุกบทความที่ส่งเข้ารับการพิจารณาตีพิมพ์จะได้รับการตรวจสอบความถูกต้องและประเมินคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Reviewer) อย่างน้อย 2 คน (หรือ 3 คนตามบริบทเป้าหมายการส่งบทความของผู้นิพนธ์บทความ) โดยปกปิดข้อมูลของทั้งสองฝ่าย (Double Blinded) </p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมตีพิมพ์บทความ: </strong>วารสารยังไม่มีนโยบายเก็บค่าธรรมเนียมตีพิมพ์บทความ</p> https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JDES/article/view/6230 การพัฒนาแบบฝึกทักษะ เรื่องการเคารพสิทธิและเสรีภาพของตนเองและผู้อื่น รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/7 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ อุบลราชธานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุบลราชธานี อำนาจเจริญ 2025-05-04T08:45:09+07:00 วริศรา จันทร์พวง std.64121100126@ubru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะเรื่องการเคารพสิทธิและเสรีภาพของตนเองและผู้อื่นวิชาหน้าที่พลเมือง และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะ เรื่องการเคารพสิทธิและเสรีภาพของตนเองและผู้อื่น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/7 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ จำนวน 39 คน ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่เลือกแบบเจาะจง เครื่องมือในการเก็บข้อมูลคือ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนคิดเป็นคะแนนเฉลี่ย 8.66 และมีผลคะแนนหลังเรียนคิด 17.15 มีคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยเท่ากับ 17.16 – 8.66 = 8.49 โดยมีค่าร้อยละพัฒนาการคิดเป็นร้อยละ เท่ากับ 77.10 2) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการทำแบบทดสอบ นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2025-08-21T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพัฒนศึกษาศาสตร์ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JDES/article/view/6231 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องพุทธประวัติ ด้วยการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดกาเย่ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเมืองอุบล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานีเขต 1 2025-05-04T09:23:45+07:00 ศราวุฒิ สุขสบาย std.64121100110@ubru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องพุทธประวัติ ด้วยการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดกาเย่ 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องพุทธประวัติ ด้วยการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดกาเย่ ตัวอย่างที่ใช้ทดลองในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเมืองอุบล&nbsp; โดยการสุ่มแบบเจาะจง จำนวน 9 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1. แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องพุทธประวัติ 2. แบบทดสอบเรื่องพุทธประวัติ จำนวน 10 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ &nbsp;ผลการวิจัยพบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์จากการทำแบบทดสอบเรื่องพุทธประวัติ ก่อนเรียนและหลังเรียน เมื่อได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดกาเย่ พบว่า&nbsp; นักเรียนมีค่าเฉลี่ยของคะแนนสูงขึ้น มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน เท่ากับ 4.77 คิดเป็นร้อยละ 47.77 และมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน เท่ากับ 8.22คิดเป็นร้อยละ 82.22&nbsp; แสดงให้เห็นว่า นักเรียนมีคะแนนการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และผ่านเกณฑ์มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ผลเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ได้ทำแบบทดสอบ เรื่องพุทธประวัติ ก่อนเรียนและหลังเรียน เมื่อได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดกาเย่ พบว่า นักเรียนมีค่าเฉลี่ยของคะแนนสูงขึ้น มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน เท่ากับ 4.77 คิดเป็นร้อยละ 47.77 และมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน เท่ากับ 8.22 คิดเป็นร้อยละ 82.22 แสดงให้เห็นว่า นักเรียนมีคะแนนการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และผ่านเกณฑ์มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 70</p> 2025-08-21T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพัฒนศึกษาศาสตร์ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JDES/article/view/7078 ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการทำบุญตามหลักบุญกิริยาวัตถุกับความสุขของผู้สูงอายุในเขตอำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี 2025-08-04T18:59:48+07:00 ณัฏฐา เจียวเลี่ยน nchiewlian@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมการทำบุญตามหลักบุญกิริยาวัตถุ ได้แก่ ทาน ศีล และภาวนา และความสุขของผู้สูงอายุในเขตอำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี 2) เปรียบเทียบความสุขของผู้สูงอายุ จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการทำบุญตามหลักบุญกิริยาวัตถุ กับความสุขของผู้สูงอายุในเขตอำเภอท่ายาง 4) ศึกษาแนวทางการส่งเสริมการทำบุญตามหลักบุญกิริยาวัตถุเพื่อสร้างความสุข โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณคือผู้สูงอายุจำนวน 370 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา การเปรียบเทียบ และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ส่วนกลุ่มตัวอย่างเชิงคุณภาพผู้ให้ข้อมูลสำคัญคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจงจำนวน 10 รูป/คน ผลการวิจัยพบว่า ผู้สูงอายุในพื้นที่ศึกษามีพฤติกรรมการทำบุญตามหลักบุญกิริยาวัตถุในระดับมาก โดยเฉพาะด้านศีล รองลงมาคือ ทานและภาวนา ตามลำดับ ระดับความสุขของผู้สูงอายุในพื้นที่ศึกษาอยู่ในระดับมาก โดยมีความสุขกายมีค่าเฉลี่ยสูงสุด ปัจจัยส่วนบุคคลที่ส่งผลต่อความสุขแตกต่างกัน ได้แก่ เพศ รายได้ การศึกษา และสุขภาพ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ความสัมพันธ์ระหว่างการทำบุญตามหลักบุญกิริยาวัตถุกับความสุขมีความสัมพันธ์เชิงบวกอยู่ในระดับสูง มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (r) = 0.624 โดยการทำบุญตามหลักบุญกิริยาวัตถุด้านภาวนามีความสัมพันธ์เชิงบวกสูงที่สุด ข้อเสนอแนะจากการวิจัย ได้แก่ การส่งเสริมการทำบุญตามหลักบุญกิริยาวัตถุโดยบูรณาการร่วมระหว่างภาครัฐ ชุมชนท้องถิ่น และวัด โดยเน้นในด้านการพัฒนาทางจิตใจซึ่งเป็นการทำบุญด้านภาวนาที่มีความสัมพันธ์กับความสุขสูงที่สุด โดยปรับให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตใหม่หรือการเปลี่ยนแปลงของโลก เพื่อเป็นการส่งเสริมความสุขของผู้สูงอายุในองค์รวม</p> 2025-09-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพัฒนศึกษาศาสตร์ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JDES/article/view/6557 บทบาทของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในการสนับสนุนการนิเทศการศึกษาในชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ 2025-05-25T21:11:22+07:00 ธรรศยา หล่าอุดม balloontadsaya@gmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์บทบาทของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในการสนับสนุนการนิเทศการศึกษาในบริบทของชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community: PLC) โดยเน้นการส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกันของครูและผู้บริหารสถานศึกษาเพื่อยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาอย่างยั่งยืน การนิเทศการศึกษาในระบบ PLC ถือเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยพัฒนาครูให้สามารถออกแบบการจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายใต้กรอบคิดของ PLC ที่นำเสนอในบทความนี้ประกอบด้วย 4 แนวทางหลัก ได้แก่ 1) การปรับเปลี่ยนบทบาทของศึกษานิเทศก์จากผู้ควบคุมเป็น&nbsp; ผู้เสริมสร้างการเรียนรู้และเป็นผู้นำทางวิชาการ 2) การใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ในการออกแบบกระบวนการนิเทศที่ตอบสนองต่อปัญหาและความต้องการจริงของโรงเรียนและครู 3) การสร้างวัฒนธรรมของการนิเทศแบบมีส่วนร่วม และการสร้างความไว้วางใจระหว่างผู้นิเทศกับผู้รับการนิเทศ และ 4) การส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายการเรียนรู้ระหว่างโรงเรียน (school network) ซึ่งสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามีบทบาทสำคัญในหลายด้าน ได้แก่ การส่งเสริมการนิเทศการศึกษา การส่งเสริมชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ การใช้ข้อมูลสารสนเทศเพื่อการพัฒนาในยุคดิจิทัล บทความยังเสนอแนวทางการพัฒนาบทบาทของสำนักงานเขตพื้นที่ในการส่งเสริมระบบนิเทศภายใต้แนวคิดชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ให้มีความต่อเนื่อง มีคุณภาพ และตอบสนองต่อความต้องการของครูและผู้เรียนอย่างแท้จริง ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพการศึกษาในภาพรวมอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน</p> 2025-09-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพัฒนศึกษาศาสตร์ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JDES/article/view/7464 การบริหารงานนิเทศการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ สำหรับผู้บริหารสถานศึกษายุคใหม่ 2025-10-01T21:00:19+07:00 พรธิวา ปันนะสาร pphornthiwa2018@gmail.com สุวดี อุปปินใจ suwadee123@gmail.com ไพรภ รัตนชูวงศ์ captpairop@gmail.com <p>การบริหารสถานศึกษาเป็นกระบวนการจัดการที่เป็นระบบ โดยมีผู้บริหารเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ ความรู้ และทักษะในการขับเคลื่อนงานให้บรรลุเป้าหมายผ่านการวางแผน การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การส่งเสริมการมีส่วนร่วม และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ภาวะผู้นำจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดคุณภาพการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน ครู ผู้ปกครอง และชุมชน โดยยึดหลักคุณธรรม ความรับผิดชอบ และมาตรฐานที่ตรวจสอบได้ กระบวนการนิเทศการจัดการเรียนรู้ถือเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับคุณภาพผู้เรียน ครอบคลุมการวิเคราะห์หลักสูตร การออกแบบการจัดการเรียนรู้ การจัดการสอน การพัฒนาและใช้สื่อ รวมถึงการวัดและประเมินผล โดยมีหลักการที่ยึดความถูกต้องทางวิชาการ ความเป็นประชาธิปไตย ความยืดหยุ่น และการสร้างสรรค์ การนิเทศที่มีคุณภาพต้องมีขั้นตอนการวางแผน ดำเนินการ สะท้อนผล และประเมินผล โดยได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหาร บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ บรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ และการใช้สื่อเทคโนโลยีอย่างเหมาะสม ปัจจัยเหล่านี้ช่วยสร้างขวัญกำลังใจแก่ครู พัฒนาวิชาชีพ และทำให้ผู้เรียนบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามมาตรฐานที่กำหนดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้บริหารยุคใหม่ต้องมีบทบาททั้งด้านวิชาการ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ การสนับสนุนงานวิจัย การใช้เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ ตลอดจนมีสมรรถนะด้านการคิดวิเคราะห์ การสร้างทีมงาน การพัฒนาตนเองและองค์กร</p> 2025-11-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพัฒนศึกษาศาสตร์