วารสารสหวิทยาการและการจัดการร่วมสมัย
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JCIM
<p><strong>วารสารสหวิทยาการและการจัดการร่วมสมัย</strong></p> <p><strong>Journal of Contemporary and Interdisciplinary Management</strong></p> <p><strong>กำหนดออก</strong> : 3 ฉบับต่อปี</p> <p>ฉบับที่ 1 มกราคม-เมษายน</p> <p>ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม </p> <p>ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม</p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์</strong></p> <p> วารสารมีนโยบายฯ รับตีพิมพ์บทความวิจัย บทความวิชาการ สหวิทยาการ ด้านการบริหารการศึกษา การจัดการ การบริหารธุรกิจ สหวิทยาการร่วมสมัย รัฐประศาสนศาสตร์ สังคมศาสตร์ การเมืองการปกครอง และอื่นๆ อีกหลากหลายสาขาวิชา โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือคณาจารย์ นักศึกษา และนักวิจัยทั้งในและนอกสถาบัน</p>
ชมรมนวัตกรรมการบริหารการศึกษา
th-TH
วารสารสหวิทยาการและการจัดการร่วมสมัย
2822-0307
-
แนวทางการพัฒนาทักษะการวิจัยในชั้นเรียนของครูผู้สอน สหวิทยาเขตราชบุรีที่ 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาราชบุรี
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JCIM/article/view/6563
<h1 style="margin: 0cm; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif; font-weight: normal;">บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นของทักษะการวิจัยในชั้นเรียนของครูผู้สอน และ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาทักษะการวิจัยในชั้นเรียนของครูผู้สอน สหวิทยาเขตราชบุรีที่ 2 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาราชบุรี ประชากร คือ โรงเรียน สหวิทยาเขตราชบุรีที่ 2 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาราชบุรี 6 แห่ง กำหนดผู้ให้ข้อมูลแห่งละ 13 คน ประกอบด้วย ผู้อำนวยการ 1 คน รองผู้อำนวยการ 1 คน หัวหน้าวิชาการ 1 คน หัวหน้ากลุ่มสาระฯ 1 คน และครูผู้สอน 9 คน รวม 78 คน ผู้ทรงคุณวุฒิในการสัมภาษณ์ 6 คน ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ 6 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่น 0.96 แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง และแบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ฐานนิยม ใช้เทคนิควิเคราะห์ดัชนีลำดับความต้องการจำเป็น (</span><span lang="X-NONE" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif; font-weight: normal;">PNI<sub>modified</sub>) </span><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif; font-weight: normal;">และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ความต้องการจำเป็นของทักษะการวิจัยในชั้นเรียนของครูผู้สอนที่มีดัชนีความต้องการจำเป็นสูงสุด ได้แก่ ด้านเครื่องมือทางสถิติ ด้านการสรุปผลตามหลักตรรกวิทยา ด้านการสร้างเครื่องมือ ด้านการออกแบบงานวิจัย ด้านการสังเคราะห์วรรณกรรม ด้านมาตรฐานจริยธรรม ด้านที่มาของปัญหา ด้านการรวบรวมข้อมูล ด้านการวิเคราะห์ข้อมูล ด้านการสร้างกรอบแนวคิด ตามลำดับ 2) แนวทางการพัฒนาทักษะการวิจัยในชั้นเรียนของครูผู้สอน คือ (1) ด้านการสุ่มตัวอย่างและเลือกเครื่องมือทางสถิติ ผู้บริหารควรให้ครูผู้สอนเลือกการสุ่มตัวอย่างและเลือกเครื่องมือทางสถิติที่สอดคล้องกับตัวแปร (2) ด้านการสรุปผลตามหลักตรรกวิทยา ผู้บริหารควรสนับสนุนการวิเคราะห์ข้อมูลตามกรอบที่วางไว้โดยใช้หลักการตรรกศาสตร์ และ (3) ด้านการสร้างเครื่องมือ ผู้บริหารควรให้ครูผู้สอนใช้เครื่องมือที่เหมาะสม ตรวจสอบค่าเที่ยงตรงและความเชื่อมั่นของเครื่องมือร่วมกับครูผู้สอน</span></h1>
ธนันพิชญ์ ปณชัยธีรดนย์
สุริยะ รูปหมอก
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการและการจัดการร่วมสมัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-10-29
2025-10-29
4 2
1
15
-
แนวทางการบริหารที่ส่งเสริมทักษะชีวิตและอาชีพในศตวรรษที่ 21 ของผู้เรียน สังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดสมุทรสงคราม
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JCIM/article/view/6608
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาความต้องการจำเป็นของทักษะชีวิตและอาชีพในศตวรรษที่ 21 ของผู้เรียน และ 2) ศึกษาแนวทางการบริหารที่ส่งเสริมทักษะชีวิตและอาชีพในศตวรรษที่ 21 ของผู้เรียน สังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดสมุทรสงคราม ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ สถานศึกษา สังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดสมุทรสงคราม จำนวน 3 แห่ง กำหนดผู้ให้ข้อมูล สถานศึกษาละ 22 คน ประกอบด้วย ผู้อำนวยการสถานศึกษา จำนวน 1 คน รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ จำนวน 1 คน และครูผู้สอน จำนวน 20 คน รวมทั้งสิ้น 66 คน ผู้ทรงคุณวุฒิที่ใช้ในการสัมภาษณ์ จำนวน 6 คน และผู้ทรงคุณวุฒิประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ จำนวน 6 คน ซึ่งได้มา โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .928 แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง และแบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ฐานนิยม ใช้เทคนิคการหาค่าดัชนีความต้องการจำเป็น และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า1) การบริหารที่ส่งเสริมทักษะชีวิตและอาชีพในศตวรรษที่ 21 ของผู้เรียน ที่มีดัชนีความต้องการจำเป็นสูงที่สุด ได้แก่ ด้านการริเริ่มและนำพาตนเอง ด้านความยืดหยุ่นและการปรับตัว ด้านผลิตผลและความสำนึกรับผิดชอบ ด้านภาวะผู้นำและความรับผิดชอบ และด้านทักษะทางสังคมและความต่างในวัฒนธรรม ตามลำดับ2) แนวทางการบริหารที่ส่งเสริมทักษะชีวิตและอาชีพในศตวรรษที่ 21 ของผู้เรียน สามารถสรุปได้ดังนี้ (1) ด้านการริเริ่มและนำพาตนเอง ผู้บริหารควรส่งเสริมให้ผู้เรียน เป็นผู้นำที่มีเป้าหมายที่ชัดเจน (2) ด้านความยืดหยุ่นและการปรับตัว ผู้บริหารควรส่งเสริมให้ผู้เรียนมีการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงได้ในทุกเวลา (3) ด้านผลิตผลและความสำนึกรับผิดชอบ ผู้บริหารควรมีการกำหนดเป้าหมาย สามารถทำให้ผู้เรียนบรรลุเป้าหมายได้สำเร็จลุล่วง (4) ด้านภาวะผู้นำและความรับผิดชอบ ผู้บริหารควรส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความเป็นผู้นำและตามที่ดี (5) ด้านทักษะทางสังคมและความต่างในวัฒนธรรม ผู้บริหารควรส่งเสริมให้ผู้เรียน ได้เรียนรู้ร่วมกับสังคมอย่างเหมาะสม</p> <p> </p>
ชัยรัตน์ พิมมี
ชวน ภารังกูล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการและการจัดการร่วมสมัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-10-29
2025-10-29
4 2
16
31
-
แนวทางการพัฒนาสมรรถนะครูในสถานศึกษากลุ่มเครือข่ายบางคนทีแควอ้อม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสงคราม
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JCIM/article/view/6560
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นของสมรรถนะครู และ 2) เพื่อศึกษา แนวทางการพัฒนาสมรรถนะครู ประชากร คือ สถานศึกษากลุ่มเครือข่ายบางคนทีแควอ้อม จำนวน 10 สถานศึกษา กำหนดผู้ให้ข้อมูลสถานศึกษาละ 4 คน ประกอบด้วย ผู้อำนวยการสถานศึกษา จำนวน 1 คน หัวหน้างานบริหารวิชาการ จำนวน 1 คน และครูผู้สอน จำนวน 2 คน รวมทั้งสิ้น 40 คน ผู้ทรงคุณวุฒิที่ใช้ในการสัมภาษณ์ จำนวน 6 คน และ ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ จำนวน 6 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามแบบมาตรวัดประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.97 แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง และแบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ฐานนิยม ดัชนีลำดับความต้องการจำเป็น (PNI<sub>modified</sub>) และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) สมรรถนะครู ที่มีดัชนีความต้องการจำเป็นสูงที่สุด ได้แก่ ด้านการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และการวิจัย 2) แนวทางการพัฒนาสมรรถนะครู ได้แก่ (1) ด้านการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และการวิจัย ผู้บริหารควรส่งเสริมพัฒนาครูในการใช้การวิจัยเป็นฐานในการจัดการเรียนรู้ เพื่อแก้ไขปัญหาของนักเรียนรายบุคคล (2) ด้านการบริหารหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ ผู้บริหารควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมของครูในการบริหารหลักสูตร สนับสนุนให้ครูออกแบบและพัฒนาหลักสูตร (3) ด้านการสร้างความสัมพันธ์ และความร่วมมือกับชุมชนเพื่อการจัดการเรียนรู้ ผู้บริหารควรส่งเสริมให้ครูเห็นความสำคัญของชุมชน สนับสนุนให้ครูเข้าร่วมกิจกรรมของชุมชน (4) ด้านภาวะผู้นําครู ผู้บริหารควรสร้างความเข้าใจถึงความสำคัญของภาวะผู้นำ (5) ด้านการบริหารจัดการชั้นเรียน ผู้บริหารควรกำหนดเป้าหมายการบริหารที่ชัดเจนสอดคล้องกับเป้าหมายของสถานศึกษา และ(6) ด้านการพัฒนาผู้เรียน ผู้บริหารควรส่งเสริมการพัฒนาด้านวิชาการ ส่งเสริมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ พัฒนาด้านคุณธรรม จริยธรรม และทักษะชีวิต</p>
ชุติกาญจน์ รองทอง
พีระนันท์ นัมคณิสรณ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการและการจัดการร่วมสมัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-10-29
2025-10-29
4 2
32
45
-
แนวทางการพัฒนาครูตามแนวคิดทักษะการโค้ชของครู ในโรงเรียนกลุ่มเครือข่าย ลาดใหญ่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสงคราม
https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JCIM/article/view/6561
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นของการพัฒนาครูตามแนวคิดทักษะการโค้ชของครู และ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาครูตามแนวคิดทักษะการโค้ชของครู ประชากร คือ สถานศึกษากลุ่มเครือข่ายลาดใหญ่ จำนวน 8 สถานศึกษา ผู้ให้ข้อมูล สถานศึกษาละ 5 คน ได้แก่ ผู้อำนวยการสถานศึกษา จำนวน 1 คน หัวหน้างานบริหารวิชาการ จำนวน 1 คน และครูผู้สอน จำนวน 3 คน รวมทั้งสิ้น 40 คน ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 6 คน และผู้ทรงคุณวุฒิประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ จำนวน 6 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามแบบมาตรวัดประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง และแบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ดัชนีลำดับความต้องการจำเป็น (PNI<sub>modified</sub>) และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) การพัฒนาครูตามแนวคิดทักษะการโค้ชของครู มีค่าดัชนีความต้องการจำเป็นสูงที่สุด คือ ด้านการฝึกอบรมก่อนเข้าทำงาน และ 2) แนวทางการพัฒนาครูตามแนวคิดทักษะการโค้ชของครู ได้แก่ (1) ด้านการฝึกอบรมก่อนเข้าทำงาน ผู้บริหารควรมีแนวทางที่ชัดเจนในการส่งเสริมครู โดยสร้างความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ (2) ด้านการบริหารผลการปฏิบัติงาน ผู้บริหารควรส่งเสริมให้ครูพัฒนาตนเองผ่านการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง (3) ด้านการวางแผนการพัฒนาบุคลากรรายบุคคล ผู้บริหารควรดำเนินการพัฒนาบุคลากรอย่างเป็นระบบ (4) ด้านการติดตามการปฏิบัติงาน ผู้บริหารควรส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันของครูผ่านกระบวนการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ (5) ด้านการใช้ระบบจับคู่การทำงาน ผู้บริหารควรส่งเสริมระบบจับคู่ครูเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (6) ด้านการสอนงาน ผู้บริหารควรส่งเสริมครูโดยให้คำปรึกษาทำหน้าที่เป็นโค้ช (7) ด้านการวางแผนประสบการณ์ ผู้บริหารควรส่งเสริมให้ครูได้เรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจริงโดยมีครูพี่เลี้ยง และ (8) ด้านการเป็นพี่เลี้ยง ผู้บริหารควรเน้นการดูแลและส่งเสริมครูใหม่อย่างเป็นระบบ</p>
จตุรงค์ โรจน์ประดิษฐ์
ชวน ภารังกูล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการและการจัดการร่วมสมัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-10-29
2025-10-29
4 2
46
59