วารสารภูมินิเวศพัฒนาอย่างยั่งยืน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa th-TH journal.shada@gmail.com (นายคณิต ธนูธรรมเจริญ) journal.shada@gmail.com (นายคณาภรณ์ ธนูธรรมเจริญ) Sun, 22 Jun 2025 10:38:05 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบจากน้ำผึ้งป่าชายเลนของชุมชนตำบลปากพูนและชุมชนปากน้ำปากพญา ตำบลท่าซัก อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/4618 <p>การวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์จากน้ำผึ้งป่าชายเลนของชุมชนตำบลปากพูนและชุมชนปากน้ำปากพญา ตำบลท่าซัก อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้ให้ข้อมูลหลักคือ ผู้นำและสมาชิกในชุมชน อาจารย์มหาวิทยาลัยและผู้ที่เกี่ยวข้องด้านการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ จำนวน 50 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือการทดลอง และการสัมภาษณ์เชิงลึกและสนทนากลุ่ม ข้อมูลที่ได้ถูกตีความตามหลักเหตุผลเพื่อสังเคราะห์สาระสำคัญและอธิบายประเด็นตามวัตถุประสงค์ในการศึกษา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า พัฒนาผลิตภัณฑ์จากน้ำผึ้ง ป่าชายเลนของชุมชนตำบลปากพูนและชุมชนปากน้ำปากพญา โดยแบ่งการดำเนินงานเป็น 3 ส่วน ได้แก่ การวิเคราะห์คุณภาพน้ำผึ้ง การพัฒนาผลิตภัณฑ์สบู่ต้นแบบ และการออกแบบบรรจุภัณฑ์พร้อมตราสัญลักษณ์ที่สื่ออัตลักษณ์ชุมชน ด้วยการตรวจสอบคุณภาพน้ำผึ้งป่าชายเลน ดำเนินการศึกษาลักษณะทางกายภาพ–เคมี พร้อมเปรียบเทียบกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช. 263/2547) และวิเคราะห์ปริมาณสารฟีนอลิกด้วยวิธี Folin–Ciocalteu ตลอดจนประเมินฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระโดย DPPH และ FRAP assay ผลปรากฏว่าน้ำผึ้งทั้งสองพื้นที่มีความชื้น การนำไฟฟ้า ความเป็นกรด–ด่าง ค่าเถ้า และ HMF อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน รวมถึงปริมาณฟีนอลิกสูง (324.12 และ 234.48 mg GAE/g) และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเด่นชัด สะท้อนถึงคุณภาพที่เหมาะสมทั้งเพื่อการบริโภคและนำไปใช้ในผลิตภัณฑ์แปรรูป และการพัฒนาสบู่ต้นแบบนำเข้าน้ำผึ้งป่าชายเลนตาม มผช. 94/2552 พบว่าสบู่มีค่า pH อยู่ในช่วง 9.69–9.91 ปริมาตรและความคงตัวของฟองดีถึง 60 นาที ไม่มีเมือกที่ผิว และอัตราการสึกกร่อนต่ำ (&lt;0.3%) ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานคุณภาพสบู่ในเชิงอุตสาหกรรม นอกจากนั้นการออกแบบบรรจุภัณฑ์และตราสัญลักษณ์ดำเนินการโดยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน ทรงคุณค่าเชิงภูมิปัญญาท้องถิ่น สะท้อนวิถีชีวิตและธรรมชาติริมป่าชายเลน ผลที่ได้คือบรรจุภัณฑ์และตราสัญลักษณ์ที่โดดเด่น สามารถต่อยอดเชิงพาณิชย์และขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน</p> สุภาวดี รามสูตร, มัณฑกา วีระพงศ์, เยาวมาลย์ เขียวสอาด, สาวิตรี ฤทธิ์ช่วย, ผการัตน์ โรจน์ดวง, เชษฐา มุหะหมัด, บุญยิ่ง ประทุม, ดำรงศ์พันธ์ ใจห้าววีระพงศ์, เดโช แขน้ำแก้ว Copyright (c) 2025 วารสารภูมินิเวศพัฒนาอย่างยั่งยืน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/4618 Sun, 22 Jun 2025 00:00:00 +0700 ยุทธศาสตร์การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ม้งเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/4802 <p>บทความวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์สภาพปัจจุบันของการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ 2) สร้างยุทธศาสตร์การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ม้งเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว และ 3) ประเมินความเป็นไปได้ของยุทธศาสตร์การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ม้งเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย เป็นการวิจัยแบบผสมผสานวิธี งานวิจัยเชิงปริมาณ มีกลุ่มตัวอย่างคือ นักท่องเที่ยว จำนวน 400 คน เครื่องมือการวิจัยใช้แบบสอบถาม และการวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าร้อยละ ความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สำหรับงานวิจัยคุณภาพ กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วยตัวแทนจากผู้นำชุมชน นักการเมืองท้องถิ่น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ และผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย จำนวน 18 คน โดยเป็นการสัมภาษณ์และการประชุมกลุ่มย่อย ข้อมูลที่ได้ถูกวิเคราะห์และสังเคราะห์เพื่อจัดทำยุทธศาสตร์ตามประเด็นการวิจัย และนำเสนอในรูปแบบเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย อายุ 31-40 ปี จากภาคเหนือ มีรายได้ปานกลาง และนิยมท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาวเพื่อพักผ่อนกับครอบครัว โดยสนใจแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น อุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้า และประเพณีปีใหม่ม้ง ด้านการท่องเที่ยว พบว่านักท่องเที่ยวให้ความสำคัญกับสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการที่พักเป็นอันดับแรก จากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในและภายนอกโดยใช้แนวคิด 4Ms และ PESTEL พบว่าการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ม้งมีศักยภาพสูงแต่ยังต้องพัฒนาในด้านบุคลากร งบประมาณ และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ ยังต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งด้านนโยบาย เศรษฐกิจ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม และผู้วิจัยได้นำเสนอ 5 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ การพัฒนาทรัพยากรบุคคล การเพิ่มแหล่งทุนและโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมสินค้าและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ <br />เพื่อผลักดันการท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ม้งให้เติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืนในจังหวัดเชียงราย</p> บัณฑิต แสงเสรีธรรม, นาวิน พรมใจสา, เบญจมาศ เมืองเกษม, โกมินทร์ วังอ่อน Copyright (c) 2025 วารสารภูมินิเวศพัฒนาอย่างยั่งยืน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/4802 Sun, 22 Jun 2025 00:00:00 +0700 แนวทางส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน กรณีศึกษาบ้านช่อนเหนือ เมืองช่อน แขวงหัวพัน สปป.ลาว https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/5404 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สำรวจสถานการณ์และการรับรู้คุณค่าความสำคัญของสิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรม 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรม 3) เสนอแนะแนวทางส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาชุมชน บ้านช่อนเหนือ เมืองช่อน แขวงหัวพัน สปป. ลาว เป็นการวิจัยแบบผสมผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ ผู้นำชุมชนหรือผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ของพื้นที่และประชาชน จำนวน 139 คน ที่เป็นตัวแทนครอบครัว เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม และการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ หาค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สำหรับงานวิจัยเชิงคุณภาพ เป็นการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้นำชุมชนและผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่น จำนวน 10 คน ข้อมูลที่ได้ถูกวิเคราะห์และสังเคราะห์ตามประเด็นการวิจัย และนำเสนอในรูปแบบเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. บ้านช่อนเหนือเป็นชุมชนเก่าแก่ที่มีสิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรมหลากหลาย เช่น วัดเก่า โปดค่ายทหารฝรั่งเศส และพื้นที่ที่มีเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์และภูมิปัญญาท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ป่า พื้นที่เกษตรกรรม และแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่ชุมชนใช้ประโยชน์อย่างหลากหลาย ชาวบ้านมีการรับรู้คุณค่าความสำคัญของสิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรมในระดับมาก โดยเฉพาะบทบาทของพื้นที่ในฐานะแหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งน้ำจืด และแหล่งพลังงาน 2. ด้านปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรม พบว่ามี 7 ปัจจัยหลัก เช่น การเพิ่มขึ้นของประชากร การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ความนิยมในวัฒนธรรมสมัยใหม่ และความต้องการด้านเศรษฐกิจของชุมชน ซึ่งล้วนมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน และการพึ่งพาทรัพยากรทางวัฒนธรรมลดลง 3. แนวทางส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรมของชุมชนช่อนเหนือ จำนวน 8 แนวทางหลัก ได้แก่ 1) การจัดทำนโยบายที่สมดุลระหว่างการใช้ประโยชน์และการอนุรักษ์ 2) สร้างความตระหนักรู้ในคุณค่าของสิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรมแก่ทุกกลุ่มคน 3) ส่งเสริมการศึกษาเกี่ยวกับการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรวัฒนธรรมในชุมชน 4) ประชาสัมพันธ์ความสำคัญของพื้นที่ประวัติศาสตร์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ 5) พัฒนาแหล่งประวัติศาสตร์เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม 6) ส่งเสริมพื้นที่ธรรมชาติเป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ 7) สนับสนุนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในการปกป้องและคุ้มครองมรดกวัฒนธรรม และ 8) ส่งเสริมการปลูกต้นไม้ทดแทนเพื่อฟื้นฟูความสมดุลของระบบนิเวศในชุมชน แนวทางเหล่านี้จะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและสอดคล้องกับบริบททางวัฒนธรรมของท้องถิ่น</p> ติสอน สุกสมพัน, นิกร มหาวัน, วิทยา ดวงธิมา, พันธุ์ระวี กองบุญเทียม Copyright (c) 2025 วารสารภูมินิเวศพัฒนาอย่างยั่งยืน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/5404 Sun, 22 Jun 2025 00:00:00 +0700 สถานการณ์วัฒนธรรมการบริโภคอาหาร กรณีศึกษาบ้านสีบุนเฮือง เมืองจันทะบูลี นครหลวงเวียงจันทน์ สปป. ลาว https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/5407 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์วัฒนธรรมการบริโภคอาหารของชุมชนบ้านสีบุนเฮือง เมืองจันทะบูลี นครหลวงเวียงจันทน์ โดยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือการวิจัยใช้แบบสอบถามกับกลุ่มแม่บ้านหรือบุคคลในครอบครัวจำนวน 164 ชุด และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติคือ การค่าความถี่ ค่าร้อยละ และค่าเฉลี่ย สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ เป็นแบบสัมภาษณ์กับกลุ่มผู้มีความรู้เรื่องอาหาร และผู้ประกอบการร้านอาหาร จำนวน 10 ราย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เทคนิควิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่นิยมบริโภคอาหารมื้อหลักวันละ 3 มื้อ และมีแนวโน้มที่จะรักษารูปแบบนี้ไว้ ขณะเดียวกันยังคงเลือกปรุงอาหารเองที่บ้านเป็นหลัก แม้มีบางส่วนที่เริ่มหันมาซื้ออาหารปรุงสำเร็จมากขึ้น ในด้านการบริโภคอาหารนอกบ้าน ส่วนใหญ่รับประทานวันละ 1 มื้อ แต่แนวโน้มในอนาคตมีแนวทางลดลงอย่างชัดเจน อาหารหลักที่บริโภค ได้แก่ ข้าว เนื้อสัตว์ ผัก และผลไม้ โดยแหล่งวัตถุดิบส่วนใหญ่มาจากการซื้อในตลาดมากกว่าการปลูกหรือเลี้ยงเอง นอกจากนี้ ยังพบว่าอาหารพื้นถิ่นที่ได้รับความนิยมมีความหลากหลาย เช่น ลาบ ก้อย ต้ม แกง ห่อหมก อ่อม ซุป คั่ว ป่น ทอด ปิ้ง ย่าง ตำ และแจ่ว ซึ่งสะท้อนถึงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมอาหารของชุมชนได้อย่างชัดเจน ผลการศึกษาครั้งนี้ช่วยให้เข้าใจบริบทของการบริโภคอาหารในระดับครัวเรือน ซึ่งมีประโยชน์ต่อการส่งเสริมสุขภาวะ การอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการวางแผนนโยบายด้านอาหารในชุมชนต่อไป</p> อินแปง มั่นจะเริน, นิกร มหาวัน, วิทยา ดวงธิมา, พันธุ์ระวี กองบุญเทียม Copyright (c) 2025 วารสารภูมินิเวศพัฒนาอย่างยั่งยืน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/5407 Sun, 22 Jun 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการการจัดการไม้มีค่าทางเศรษฐกิจเพื่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/5433 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการวิเคราะห์สถานการณ์ป่าไม้ในประเทศไทย แนวทางการการจัดการป่าไม้ของต่างประเทศและประเทศไทยและข้อจำกัดของในการส่งเสริมปลูกไม้เศรษฐกิจตามพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2562 และเสนอแนวทางการส่งเสริมปลูกไม้เศรษฐกิจเพื่อขยายสู่การพัฒนาทางเศรษฐกิจ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหาจากแหล่งข้อมูลหลากหลาย ทั้งเอกสารทางวิชาการ บทความ งานวิจัย วิทยานิพนธ์ กฎหมาย ระเบียบ และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ข้อมูลที่ได้ถูกตีความตามหลักเหตุผล เพื่อสังเคราะห์สาระสำคัญและอธิบายประเด็นตามวัตถุประสงค์ในการศึกษา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ประเทศไทยถือว่าอยู่ในกลุ่มประเทศที่พื้นที่ป่าลดลง พ.ศ. 2566 มีพื้นที่ป่าไม้เหลืออยู่เพียง 101,818,155.76 ไร่ หรือคิดเป็น 31.47% ของพื้นที่ประเทศ กรณีศึกษาตัวอย่างการจัดการป่าไม้ในต่างประเทศมีแนวคิดหลักที่สำคัญคือ การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ ส่วนเสียในการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรป่าไม้ ในขณะที่ข้อเสนอแนวทางการส่งเสริมปลูกไม้เศรษฐกิจเพื่อขยายสู่การพัฒนาทางเศรษฐกิจ ประกอบด้วย 1) แนวทางการใช้แนวคิดวนศาสตร์ชุมชนเพื่อการจัดการภาคป่าไม้ 2) แนวทางการกำหนดพื้นที่การอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 3) แนวทางการกำหนดประเภทพันธุ์ไม้เพื่อการส่งเสริมการปลูกไม้ และ 4) แนวทางการมีส่วนร่วมทั้งระดับจุลภาคและมหภาคเพื่อการปลูกไม้มีค่าสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ</p> เกียรติขจร ไชยรัตน์, จำเลือง เหตุทอง Copyright (c) 2025 วารสารภูมินิเวศพัฒนาอย่างยั่งยืน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/5433 Sun, 22 Jun 2025 00:00:00 +0700 กลยุทธ์รูปแบบการผลิต การส่งเสริม และการตลาดของ วิสาหกิจชุมชนนาเกลือแปลงใหญ่ จังหวัดสมุทรสาครเพื่อการผลิตที่ยั่งยืน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/6074 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ความต้องการการส่งเสริมและรูปแบบการบริหารจัดการวิสาหกิจชุมชน (2) วิเคราะห์รูปแบบการผลิต การส่งเสริม และการตลาด และ (3) นำเสนอกลยุทธ์<br />ที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนนาเกลือแปลงใหญ่ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยเชิงปริมาณ ได้แก่ เกษตรกรผู้ทำนาเกลือ จำนวน 59 ราย โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือวิจัย และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง และคณะกรรมการดำเนินงานแปลงใหญ่ รวม 25 คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า เกษตรกรมีความต้องการการส่งเสริมอยู่ในระดับมาก โดยเฉพาะในด้านมาตรฐานสินค้า องค์ความรู้ และการตลาด/การแปรรูป สะท้อนถึงความต้องการพัฒนาคุณภาพการผลิตและสร้างโอกาสทางการตลาด ในด้านการบริหารจัดการวิสาหกิจชุมชน พบว่าการดำเนินงานอยู่ในระดับมากในทุกด้าน ทั้งการวางแผน การจัดองค์กร การอำนวยการ และการบริหารงบประมาณ แสดงถึงโครงสร้างการบริหารที่มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ด้านการอำนวยการและการรายงานผลยังสามารถพัฒนาเพิ่มเติมได้ ในส่วนของการวิเคราะห์รูปแบบการส่งเสริม พบว่าการส่งเสริมผ่านแปลงเรียนรู้เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด รองลงมาคือการส่งเสริมผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ บุคคล และสื่อออนไลน์ ซึ่งยังอยู่ในระดับปานกลางและควรได้รับการพัฒนาให้เหมาะสมกับบริบทของผู้ผลิต สุดท้ายการวิจัยได้นำเสนอ 4 กลยุทธ์เชิงรุกที่เหมาะสม ได้แก่ (1) กลยุทธ์การยกระดับคุณภาพและมาตรฐานการผลิตเกลือทะเล <br />(2) กลยุทธ์การเสริมสร้างความเข้มแข็งของวิสาหกิจชุมชน (3) กลยุทธ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มและการสร้างแบรนด์ และ (4) กลยุทธ์การขยายช่องทางการตลาดแบบบูรณาการ ซึ่งทั้งหมดมุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนของวิสาหกิจชุมชนนาเกลือแปลงใหญ่ จังหวัดสมุทรสาคร ทั้งในด้านการผลิต การจัดการ และการตลาดอย่างครอบคลุมและสอดคล้องกับบริบทพื้นที่</p> นันทมาส ทองปลี, วีณา นิลวงศ์, รภัสสรณ์ คงธนจารุอนันต์, พุฒิสรรค์ เครือคำ, กอบลาภ อารีศรีสม Copyright (c) 2025 วารสารภูมินิเวศพัฒนาอย่างยั่งยืน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/6074 Sun, 22 Jun 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการบริหารจัดการพื้นที่สาธารณะของ องค์การบริหารส่วนตำบลนครสวรรค์ออก กรณีศึกษา กองเสบียงฟาร์ม https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/6093 <p>บทความวิจัยนี้นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) บริบทเชิงพื้นที่และการบริหารจัดการพื้นที่สาธารณะ 2) ปัญหาและอุปสรรคในการบริหารจัดการพื้นที่สาธารณะ และ 3) แนวทางการบริหารจัดการพื้นที่สาธารณะขององค์การบริหารส่วนตำบลนครสวรรค์ออก กรณีศึกษา กองเสบียงฟาร์ม การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลหลัก จำนวน 20 คน ประกอบด้วยคณะผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลนครสวรรค์ออก เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจัดการดูแลในพื้นที่สาธารณะกองเสบียงฟาร์ม ผู้ประกอบการในพื้นที่สาธารณะกองเสบียงฟาร์ม และผู้ใช้บริการในพื้นที่สาธารณะกองเสบียงฟาร์ม คัดเลือกผู้ให้ข้อมูลด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม และการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาแบบอุปนัย</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า บริบทเชิงพื้นที่และการบริหารจัดการพื้นที่สาธารณะมีพื้นที่ 18 ไร่ โดยมีหน่วยงานที่รับผิดชอบพื้นที่ คือ องค์การบริหารส่วนตำบลนครสวรรค์ออก มีการบริหารจัดการพื้นที่อย่างชัดเจน จำนวน 5 โซน พบว่าปัญหาและอุปสรรคในการบริหารจัดการพื้นที่สาธารณะ พบปัญหา ดังนี้ 1) ปัญหาและอุปสรรคด้านข้อกำหนด 2) ปัญหาและอุปสรรคด้านการลงทุนและดูแลซ่อมบำรุง 3) ปัญหาและอุปสรรคด้านความร่วมมือ ซึ่งแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่สาธารณะขององค์การบริหารส่วนตำบลนครสวรรค์ออก กรณีศึกษา กองเสบียงฟาร์ม มีดังนี้ 1) ข้อกำหนดการใช้พื้นที่ มุ่งเน้นการสื่อสารให้ชัดเจน จัดกิจกรรมให้ความรู้ และแก้ไขข้อจำกัดด้านกฎหมายเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน 2) การลงทุนและซ่อมบำรุง เน้นเพิ่มแรงงานที่มีคุณภาพ ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม และส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนในท้องถิ่น 3) ความร่วมมือ มุ่งสร้างการมีส่วนร่วมผ่านประชาพิจารณ์การจัดสรรพื้นที่ร่วมกัน และกำหนดแนวทางการใช้งานร่วมอย่างชัดเจน</p> นฏศรบงกช วิสิทธิ์ตระกูล, คุณากร กรสิงห์ Copyright (c) 2025 วารสารภูมินิเวศพัฒนาอย่างยั่งยืน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/6093 Sun, 22 Jun 2025 00:00:00 +0700 การประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือของประชาชนในการพัฒนาท้องถิ่นของเทศบาลในอำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/6061 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ระดับความร่วมมือของประชาชนในการพัฒนาท้องถิ่นของเทศบาลในอำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น (2) ความสัมพันธ์ระหว่างหลักอิทธิบาท 4 กับความร่วมมือของประชาชนในการพัฒนาท้องถิ่น และ (3) แนวทางการประยุกต์หลักอิทธิบาท 4 เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในการพัฒนาท้องถิ่น โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ในการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างประชาชน จำนวน 400 คน <br />ด้วยแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วยค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ ดำเนินการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 12 คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ระดับความร่วมมือของประชาชนและการปฏิบัติตนตามหลักอิทธิบาท 4 อยู่ในระดับมาก โดยเฉพาะด้านฉันทะ และ วิมังสา สะท้อนให้เห็นถึงแรงจูงใจภายในและการตระหนักรู้ต่อบทบาทในการพัฒนาท้องถิ่น นอกจากนี้ พบว่าหลักอิทธิบาท 4 มีความสัมพันธ์ในเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญกับความร่วมมือของประชาชน (r=0.85, p &lt; 0.01) ข้อเสนอจากการวิจัยชี้ให้เห็นว่า การประยุกต์หลักอิทธิบาท 4 อย่างเหมาะสมสามารถปลูกฝังจิตสำนึก เสริมสร้างแรงจูงใจ และเพิ่มพูนการมีส่วนร่วมของประชาชนในกิจกรรมท้องถิ่นได้อย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับบริบททางวัฒนธรรมของพื้นที่ และมีศักยภาพในการขับเคลื่อนการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน</p> มนตรี พั้วลี, สุรพล พรมกุล, สุธิพงษ์ สวัสดิ์ทา Copyright (c) 2025 วารสารภูมินิเวศพัฒนาอย่างยั่งยืน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/6061 Sun, 22 Jun 2025 00:00:00 +0700