วารสารภูมินิเวศพัฒนาอย่างยั่งยืน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa th-TH journal.shada@gmail.com (นายคณิต ธนูธรรมเจริญ) journal.shada@gmail.com (นายคณาภรณ์ ธนูธรรมเจริญ) Sun, 23 Nov 2025 18:45:33 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรการเกษตรโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กวง ตำบลเทพเสด็จ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/6087 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน และศักยภาพในการจัดการระบบการเกษตรในลุ่มน้ำแม่กวง และกำหนดยุทธศาสตร์ในการจัดการทรัพยากรทางการเกษตร โดยใช้ทั้งวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างสำหรับการวิจัยเชิงปริมาณได้แก่ ผู้นำครัวเรือนบ้านแม่ตอน จำนวน 65 คน ซึ่งเลือกจากการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามและวิเคราะห์ด้วยสถิติค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพเลือกกลุ่มตัวอย่างจากผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาชุมชนและการจัดการทรัพยากร จำนวน 16 คน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) ตัวแทนภาครัฐท้องถิ่น 3 คน 2) ผู้นำชุมชนและผู้เชี่ยวชาญท้องถิ่น 8 คน และ 3) เจ้าหน้าที่การพัฒนาและสิ่งแวดล้อม 5 คน โดยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) กระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กวง โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ทั้งการตัดสินใจ การดำเนินงาน การรับผลประโยชน์ การประเมินผล และการบริหารจัดการทรัพยากร 2) การวิเคราะห์ศักยภาพของชุมชนพบว่า ปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จของระบบการเกษตรในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กวง ได้แก่ (1) ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ (2) การสืบทอดวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ช่วยให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองและรักษาสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (3) กระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิตของชุมชนที่เปิดรับองค์ความรู้ใหม่และสามารถนำมาประยุกต์ใช้ร่วมกับภูมิปัญญาท้องถิ่นได้อย่างเหมาะสม และ (4) การสนับสนุนจากเครือข่ายภายนอก อาทิ โครงการพระราชดำริ หน่วยงานภาครัฐ และสถาบันการศึกษา ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ 3) กำหนดยุทธศาสตร์สำคัญ 6 ประการในการบริหารจัดการระบบการเกษตรในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กวง ได้แก่ การจัดการทรัพยากรแบบมีส่วนร่วม การอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศ การเสริมสร้างกระบวนการเรียนรู้และเครือข่าย การบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน การพัฒนาระบบเกษตรกรรมที่ยั่งยืน และการสร้างกลไกการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ยุทธศาสตร์เหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนในการจัดการทรัพยากรเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม</p> วรชัย ทองคำฟู, วีณา นิลวงศ์, พุฒิสรรค์ เครือคำ, สนิท สิทธิ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารภูมินิเวศพัฒนาอย่างยั่งยืน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/6087 Sun, 23 Nov 2025 00:00:00 +0700 ยุทธศาสตร์การพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านทุ่งศรี สู่การจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/6113 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์และกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านทุ่งศรีอย่างยั่งยืน โดยมีการศึกษา จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค ที่มีผลต่อการจัดการท่องเที่ยวของชุมชนและกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลประกอบด้วยผู้ให้สัมภาษณ์เชิงลึกจำนวน 5 คน ได้แก่ ผู้นำชุมชน และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และผู้ร่วมสนทนากลุ่มจำนวน 25 คน ประกอบด้วย ผู้ใหญ่บ้าน ประธานและเลขานุการกลุ่มท่องเที่ยวโดยชุมชน สมาชิกกลุ่ม ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เหรัญญิก และปราชญ์ชาวบ้าน ซึ่งล้วนได้รับการคัดเลือกแบบเจาะจง เนื่องจากมีบทบาทสำคัญในการจัดการการท่องเที่ยวของชุมชนเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แนวคำถามสัมภาษณ์เชิงลึก แนวคำถามสนทนากลุ่ม แบบบันทึกการสังเกต และการวิเคราะห์เอกสาร ข้อมูลที่ได้ถูกวิเคราะห์ด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา โดยจัดหมวดหมู่ข้อมูลตามประเด็นการวิจัย และสังเคราะห์เพื่อจัดทำข้อเสนอ<br />เชิงยุทธศาสตร์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุมชนบ้านทุ่งศรีมีจุดแข็งด้านทรัพยากรธรรมชาติ วิถีชีวิตดั้งเดิม และความเข้มแข็งทางสังคม แต่ยังมีข้อจำกัดด้านทุนความรู้ บุคลากร และการบริหารจัดการ 2) เสนอกรอบยุทธศาสตร์ 4 ด้าน ได้แก่ (1) ยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อม เน้นการอนุรักษ์แหล่งท่องเที่ยวและการใช้พลังงานสะอาด (2) ยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ ส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวชุมชน การตลาด และผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น (3) ยุทธศาสตร์ด้านสังคม เน้นการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนและการพัฒนาศักยภาพ และ (4) ยุทธศาสตร์ด้านวัฒนธรรม ส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นและอัตลักษณ์ชุมชน ยุทธศาสตร์ดังกล่าวได้จากฉันทามติของชุมชน และเชื่อมโยงบริบทภายในกับโอกาสภายนอกได้อย่างสมดุล สะท้อนถึงแนวทางการจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชนที่สอดคล้องกับหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน</p> รังสรรค์ จอมนวล, สุริยจรัส เตชะตันมีนสกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารภูมินิเวศพัฒนาอย่างยั่งยืน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/6113 Sun, 23 Nov 2025 00:00:00 +0700 การส่งเสริมการเมืองแบบประชาธิปไตยโดยการประยุกต์หลักพุทธธรรมของประชาชนในเทศบาลตำบลแม่จั๊วะ อำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/6302 <p>บทความวิจัยนี้มุ่งศึกษาระดับการเมืองแบบประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลตำบลแม่จั๊วะ อำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างหลักสาราณียธรรมกับพฤติกรรมทางการเมือง และเสนอแนวทางการส่งเสริมการเมืองแบบประชาธิปไตยโดยการประยุกต์หลักพุทธธรรมเข้าสู่บริบทท้องถิ่น การวิจัยใช้ระเบียบวิธีแบบผสานวิธี โดยเก็บข้อมูลเชิงปริมาณจากกลุ่มตัวอย่างที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 338 คน เครื่องมือ คือ แบบสอบถาม การวิเคราะห์ใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สันเพื่อหาค่าความสัมพันธ์ระหว่างหลักสาราณียธรรมกับพฤติกรรมทางการเมือง และข้อมูลเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 10 รูป/คน ผลการวิจัยพบว่า ระดับการเมืองแบบประชาธิปไตยของประชาชนโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ขณะที่หลักสาราณียธรรมมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการเมืองแบบประชาธิปไตยในระดับสูง แนวทางส่งเสริมประชาธิปไตยโดยประยุกต์หลักพุทธธรรม ได้แก่ 1) เมตตากายกรรม ส่งเสริมการมีส่วนร่วมและการร่วมมือพัฒนาชุมชน 2) เมตตาวจีกรรม กระตุ้นการสื่อสารเชิงสร้างสรรค์ในการอภิปรายทางการเมือง 3) เมตตามโนกรรม ส่งเสริมการใช้เหตุผลและข้อมูลในการตัดสินใจ 4) สาธารณโภคี ส่งเสริมการเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม 5) สีลสามัญญตา ปลูกฝังการเคารพกฎหมายและแก้ไขปัญหาด้วยเหตุผล และ 6) ทิฏฐิสามัญญตา ส่งเสริมการยอมรับความคิดเห็นที่หลากหลายและการมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ทั้งนี้เพื่อนำไปสู่การพัฒนาการเมืองท้องถิ่นที่มีคุณภาพและยั่งยืน</p> พระอธิการวิทวัส ธมฺมทสฺสี, พระครูโสภณกิตติบัณฑิต, สมจิต ขอนวงค์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารภูมินิเวศพัฒนาอย่างยั่งยืน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/6302 Sun, 23 Nov 2025 00:00:00 +0700 ประเมินโครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตำบลแบบบูรณาการ (1 ตำบล 1 มหาวิทยาลัย) ตำบลป่าไผ่ อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/6114 <p>บทความนี้เป็นการศึกษาประเมินระบบโครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตำบลแบบบูรณาการ (1ตำบล 1มหาวิทยาลัย) ตำบลป่าไผ่ อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ โดยใช้ CIPP Model เป็นกรอบการศึกษาด้วยวิธิการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ซึ่งใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก และสนทนากลุ่ม เครื่องมือในการศึกษา ยังประชากรกลุ่มตัวอย่าง 43 คน และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ข้อมูลที่ได้ถูกตรวจสอบความน่าเชื่อถือด้วยวิธีการตรวจสอบแบบสามเส้า (Triangulation)</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า โครงการมีเหตุผลและความจำเป็นเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการจ้างงาน โดยเฉพาะในชุมชนเกษตรกรรม ซึ่งต้องปรับตัวเพื่อความยั่งยืน ด้านปัจจัยป้อน โครงการได้รับการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้และหน่วยงานภาคี แต่ยังพบปัญหาเกี่ยวกับงบประมาณและทรัพยากรที่จำกัด ด้านกระบวนการ ได้มีแผนดำเนินงานที่ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนาทักษะ การส่งเสริมการแปรรูปไปจนถึงการพัฒนาแหล่งจำหน่ายสินค้า อย่างไรก็ตาม พบว่า ระยะเวลาของโครงการที่จำกัดส่งผลต่อความต่อเนื่องของกิจกรรม ส่วนในด้านผลผลิต พบว่า โครงการช่วยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรและเพิ่มรายได้ของชุมชน แต่อุปสรรคด้านงบประมาณและบุคลากรส่งผลต่อประสิทธิภาพในการดำเนินงาน โดยสรุปแล้วผลการประเมินชี้ให้เห็นว่าการบริหารจัดการโครงการที่มีประสิทธิภาพและความร่วมมือของภาคีเครือข่ายเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จทั้งนี้ ควรมีการพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการที่เหมาะสมเพื่อให้สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนในระยะยาว</p> จักรธาร โชคธงทองทวี, สุริยจรัส เตชะตันมีนสกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารภูมินิเวศพัฒนาอย่างยั่งยืน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/6114 Sun, 23 Nov 2025 00:00:00 +0700 การมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนรู้ภาคีเครือข่ายของศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาพิษณุโลก https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/6394 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับการมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนรู้ของภาคีเครือข่ายศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาพิษณุโลก 2) ผลการดำเนินงานและการประสานความร่วมมือในการจัดการเรียนรู้ของภาคีเครือข่าย และ 3) แนวทางการดำเนินงานแบบมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนรู้ของภาคีเครือข่ายดังกล่าว โดยกลุ่มประชากรในการศึกษาคือผู้บริหารสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัด ผู้บริหาร ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอ ข้าราชการครู ครู กศน. ครู ศรช. และครูผู้สอนคนพิการในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ อุตรดิตถ์ และสุโขทัย รวมจำนวน 236 คน เครื่องมือการวิจัยใช้แบบสอบถาม และวิเคราะห์ด้วยสถิติพื้นฐาน เช่น ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ภาคีเครือข่ายมีระดับการมีส่วนร่วมในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยเฉพาะในด้านการรับผลประโยชน์จากกิจกรรม รองลงมาคือการตัดสินใจ ดำเนินงาน และประเมินผล ตามลำดับ ทั้งนี้ ความต้องการในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของภาคีเครือข่ายก็อยู่ในระดับมากเช่นกัน โดยกิจกรรมที่ได้รับความสนใจสูง ได้แก่ งานท้องฟ้าจำลอง งานบริการวิชาการ งานนิทรรศการ งานกิจกรรมการศึกษา และงานค่ายวิทยาศาสตร์ การมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนรู้มีความหลากหลายและสอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนในแต่ละช่วงวัย ผ่านกิจกรรมและสื่อการเรียนรู้ที่เน้นการเสริมสร้างจินตนาการและทักษะชีวิต พร้อมทั้งส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์อย่างมีประสิทธิภาพ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาพิษณุโลกจึงถือเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ตอบสนองความต้องการและสามารถบูรณาการความรู้สู่การพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศต่อไป</p> วราลักษณ์ เรืองรุ่งวีรกุล, ธนัสถา โรจนตระกูล, กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารภูมินิเวศพัฒนาอย่างยั่งยืน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/6394 Sun, 23 Nov 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาศักยภาพชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีไทย ในเขตพื้นที่บ้านเซิงหวาย ตำบลตลุกเทียม อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/6406 <p>บทความวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาศักยภาพของการพัฒนาชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ในเขตพื้นที่บ้านเซิงหวาย ตำบลตลุกเทียม อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก ตามหลัก SWOT 2) วิเคราะห์ปัจจัย SWOT จำแนกตามลักษณะส่วนบุคคล และ 3) เสนอแนะแนวทางการยกระดับศักยภาพชุมชนท่องเที่ยวดังกล่าว การวิจัยเป็นเชิงปริมาณ ใช้วิธีสำรวจด้วยแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่าง 287 คน ซึ่งเป็นตัวแทนครัวเรือนในพื้นที่ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐานด้วย ค่า t-test และ F-test พบว่า <br />1) ศักยภาพการพัฒนา โดย ภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีศักยภาพสูงที่สุดคือ การดึงดูดทางการท่องเที่ยว รองลงมาคือ การบริหารจัดการ การสร้างคุณค่า ศักยภาพบุคลากร และการให้บริการข้อมูลนักท่องเที่ยว ตามลำดับ 2) การวิเคราะห์เชิง SWOT พบว่า จุดแข็ง ของชุมชนคือการมีเอกลักษณ์ ท้องถิ่นชัดเจน อาทิวิถีชีวิต วัฒนธรรม และผลิตภัณฑ์ OTOP ที่ สะท้อน ภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น วิสาหกิจไก่ดำ ผลิตภัณฑ์จากฟักข้าว กล้วยแปรรูป และไม้กวาดท้องถิ่น จุดอ่อน ได้แก่ขาดงบประมาณ อย่างต่อเนื่องในการส่งเสริมการท่องเที่ยว และขาดการพัฒนา ศักยภาพบุคลากรอย่างทั่วถึงโอกาส อยู่ที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ ทั้งด้านองค์ความรู้และงบประมาณ ขณะที่ อุปสรรค คือ ประชาชนยังขาดความเข้าใจและทักษะที่จำเป็นในการดำเนินกิจกรรมท่องเที่ยว บางส่วนสูญเสียภูมิปัญญา เมื่อผู้นำชุมชน หรือผู้เชี่ยวชาญในอดีตเสียชีวิต 3) ข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนา คือ การเสริมสร้างทรัพยากร โดยเฉพาะทุนทางเศรษฐกิจ และ ส่งเสริมการบูรณาการกับ หน่วยงานภาครัฐเพื่อสนับสนุนอย่างยั่งยืน รวมถึงการแบ่งกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างชัดเจน และพัฒนาสินค้า และบริการให้ตรงกับความต้องการเฉพาะกลุ่ม ทั้งนี้เพื่อยกระดับศักยภาพของชุมชนให้สามารถขับเคลื่อนการท่องเที่ยวอย่างมี ประสิทธิภาพและยั่งยืน</p> พัชราภรณ์ บุญขำ, กัมปนาท วงษ์วัฒนพงษ์, ภาสกร ดอกจันทร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารภูมินิเวศพัฒนาอย่างยั่งยืน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/6406 Sun, 23 Nov 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิภาพของกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาที่มีอยู่ในการคุ้มครองความรู้ดั้งเดิม : กรณีศึกษาการคุ้มครองวิธีการผลิตมังคุดคัดของจังหวัดนครศรีธรรมราช https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/6097 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษามังคุดคัดในฐานะองค์ความรู้ดั้งเดิมของจังหวัดนครศรีธรรมราช วิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาไทยในการคุ้มครองภูมิปัญญาท้องถิ่น และเสนอแนวทางการพัฒนาให้เกิดการคุ้มครองที่มีประสิทธิภาพ การวิจัยใช้วิธีเชิงผสมผสาน โดยศึกษาข้อมูลจากเอกสารทางกฎหมายและงานวิชาการ ร่วมกับการเก็บข้อมูลภาคสนามจากผู้ผลิต นักธุรกิจรุ่นใหม่ และหน่วยงานรัฐ ผ่านการสัมภาษณ์และประชุมระดมความคิดเห็น วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า มังคุดคัดเป็นองค์ความรู้ดั้งเดิมที่มีลักษณะเฉพาะและมีคุณค่าทางเศรษฐกิจ แต่ยังไม่ได้รับการคุ้มครองอย่างเหมาะสมภายใต้กฎหมายปัจจุบัน เช่น พระราชบัญญัติสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ และพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ซึ่งยังขาดกลไกเฉพาะในการรองรับภูมิปัญญาท้องถิ่น ส่งผลให้เกิดการนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์โดยไม่ได้รับอนุญาต และสร้างความเสียหายต่อชุมชนผู้สืบทอดภูมิปัญญา งานวิจัยเสนอให้มีการปรับปรุงกฎหมายให้ชัดเจนในเรื่องสิทธิ นิยาม และกลไกการคุ้มครอง พร้อมส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการบริหารจัดการภูมิปัญญา เพื่อสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมในระดับท้องถิ่น</p> อมรรัตน์ อำมาตเสนา, ทวีลักษณ์ พลราชม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารภูมินิเวศพัฒนาอย่างยั่งยืน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/6097 Sun, 23 Nov 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาศักยภาพของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวไก่น้อยเชิงพาณิชย์ในจังหวัดเชียงขวาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/6704 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาศักยภาพการผลิต แนวโน้มการตลาดของข้าวไก่น้อย และแนวทางการพัฒนาศักยภาพการผลิตข้าวไก่น้อยในแขวงเชียงขวาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยทำการสำรวจข้อมูลจากเกษตรกรผู้ปลูกข้าวไก่น้อยในอำเภอแปก อำเภอคำ อำเภอคูน อำเภอผาไซ และ อำเภอภูกูด ในแขวงเชียงขวาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จำนวน 400 ราย ด้วยแบบสอบถามและจัดเวทีสนทนากลุ่ม จากตัวแทนเกษตรกร เจ้าหน้าที่เกษตรอำเภอ และ ผู้ประกอบการด้านผลิตภัณฑ์ข้าวไก่น้อย จำนวนทั้งสิ้น 45 คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) เกษตรกรมีจำนวนแรงงานเฉลี่ย 3.56 คนต่อครัวเรือนมีประสบการณ์การทำเกษตรเฉลี่ย 8.46 ปี และมีพื้นที่ถือครองเฉลี่ย 0.86 เฮกตาร์ ส่วนใหญ่ใช้ดินเหนียวและน้ำชลประทานในการผลิต โดยเกษตรกรนิยมใช้รถไถเดินตามและเมล็ดพันธุ์ข้าวไก่น้อยเหลือง เนื่องจากคุณภาพดีและเป็นที่ต้องการของตลาด ส่วนใหญ่ใช้ทุนส่วนตัวในการผลิตและปลูกข้าวแบบนาดำ ซึ่งช่วยเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุน ปัญหาที่พบคือโรคพืช ผลผลิตต่ำ และความยากลำบากในการดูแลพื้นที่ สำหรับวิถีทางการตลาด พบว่าเกษตรกรส่วนใหญ่ขายผลผลิตให้พ่อค้าในชุมชน รองลงมาคือขายให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจและโรงสี ข้าวไก่น้อยเมื่อแปรรูปแล้วจะถูกจัดจำหน่ายไปยังตลาดท้องถิ่น นครหลวงเวียงจันทน์ และผู้ประกอบการที่ใช้ในการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลการวิเคราะห์ความต้องการเสริมการตลาดตามปัจจัย 4P พบว่า เกษตรกรมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์มากที่สุด รองลงมาคือการกำหนดราคา สถานที่จำหน่าย และการส่งเสริมการตลาด โดยต้องการพัฒนาคุณภาพข้าว เพิ่มมูลค่าและสร้างช่องทางจำหน่ายที่สะดวกและมีประสิทธิภาพ 2) แนวทางการพัฒนาศักยภาพการผลิตและการตลาดข้าวไก่น้อยประกอบด้วย 3 มิติหลัก ได้แก่ 1. การสนับสนุนองค์ความรู้และปัจจัยการผลิต เช่น การฝึกอบรม การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม และการแปรรูปผลิตภัณฑ์ 2. การสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น การรวมกลุ่มเกษตรกร พัฒนาระบบชลประทาน และส่งเสริมการวิจัยพันธุ์ข้าว 3. การบริหารจัดการผลผลิตและตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การประกันราคา ขยายตลาดภายในและต่างประเทศ และพัฒนาช่องทางการตลาดเชิงสร้างสรรค์</p> อุดร วงสมหมาย, รภัสสรณ์ คงธนจารุอนันต์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารภูมินิเวศพัฒนาอย่างยั่งยืน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/6704 Sun, 23 Nov 2025 00:00:00 +0700