วารสารภูมินิเวศพัฒนาอย่างยั่งยืน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa 277 หมู่ที่ 7 ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50200 th-TH วารสารภูมินิเวศพัฒนาอย่างยั่งยืน ปัจจัยทางการตลาดที่มีผลต่อพฤติกรรมการเลือกซื้อผักและผลไม้เกษตรอินทรีย์ของผู้บริโภคในพื้นที่จังหวัดแพร่ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/906 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานส่วนบุคคลของผู้บริโภคผักและผลไม้เกษตรอินทรีย์ 2. เพื่อศึกษาพฤติกรรมในการซื้อผักและผลไม้เกษตรอินทรีย์ของผู้บริโภคในพื้นที่จังหวัดแพร่ 3. เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางด้านการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่จังหวัดแพร่ โดยมีเครื่องมือ ในการใช้เก็บข้อมูล คือ แบบสอบถามซึ่งเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 96 ชุด เก็บข้อมูลจากประชากรที่อาศัยอยู่ในจังหวัดแพร่ อายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป โดยใช้การสุ่มเก็บข้อมูลตัวแปรอิสระ (Independent Variable) เพื่อหาจำนวนและตัวแปรตาม (Dependent Variable) เพื่ออธิบายความถี่ (Frequency) หาร้อยละ (Percentage) หาความสัมพันธ์ (Pearson correlation)</p> <p>จากการศึกษาพบว่าพฤติกรรมการเลือกซื้อผักและ ผลไม้เกษตรอินทรีย์ของจำนวนกลุ่มตัวอย่าง 96 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จำนวน 80 คน คิดเป็นร้อยละ 83.30 มีช่วงอายุ 31 - 40 ปี จำนวน 47 คน คิดเป็นร้อยละ 49.00 มีสถานภาพสมรส จำนวน 64 คน คิดเป็นร้อยละ 66.70 มีระดับการศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี จำนวน 69 คน คิดเป็นร้อยละ 71.90 ประกอบอาชีพข้าราชการ/พนักงาน จำนวน 52 คน คิดเป็นร้อยละ 54.20 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน มากกว่า 30,000 บาทขึ้นไป จำนวน 48 คน คิดเป็นร้อยละ 50.00 และ ด้านผลิตภัณฑ์ มีค่าเฉลี่ยของการเลือกซื้อผักและผลไม้เกษตรอินทรีย์ อยู่ในระดับความสำคัญมาก (ค่าเฉลี่ย 4.28) ด้านราคา มีค่าเฉลี่ยของการเลือกซื้อผักและผลไม้เกษตรอินทรีย์ อยู่ในระดับความสำคัญมาก (ค่าเฉลี่ย 4.02) ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย มีค่าเฉลี่ยของการเลือกซื้อผักและผลไม้เกษตรอินทรีย์ อยู่ในระดับความสำคัญมาก (ค่าเฉลี่ย 4.33) ด้านการส่งเสริมการตลาด ค่าเฉลี่ยของการเลือกซื้อผักและผลไม้เกษตรอินทรีย์ อยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 3.61)</p> สมบัติ กันบุตร น้ำฝน รักประยูร ลักขณา พันธุ์แสนศรี วิลาสินี บุญธรรม พัชรณัฐ ดาวดึงษ์ กษมา ถาอ้าย นิธิโชติ ชาเทพ Copyright (c) 2023 วารสารภูมินิเวศพัฒนาอย่างยั่งยืน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-24 2023-12-24 4 2 1 15 การวิเคราะห์บริบทของวิทยาลัยครูหลวงน้ำทาในการเตรียมความพร้อมเพื่อยกระดับเป็นสถาบัน https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/2957 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์สภาพปัจจุบันและความต้องการจำเป็น รวมถึงสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกของวิทยาลัยครูหลวงน้ำทาที่ส่งผลต่อการยกระดับสู่ความเป็นสถาบัน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือ บุคลากรสายวิชาการในวิทยาลัยครูหลวงน้ำทาจำนวน 134 คนใช้การสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง การวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติและนำเสนอในรูปค่าเฉลี่ย ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีอายุเฉลี่ย 25-36 ปี และมีการศึกษาเฉลี่ยระดับปริญญาตรี ในการยกระดับวิทยาลัยครูสู่การเป็นสถาบัน พบว่ามีความร้อนด้านโครงสร้างพื้นฐาน โครงสร้างการบริหารจัดการ และสิ่งอำนวยความสะดวก หากแต่ด้านบุคลากรสายวิชาการยังมีคุณวุฒิไม่เพียงพอต่อมาตรฐานผู้สอนในหลักสูตรระดับอนุปริญญา ปริญญาตรี และปริญญาโท ประกอบกับบุคลากรเองมีความต้องการในการพัฒนาตนเองให้มีคุณวุฒิและมีความเชี่ยวชาญในระดับที่สูงขึ้น ในการพัฒนาคุณวุฒิของผู้สอนจะต้องใช้งบประมาณที่สูงและอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนทั้งภายในและต่างประเทศ และประเด็นสำคัญคือควรมีการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาองค์กรเพื่อกำหนดทิศทางที่ชัดเจนในการยกระดับสู่ความเป็นสถาบัน</p> ชินนกร สีเมือง วิกรม บุญนุ่น เบญจมาศ เมืองเกษม นาวิน พรมใจสา Copyright (c) 2023 วารสารภูมินิเวศพัฒนาอย่างยั่งยืน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-24 2023-12-24 4 2 16 24 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเข้าร่วมโครงการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด ในระบบเกษตรพันธสัญญา อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/3222 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการเข้าร่วมโครงการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดในระบบเกษตรพันธสัญญาของเกษตรกร 2) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการเข้าร่วมโครงการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดในระบบเกษตรพันธของเกษตรกร 3) ศึกษาปัญหาอุปสรรคของเกษตรกรต่อการเข้าร่วมโครงการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดในระบบเกษตรพันธสัญญาของเกษตรกร อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยมีกลุ่มเกษตรกร จำนวน 169 คน ที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานเกษตรอำเภอพร้าว การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม และการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วยการวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นพหุ</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ศึกษาระดับการเข้าร่วมโครงการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดในระบบเกษตรพันธสัญญาของเกษตรกร มีค่าเฉลี่ยอยู่ระดับปานกลาง 2) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเข้าร่วมโครงการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดในระบบเกษตรพันธของเกษตรกร เมื่อพิจารณาตัวแปรอิสระที่มีผลทางบวก 5 ตัวแปรได้แก่ เพศ อายุ สถานภาพ จำนวนแรงงานในการทำเกษตร และช่องทางการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ในขณะที่ระดับการศึกษา และเงินทุนที่ใช้ในการทำการเกษตร มีความสัมพันธ์ทางสถิติในเชิงลบ มีนัยสำคัญที่ระดับ 0.01 ซึ่งตัวแปรอิสระทั้งหมด 14 ตัวแปรสามารถพยากรณ์การเปลี่ยนแปลงของตัวแปรตาม คือ การเข้าร่วมโครงการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดในระบบเกษตรพันธของเกษตรกร ร้อยละ 52.7 (R2 = 0.527)<strong> </strong>3) ปัญหาอุปสรรคของเกษตรกร 1. ด้านผลตอบแทน เกษตรกรมองว่าราคารับซื้อผลผลิตจากบริษัทมุ่งเน้นการผลิตให้ได้ปริมาณมากกว่าคุณภาพ 2. ด้านการยอมรับของสังคม จำนวนเจ้าหน้าที่ของบริษัทไม่พอเพียงที่จะเข้าไปดูแล 3. ด้านความน่าเชื่อถือ เกษตรกรมีความเข้าใจและคลาดเคลื่อนเกณฑ์คุณภาพของเมล็ดพันธุ์และมีอคติต่อบริษัท และ 4. ด้านสิ่งแวดล้อม เกษตรมองว่าการใช้สารเคมีมีค่าใช้จ่ายสูงและผลกระทบสภาพแวดล้อมทั้งทางตรงและทางอ้อม</p> ชัยอนันต์ ลิ้มพัฒนมงคล พหล ศักดิ์คะทัศน์ นคเรศ รังควัต กอบลาภ อารีศรีสม Copyright (c) 2023 วารสารภูมินิเวศพัฒนาอย่างยั่งยืน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-24 2023-12-24 4 2 25 39 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อการท่องเที่ยวโดยชุมชนในพื้นที่ตำบลห้วยแก้ว อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/3442 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อการท่องเที่ยวโดยชุมชน 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อการท่องเที่ยวโดยชุมชนในพื้นที่ตำบลห้วยแก้ว อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ ผู้วิจัยได้ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากประชากรตัวอย่างที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ จำนวน 400 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน t-test F-test</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อการท่องเที่ยวโดยชุมชนทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านการตัดสินใจ ด้านการปฏิบัติงาน ด้านการแบ่งปันผลประโยชน์ และด้านการติดตามและประเมินผล โดยภาพรวมอยู่ระดับมากที่สุด และ 2) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ ประกอบด้วย 1.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 2. ผู้นำชุมชน 3. ความช่วยเหลือจากภายนอก 4. ตระหนักถึงผลประโยชน์ 5. ความรู้ความเข้าใจในการบริหารการจัดการ ซึ่งมีอิทธิพลเชิงบวกอย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติ จากผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ผู้นำชุมชนควรที่จะให้ความสำคัญกับสร้างความพร้อมของชุมชนและความผูกพันให้กับสมาชิกในชุมชนที่จะผลักดันให้ประชาชนตระหนักถึงคุณค่าและผลประโยชน์ของส่วนรวมที่จะได้รับ ซึ่งจะทำให้ประชาชนเข้ามาช่วยกันทำงานเพื่อชุมชนทำให้การท่องเที่ยวของชุมชนประสบความสำเร็จโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเศรษฐกิจและสังคมของชุมชน</p> วรวิทย์ นพแก้ว Copyright (c) 2023 วารสารภูมินิเวศพัฒนาอย่างยั่งยืน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-24 2023-12-24 4 2 40 55 การจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนในอุทยานแห่งชาติน้ำแอดภูเลย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว https://so09.tci-thaijo.org/index.php/AJ-SHaDa/article/view/3229 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ศักยภาพและรูปแบบการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ 2) ปัจจัยที่มีผลต่อการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน 3) ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะ เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณและคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ ประชาชนที่อาศัยและประกอบอาชีพในเขตอุทยานแห่งชาติน้ำแอดภูเลย จำนวน 289 ราย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาเพื่อหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ส่วนวิจัยเชิงคุณภาพเป็นการสัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 14 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เทคนิควิเคราะห์เชิงพรรณนา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนในอุทยานแห่งชาติน้ำแอดภูเลย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยภาพรวมทุกด้านระดับมาก และรูปแบบการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ประกอบด้วย 7 ด้าน 1. ลักษณะทางกายภาพ 2. การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม 3. เศรษฐกิจและสังคม 4. ศิลปวัฒนธรรม 5. ธรรมชาติของอุทยานแห่งชาติ 6. ความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน และ 7. การให้ความรู้และสร้างจิตสำนึกโดยภาพรวมทุกด้านอยู่ระดับมาก 2) ปัจจัยที่มีผลต่อการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ พบว่า มีค่า Sig.F เท่ากับ 0.000 เมื่อพิจารณาตัวแปรอิสระ พบว่ามีตัวแปรที่มีผลทางบวก คือ อายุ การศึกษา รายได้ และศักยภาพด้านการท่องเที่ยว ซึ่งตัวแปรอิสระทั้งหมด 8 ตัวแปรสามารถพยากรณ์ 81. 87 (R2=0.8187) 3) ปัญหา อุปสรรค คือ เส้นทางคมนาคม สิ่งอำนวยความสะดวก และปริมาณน้ำที่ใช้ไม่เพียงพอต่อการใช้ในชุมชนละแวกอุทยานแห่งชาติ ส่งผลให้เกิดปัญหาขาดแคลนน้ำ จึงชี้ให้เห็นว่าแนวทางการพัฒนาการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ประกอบด้วย 1) การรักษาและส่วนร่วมของชุมชน 2) การพัฒนาทรัพยากรระบบนิเวศ 3) การสร้างกิจกรรมการท่องเที่ยว 4) การส่งเสริมการศึกษาและการอบรม 5) การตลาดและการโฆษณา 6) การปรับปรุงระบบขนส่ง 7) การสนับสนุนการเรียนรู้และความร่วมมือ</p> สุนันทา จุนละมณี กอบลาภ อารีศรีสม วีณา นิลวงค์ รภัสสรณ์ คงธนจารุอนันต์ นรินทร์ ท้าวแก่นจันทร์ ภาวิณี อารีศรีสม Copyright (c) 2023 วารสารภูมินิเวศพัฒนาอย่างยั่งยืน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-24 2023-12-24 4 2 56 72